ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 19 ธิดาเทพผู้อับโชค

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 19 ธิดาเทพผู้อับโชค โดย Ink Stone_Fantasy

 

“เอาล่ะทุกคน โปรดปรบมือต้อนรับผู้มาใหม่ของเราด้วย ชายผู้นี้นามว่าเซี่ยฉือ จริงๆ แล้วเขาเป็นผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดารา จากบรรดาผู้อาวุโสทั้งหมดสิบแปดคน เซี่ยฉืออยู่ลำดับที่เจ็ด ซึ่งสูงกว่าตาแก่เหอมาก หนำซ้ำเขายังมีพรสวรรค์สูงส่ง ในอนาคตย่อมต้องทำประโยชน์ให้ศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาได้มากอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเจ้าจงให้ความร่วมมือกับเขาในทุกทางด้วย”

ภายในห้อง หวังลู่ยิ้มย่องตบบ่าเซี่ยฉือพร้อมทั้งพูดยกย่องเสียเลิศเลอ บุคคลที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ เหวินเป่า เหออวิ๋น และอู้เฟยฮวาต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป แต่ละคนอยู่ในห้วงคิดของตัวเอง

ส่วนเซี่ยฉือนั้นมีสีหน้าแข็งทื่อราวผีดิบก็ไม่ปาน

ภายในโกดังแห่งนี้ เขาได้รับการเชื้อเชิญที่กระตือรือร้นจากหวังลู่ ผลก็คือ… เป็นธรรมดาที่เขาจะยอมรับข้อเสนอที่ว่านั้น

ประการแรก ผลประโยชน์สามข้อที่หวังลู่เสนอให้ช่างชวนเชิญไม่น้อย ประการที่สอง…

เซี่ยฉือไม่มีทางเลือก ชีวิตเขาอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้าม แล้วเขาจำต้องมาตายอย่างเปล่าประโยชน์เพื่อสำนักเจ็ดดารางั้นหรือ แม้เขา เซี่ยฉือ จะจงรักภักดี แต่ก็คงไม่อาจตะล่อมให้เจ้าสำนักเจ็ดดารานำสำนักเข้าร่วมกับพันธมิตรหมื่นเซียนได้แน่

ที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนที่อยู่ในโกดัง เจ้าหนุ่มหวังลู่ให้เขากินยาที่ว่ากันว่าคือโอสถสมองสามศพ ซึ่งเป็นยาพิษแมลงในตำนานที่นำเข้ามาจากทางใต้ เมื่อกินไปแล้ว หากไม่เชื่อฟัง วิญญาณของเขาจะบินออกจากร่างและไม่กลับมาอีก… แน่นอนว่าเซี่ยฉือไม่รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของนำเข้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในฐานะที่เป็นคนบากบั่นและตระหนี่ มีหรือหวังลู่จะยอมนำเข้ายาพิษแมลงและเอาให้ทหารชั้นต่ำอย่างเขากิน สิ่งที่เรียกว่าโอสถสมองสามศพอะไรนั่นที่แท้ก็แค่ก้อนถ่านหินที่แท่นบูชาทรงกลมสีเทานั่นพ่นออกมาเท่านั้น

ดังนั้น เซี่ยฉือจึงไม่ลังเลที่จะก้มหัวยอมจำนน อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว

ทว่าเรื่องที่เซี่ยฉือเข้าร่วมกับศูนย์อากรเชาวน์ปัญญานั้น ธิดาเทพเฟิงหลิงกลับถอนหายใจอย่างฉุนเฉียว นางคิดว่าแม้กำลังคนของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาจะแข็งแกร่งขึ้น แต่จำนวนพวกสวะชั้นต่ำก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ความจริงแล้วที่นางมาที่นี่เพื่อหวังความสนุก และสองสามวันที่ผ่านมานี้นางก็มีความสุขอยู่กับการเสี่ยงโชคกับแท่นบูชาที่พ่นของสิบเอ็ดชิ้นต่อวัน ทว่าผลที่ได้รับคือนางไม่ได้ของที่มีค่าเลยสักชิ้น ศูนย์ในสิบเอ็ด ศูนย์ในสิบเอ็ด ศูนย์ในสิบเอ็ดต่อเนื่องกัน… ส่งผลให้จิตวิญญาณของการ ‘สู้ต่อไปแม้จะล้มเหลวติดๆ กัน’ ของนางลุกโชน นางจึงไม่สนสักนิดว่าศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาของหวังลู่จะสำเร็จหรือล้มเหลว

