ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 20 การป้องกันการถูกคุกคามระดับมืออาชีพ

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 20 การป้องกันการถูกคุกคามระดับมืออาชีพ โดย Ink Stone_Fantasy

 

“หอสัจจะบุรุษ?”

ต่างจากธิดาเทพผู้สูงส่ง เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราคุ้นเคยกับชื่อนี้เป็นอย่างดี

ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการหรือไม่ สำนักเช่นสำนักเจ็ดดาราย่อมต้องเผชิญกับหอสัจจะบุรุษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน่วยนี้เต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญเพียรที่หาผลประโยชน์จากผู้ที่อ่อนแอและหวาดเกรงผู้ที่แข็งแกร่งกว่า พวกเขาทั้งละโมบและไม่รู้จักพอ ทั้งยังลำเอียงเข้าข้างพันธมิตรหมื่นเซียน ก่อนหน้านี้พวกเขาทำเป็นมองข้ามเรื่องที่สำนักเซิ่งจิงสนับสนุนสำนักหนึ่งในประเทศจันทราขาว แต่เบื้องหลังประตู พวกเขาได้รับผลประโยชน์จึงทำเป็นผ่อนผันให้ แต่หากเป็นสำนักขี้เรื้อนอย่างสำนักเจ็ดดารา ที่ผ่านมาพวกเขาแสดงศักยภาพในการกดขี่ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระเหล่านี้ซึ่งก็ทำได้เพียงร้องโอดครวญหาบิดามารดาอย่างเต็มที่

สำนักเจ็ดดาราคุ้นเคยกับความจริงและความเจ็บปวดนี้ดี เมื่อหลายปีก่อน พวกเขาได้ครอบครองเมืองหลวงจังหวัดแห่งหนึ่งของประเทศต้าหมิง ตอนนั้นพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับความสุขสำราญ ทว่าไม่นานนักก็มีคนของสำนักหอสัจจะบุรุษมาเยือน เมื่อต้องเผชิญกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์สองคนและผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานอีกสิบคน สำนักเจ็ดดาราซึ่งแข็งแกร่งมากในตอนนั้นก็ถูกบังคับให้คุกเข่าและมอบผลประโยชน์หกถึงเจ็ดส่วนในสิบส่วนให้ก่อนที่คนเหล่านั้นจะยอมปล่อยสำนักเจ็ดดาราไป

หลังประสบการณ์อันขมขื่นครั้งนั้น พวกเขายังรักษาความสัมพันธ์กับหอสัจจะบุรุษอยู่ และส่งของขวัญไปให้คนเหล่านั้นเป็นประจำ เช่นนี้เองวิกฤตของสำนักจึงคลี่คลายและทำให้รากฐานของพวกเขามั่นคงขึ้น… ทว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่าหลังจากสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้ว หอสัจจะบุรุษยังคงจับตามองพวกเขาอยู่ดี! หอนั่นกัดมือคนที่ให้อาหารตนเองแท้ๆ ราวกับว่าศิลาวิญญาณและวัตถุวิเศษต่างๆ ที่ให้ไปก่อนหน้านั้น พวกเขาให้สุนัขไปเช่นนั้นล่ะ!

“ท่านเจ้าสำนัก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”

เจ้าสำนักเองก็รู้สึกหดหู่ไม่น้อย นั่นเพราะผู้บำเพ็ญเซียนระดับล่างคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้แจ้งข่าวของหอสัจจะบุรุษให้กับเขา กลับไม่เต็มใจจะแจ้งสาเหตุที่แน่ชัดในการมาเยือนครั้งนี้ หลายปีมานี้ เขาติดสินบนเจ้าหน้าที่มากมายในหอนั้น แต่ก็ยังเข้าไม่ถึงการจัดการต่างๆ อยู่ดี ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น มันก็เกินกำลังที่เขาจะล่วงรู้ถึงเหตุผล เมื่อนึกไม่ออกว่าเหตุใดหอสัจจะบุรุษจึงเพ่งเล็งมาที่พวกเขา เจ้าสำนักจึงต้องเรียกประชุมผู้อาวุโสเพื่อหารือถึงมาตรการรับมือ

ทว่าหากเจ้าสำนักยังคิดหาทางไม่ได้ แล้วเหล่าผู้อาวุโสจะคิดออกได้อย่างไร หลังจากหารือกันจนรุ่งเช้า สิ่งเดียวที่ได้ก็คือเจ้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งหลายต้องหอบหิ้วของมีค่าต่างๆ ไปบรรณาการกับคนในหอสัจจะบุรุษด้วยตนเอง และหวังว่าการใช้เงินในครั้งนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้

แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านตระกูลหวังที่หุบเขาหูสุนัขเล่า

ช่างหัวบิดามันสิ! ภัยกำลังจะมาถึงสำนักอยู่แล้ว ใครหน้าไหนจะมีเวลาใส่ใจชาวบ้านที่หุบเขาหูสุนัขกัน!?