ส่วนเหวินเป่า เขายินดีกับการมาของเซี่ยฉือ เพราะนั่นแปลว่าจะมีคนมาช่วยในการก่อสร้างอาคารในหมู่บ้านมากขึ้น ความกดดันที่เขาแบกรับก็จะบรรเทาลงไปได้มากโข ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นอยู่นอกเหนือสติปัญญาของเขาที่จะจัดการได้

สำหรับอู้เฟยฮวา นางรู้สึกยินดีอยู่ลับๆ เดิมทีเซี่ยฉือคนนี้มาจากสำนักระดับแปด แม้ขั้นตบะจะไม่สูงนัก แต่ก็สูงกว่าตาแก่เหออวิ๋น หนำซ้ำยังร่ำรวยไม่น้อย ชายผู้นี้มีวัตถุวิเศษมากมายที่ติดตัวมาจากสำนักเดิม แถมหน้าตาก็ยังหล่อเหลา พูดสั้นๆ เขาคือ ‘เจ้าชายรูปงาม’ ตามพิมพ์นิยม! หากนางสามารถหาทางหลับนอนกับเขาได้ งานหนักต่างๆ ที่นางต้องทำในหมู่บ้านตระกูลหวังก็ถือว่าไม่เหนื่อยเปล่าแล้ว

บุคคลเดียวที่เต็มไปด้วยความกังวลคือเหออวิ๋น ข้อแรก เขากลัวว่าเจ้าสารเลวหน้าหล่อนี่จะมาแย่งตำแหน่งเขา ตอนนี้เหออวิ๋นเป็นรองผู้จัดการของสำนักภูมิปัญญา แม้อำนาจและอิทธิพลของเขาจะไม่ได้มากมาย แต่ก็รับผิดชอบด้านการพัฒนาสำนักภูมิปัญญา แถมยังจับงานส่วนใหญ่ของสำนัก แปลว่าผลประโยชน์ของเขาย่อมสูงตามไปด้วย… ทว่าหากลองซื่อตรงกับตัวเอง ที่เขาได้ตำแหน่งนี้มาเพราะหวังลู่ไม่มีตัวเลือกอื่น ธิดาเทพแข็งแกร่งก็จริง แต่ก็ไม่เชื่อฟังผู้จัดการ เหวินเป่าอยู่ในโอวาท แต่ ‘ความโง่เง่า’ ก็เข้าขั้นบีบหัวใจ ท่ามกลางพวกระดับบนๆ ในสำนักภูมิปัญญา มีเพียงเขาเท่านั้นที่มีประโยชน์ ทว่าในสำนักเจ็ดดารา ตำแหน่งของเซี่ยฉือสูงกว่าเขา ไม่ว่าจะเป็นขั้นตบะ ญาณหยั่งรู้ และความสามารถ ชายผู้นี้ดีเยี่ยมกว่าเขาเสียทั้งหมด พูดง่ายๆ คือ การคุกคามนี้ใหญ่หลวงนัก

ประการที่สอง เป็นความกังวลในระดับที่ลึกเข้าไปอีก การกระทำในครั้งนี้ของหวังลู่นั้นบ้าบิ่นล้ำเส้นสำนักเจ็ดดารา เซี่ยฉือต่างจากเหออวิ๋นซึ่งเป็นเพียงปลาเล็กปลาน้อยในสำนัก เขาถือเป็นหนึ่งในแกนนำของสำนัก ซึ่งเจ้าสำนักตั้งใจจะปลุกปั้นให้เป็นรองเจ้าสำนักและจากนั้นก็เป็นผู้สืบทอดด้วยซ้ำ! การหายตัวไปของเหออวิ๋น อย่างมากที่สุดก็อาจทำให้ระบบของสำนักเจ็ดดารารวนไปบ้าง แต่การตีตัวออกห่างของเซี่ยฉือเช่นนี้ ย่อมทำให้เจ้าสำนักเจ็ดดารามุ่งร้ายต่อพวกเขาแน่

แล้วอย่างไรเล่า เจ้าสำนักเจ็ดดาราจะสั่งการให้ผู้อาวุโสของสำนักมาโจมตีพวกเขาอย่างนั้นหรือ หากต้องสู้กันจริงๆ พวกเขาต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แม้ว่าหวังลู่จะทรงพลังเพียงใด แต่ตบะขั้นฝึกปราณมิอาจเอาชนะตบะขั้นพิสุทธิ์ได้แน่ แม้ธิดาเทพจะเก่งกาจด้านวรยุทธ์ แต่หากต้องรับมือกับผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างฐานเป็นสิบๆ คน สำนักภูมิปัญญาย่อมไม่ได้เปรียบแน่นอน

แน่นอนว่าหวังลู่ไม่จำเป็นต้องสู้กับสำนักเจ็ดดารา เพียงแค่เขาโบกธงผืนใหญ่สีสันสดใสของสำนักกระบี่วิญญาณ สำนักเจ็ดดาราผู้ต่ำต้อยย่อมหมอบกราบและเข้ามาเลียแข้งเลียขาพวกเขาแน่นอน ทว่าการใช้ไพ่ตายอย่างบุ่มบ่ามเช่นนั้นรังแต่จะทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยของสำนักกระบี่วิญญาณโกรธเกรี้ยว และเรื่องก็จะจบลงด้วยความหายนะเช่นเดิม

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ตาแก่ลามกก็อดหวั่นวิตกไม่ได้ พอได้เห็นว่าหวังลู่จ่ายงานสำคัญๆ ให้เซี่ยฉืออย่างกระตือรือร้น เขาก็ทำตาส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ตอนนี้เหออวิ๋นไม่อาจใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมในการสื่อสาร เพราะเป็นไปได้ว่าเซี่ยฉืออาจได้ยินการเจรจาลับๆ ผ่านอาคมนี้เช่นกัน

โชคร้ายที่หวังลู่ไม่ได้สังเกตเห็นสัญญาณดังกล่าว หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องไร้สาระแต่ละขั้นตอนแล้ว หวังลู่ก็ปรบมือ “เอาล่ะ วันนี้พอเท่านี้ ทุกคนเชิญไปได้”

ตาแก่ลามกยังมีเรื่องที่อยากจะพูด แต่หวังลู่กลับกำลังปิดประตู ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าการประชุมจบลงแล้ว ตาแก่ลามกจึงทำได้เพียงดึงตัวอู้เฟยฮวาให้มาด้วยกัน แต่เขากลับพบว่าอู้เฟยฮวากำลังมองเซี่ยฉือด้วยสายตายั่วยวน ตาแก่ลามกจึงอดรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาไม่ได้!

——

“นี่ เจ้าไม่คิดเหรอว่าสิ่งที่เจ้าทำมันไม่ถูก”

เมื่อคนอื่นๆ ออกไปกันหมดแล้ว ธิดาเทพจึงพูดขึ้น

หวังลู่ถามกลับอย่างฉงน “ไม่ถูกตรงไหนกัน”

“ไม่คิดบ้างหรือว่าสิ่งที่เจ้าทำมันบ้าบิ่นเกินไป เจ้าไม่เพียงขโมยคนจากสำนักเจ็ดดารา แต่ปาขี้ใส่หน้าพวกเขาด้วยซ้ำและเรื่องนี้ไม่อาจรอมชอมได้แน่ ข้าไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะแพ้ให้สำนักชั้นต่ำนั่น แต่หากเรื่องมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ การเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของเจ้าคงจะจบเห่ลงในไม่ช้าแน่”

หวังลู่พยักหน้าเห็นด้วย “พี่หญิงหลิง หาได้ยากยิ่งเลยนะที่ท่านจะใช้สมองคิดอะไรจริงจังเช่นนี้… วันนี้ก็สิบเอ็ดได้ศูนย์อีกแล้วหรือ”

“…สักวันหนึ่งข้าต้องได้มาสักชิ้นแน่ อย่ามาปล่อยลมความหวังคนอื่นให้เรียบแบนหน่อยเลย!”

หวังลู่ที่กำลังนั่งอยู่ เหลือบมองที่หน้าอกเสี่ยวหลิงเอ๋อร์พลางทำปากจู๋ “ปล่อยลมหรือไม่ปล่อย มันก็ยังดู… โอ๊ย ท่านตีข้าทำไมเนี่ย?!”

พอลุกจากพื้นได้ หวังลู่ก็ปัดฝุ่นตามตัวออกพลางพูดขึ้น “ที่ท่านพูดก็ถือว่าถูก หากเป็นเช่นนั้น พรุ่งนี้เราอาจจะต้องเผชิญหน้ากับสำนักเจ็ดดาราก็เป็นได้ ทว่าสิ่งที่ท่านคิดได้ ข้าเองจะคิดไม่ได้หรือ วางใจเถอะ เรื่องนี้ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเขามาถึงนี่ไม่ได้หรอก”

เสี่ยวหลิงเอ๋อร์สงสัยขึ้นมาในทันที “มาถึงนี่ไม่ได้งั้นหรือ?”

“อืม ท่านคิดว่ากลุ่มคนที่แม้แต่ตัวเองยังดูแลไม่ได้จะมีคุณสมบัติพอมาป่วนพวกเรางั้นหรือ ทว่าเราต้องใช้เวลาให้คุ้มที่สุด เราต้องฉวยโอกาสที่หายากเช่นนี้กระจายชื่อเสียงของสำนักภูมิปัญญาให้รวดเร็วที่สุด รวมทั้งปรับปรุงขั้นตบะของคนในสำนัก เมื่อเราขยับขยายสำนักและพัฒนาขั้นตบะของสมาชิกได้เพียงพอแล้ว หากสำนักเจ็ดดาราต้องการหาเรื่อง พวกเขาคงต้องคิดทบทวนเสียก่อน ถึงตอนนั้นเราก็น่าจะมีจำนวนคนมากกว่า และไม่ต้องกังวลใจเรื่องคนพวกนั้นอีกต่อไป”

เมื่อเห็นหวังลู่เอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างสุขใจ เฟิงหลิงก็ขัดขึ้นอย่างไว “เดี๋ยว เดี๋ยว ที่ว่าจัดการเรียบร้อยแล้วหมายถึงอะไร”

หวังลู่ยิ้ม “ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เมื่อสองวันก่อนข้าได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ป่านนี้มันคงถึงที่หมายและทำให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่างแล้ว”

“จดหมาย? ถึงใคร”

“หอสัจจะบุรุษแห่งแคว้นธาราครามของพันธมิตรหมื่นเซียน”

“…มันคืออะไร”

“มันคือหน่วยที่ดูแลจัดการเรื่องของมนุษย์ปุถุชนโดยเฉพาะ หากจะให้พูดถึงลักษณะเฉพาะของคนที่ทำงานที่นี่ มันก็คือกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนที่เอาแต่นั่งนอนรอคอยความตาย ทว่าหน้าที่หนึ่งของพวกเขาก็คือ ตรวจสอบดูว่าโลกมนุษย์ในขอบเขตอำนาจของพวกเขาไม่ถูกแทรกแซงจากภายนอกอย่างไม่เป็นธรรม”

“แล้วการแทรกแซงจากภายนอกอย่างไม่เป็นธรรมหมายถึง…?”

“ตัวอย่างเช่น การกระทำของจื้อเฟิงในประเทศจันทราขาว งานหลักของหน่วยงานนี้คือจัดการผู้บำเพ็ญเซียนที่ประพฤติมิชอบในโลกมนุษย์ ความจริงแล้ว การที่ผู้บำเพ็ญเซียนเข้ามาแทรกแซงในโลกมนุษย์ไม่ถือว่าแปลก หากผู้บำเพ็ญเซียนได้รับอนุญาตจากพันธมิตรหมื่นเซียน ผู้บำเพ็ญเซียนผู้นั้นสามารถรับเงินสนับสนุนจากราชสำนักของประเทศนั้นๆ ได้ด้วยซ้ำ ทว่าหากไม่ได้รับอนุญาตจากพันธมิตรหมื่นเซียน แม้เจ้าแค่เล็งเด็กชาวโลกมั่วๆ ไม่กี่คน ก็ถือว่ากำลังหาเรื่องใส่ตัวแล้ว และแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่สำนักเจ็ดดาราจะได้รับอนุญาตจากพันธมิตรหมื่นเซียน”

เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจความหมายโดยนัยที่หวังลู่วงกลมเอาไว้ ดวงตาของหญิงสาวเบิ่งกว้าง ถามออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า…ในฐานะเจ้าสำนัก ร้องเรียนสำนักตัวเองหรือ!?”

หวังลู่กล่าวอย่างซื่อตรง “การร้องเรียนเรื่องสำนักเป็นหน้าที่ของทุกคนอยู่แล้ว!”

“แต่ทำไมเจ้าถึงร้องเรียนสำนักตัวเองเล่า!”

“แม่นาง โปรดเคารพต่ออุดมการณ์อันสูงส่งของสำนักภูมิปัญญาของเราด้วย แก่นของสำนักเราแตกต่างจากสำนักมารนั่นอย่างสิ้นเชิง”

“ใช่สิ สำนักมารนั่นไม่ได้เบาปัญญาอย่างเจ้าไงล่ะ”

“ขอบคุณ หาได้ยากที่ท่านจะเอ่ยปากชมข้าเยี่ยงนี้”

การต่อปากต่อคำกับหวังลู่เป็นงานหนักที่นอกจากไม่สร้างผลกำไรแล้วยังเสียพลังงานเปล่าอีกด้วย เฟิงหลิงนวดขมับที่ปวดแปลบของตัวเอง “…ตามความคิดของเจ้า คนในหน่วยนั้นก็แค่ผู้บำเพ็ญเซียนที่นั่งๆ นอนๆ รอคอยความตาย แล้วเจ้าส่งจดหมายหาพวกเขาทำไม ใช่ว่าเราจะเป็นพวกทรงอิทธิพลเสียหน่อย พวกเขาไม่มาสนใจปัญหาขี้ผงของสำนักขี้ปะติ๋วอย่างเราหรอก”

“ขอบคุณสำหรับคำถาม นั่นเพราะข้าลงชื่อจริงไปในจดหมาย หากรายงานจากศิษย์ผู้สืบทอดจากหนึ่งในห้าสำนักวิเศษไม่ทำให้พวกเขาขยับก้นได้ล่ะก็ หน่วยงานนั้นก็ไม่สมควรได้รับงบประมาณแล้ว”

“ระยำเอ๊ย! เจ้าใช้ชื่อจริงของตัวเอง!?”

“ใช่ ข้าทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา เหตุใดจึงต้องปกปิดด้วยเล่า นี่เรียกว่าช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อเจอสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เช่นนั้นแล้วช่วยเรียกข้าว่าผู้ชำนาญการด้านให้เบาะแสด้วยเถอะ”

“ผู้ชำนาญการสมองทึบรนหาที่ตายเสียมากกว่า…”

——

บนยอดเขาแห้งแล้งแห่งหนึ่งที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอกในจังหวัดต้าตง ประเทศต้าหมิง

เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราเปิดประชุมเร่งด่วน

ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ที่เข้าประชุมต่างได้รับรู้เหตุการณ์ชวนอ้าปากค้างที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

เซี่ยฉือทรยศสำนัก

สำหรับผู้อาวุโสส่วนใหญ่ เรื่องนี้ถือว่าน่าเหลือเชื่อ เซี่ยฉือคือบุคคลมากพรสวรรค์ที่เจ้าสำนักทาบทามมาจากสำนักบ้านหมื่นบุปผาด้วยตัวเอง ทันทีที่เข้าสำนักมา เขาก็ได้เป็นผู้อาวุโสชั้นกลาง นั่นเพราะเขายังอายุน้อยและตบะยังอยู่เพียงขั้นสร้างฐานระดับต่ำ จึงไม่สมควรอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างฐานระดับสูงหลายคน ทว่าอิทธิพลของเขาก็เทียบได้กับผู้อาวุโสผู้ใหญ่หลายคนที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าสำนักมานานที่สุด

เขาคือความหวังของสำนักเจ็ดดารา ในอนาคตสำนักต้องตกอยู่ในมือเขาแน่นอน แม้แต่ในขณะนี้ ทรัพย์สินบางส่วนของสำนักก็ถูกแบ่งให้เขา แล้ว…เหตุใดเขาจึงทรยศได้!?

นี่คือเหตุผลหลักที่เจ้าสำนักเรียกประชุมอย่างเร่งด่วน ทว่าเมื่อเหล่าผู้อาวุโสมารวมตัวกันที่โถงประชุม พวกเขาก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศที่นี่ช่างเยือกเย็น อึมครึม อึดอัด ไม่สบายตัวเป็นอย่างยิ่ง

นี่…บอกเป็นนัยได้ว่าเจ้าสำนักกำลังอารมณ์เสียอย่างหนัก หนำซ้ำดูราวกับว่าเขาไม่อาจทำอะไรเรื่องนี้ได้ด้วย

เกิดอะไรขึ้นกันแน่

โชคดีที่ปริศนานี้ถูกเปิดเผยอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้อาวุโสทั้งหมดมาถึง เสียงของเจ้าสำนักก็ดังผ่านอากาศเข้ามา

“ตัวแทนของหอสัจจะบุรุษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียน…มาที่นี่”

………………………………………