ในเดือนนั้น ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าพวกเขาใช้เงินไม่ต่างจากน้ำ หลังจากที่ผู้อาวุโสหลายคนของสำนักเจ็ดดาราพาบุคลากรของหอสัจจะบุรุษไปเลี้ยงสุราหลายต่อหลายครั้งจนเมามายหมดสติ วิหารหยกในกายสั่นไหว ในที่สุดเรื่องก็เริ่มบรรเทาลง

โชคดีที่หลายปีมานี้ สำนักเจ็ดดารายังรักษาความสัมพันธ์อันดีกับหอสัจจะบุรุษไว้ พวกเขาจึงสามารถทำให้เรื่องยุติลงได้จากการเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งเกือบทุกวันในเวลาเพียงหนึ่งเดือน หากเป็นสำนักอื่น แม้เสนอจะเลี้ยงสุราวิเศษ ก็ไม่มีทางเชิญคนพวกนั้นมาดื่มกินได้ แต่ถึงกระนั้นสำนักเจ็ดดาราก็ต้องใช้เวลาทั้งเดือนกว่าที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของหน่วยย่อยหนึ่งจะให้เข้าพบเพื่อมอบของกำนัลเป็นศิลาวิญญาณ เป็นอันยุติข้อพิพาทนี้

นอกจากนั้นพวกเขายังได้ของกำนัลเพิ่มเติมอีกด้วย นั่นคือได้รู้ว่ามือปีศาจมือใดที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ความจริงแล้วไม่ใช่มือของปีศาจที่ยื่นเข้ามาแส่เรื่องนี้หรอก คนร้ายตัวจริงคือพวกเฮงซวยที่เขียนจดหมายถึงหอสัจจะบุรุษแจ้งว่ามีสำนักมารเคลื่อนไหวอยู่ในประเทศต้าหมิงแห่งแคว้นธาราคราม… หอสัจจะบุรุษนั้นได้รับจดหมายทำนองนี้บ่อยครั้งมาก ประมาณแปดร้อยถึงหนึ่งพันฉบับต่อปี โดยปกติพวกเขาทิ้งจดหมายเหล่านี้ไป ทว่าจดหมายผิดธรรมดาฉบับนี้เป็นจดหมายที่พวกเขาไม่อาจละเลยได้ นั่นเพราะมันเขียนโดยศิษย์ผู้สืบทอดของหนึ่งในห้าสำนักวิเศษ

ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ไม่กี่เดือนมานี้ มีเรื่องอื้อฉาวซึ่งเกี่ยวข้องกับหอสัจจะบุรุษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียนเกิดขึ้นในแคว้นธาราคราม ทั้งผู้คุมหอและรองผู้คุมหอต่างถูกลงโทษ ดังนั้นพวกเขาจึงอ่อนไหวเป็นพิเศษกับเรื่องทำนองนี้ แต่แรกสำนักมารนั่นถูกผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักกระบี่วิญญาณทำลายลง ปรมาจารย์จื้อเฟิงผู้อยู่เบื้องหลังสำนักมารดังกล่าวพ่ายแพ้และล่าถอยไป เขาถูกสำนักของตัวเองทำโทษโดยการพรากร่างมนุษย์ และใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์เป็นสิบปี ทว่าหลังจากนั้นท่าทีของสำนักเซิ่งจิงที่มีต่อสำนักกระบี่วิญญาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแคว้นธาราครามก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาอาจเมินเฉยต่อเสียงของสำนักอื่น แต่ไม่ใช่จากสำนักกระบี่วิญญาณ

ด้วยสถานการณ์ที่สลับซับซ้อนเช่นนี้ จดหมายจากศิษย์ผู้สืบทอดเพียงฉบับเดียวก็สามารถเขย่าหอสัจจะบุรุษแห่งนี้ได้… ทว่าระหว่างที่กลับจากหอสัจจะบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนักหรือเหล่าผู้อาวุโส พวกเขาต่างรู้สึกเหมือนโดนลอกผิวหนังออกอย่างไรอย่างนั้น

ยามที่เหนื่อยอ่อนเช่นนั้น อารมณ์โกรธเกรี้ยวก็ปะทุขึ้นอย่างง่ายดาย หอสัจจะบุรุษทำให้พวกเขาต้องลำบากแท้ๆ แต่สำนักเจ็ดดาราก็ไม่อาจตอบโต้ใดๆ ได้ ทว่าพอทุกอย่างยุติแล้ว ก็ถือเวลากวาดล้างพวกฉวยโอกาสหน้าไม่อายที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาหูสุนัขแล้วมิใช่หรือ!?

ทว่าตอนที่เจ้าสำนักคิดจะหย่อนใจสักครู่ ก็มีคนเข้ามารายงาน ปัญหาใหม่เกิดขึ้นอีกแล้ว

“หา? หอนภาเร้นลับ!? นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ!?เราไปข้องเกี่ยวกับพวกเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน ก้าวเข้าประตูของหอนั้นยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ! พวกเขาหาว่าเราข้องเกี่ยวกับวัตถุผิดกฎหมายอย่างยาพิษกระจายวงงั้นหรือ ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด! เราเป็นแค่สำนักจนๆ จะมีปัญญาครอบครองยาพิษกระจายวงได้อย่างไร หนำซ้ำพวกเขาเองต่างหากที่เปิดประมูลยาพิษแมลงชั้นสูง!? ว่ากันว่าพิษนั่นสามารถถอนรากถอนโคนประเทศเล็กๆ ได้ทั้งประเทศ แล้วยังมีหน้าจะมาสอบสวนเราเนี่ยนะ!?”

เจ้าสำนักยังคงบ่นเสียงดังยาวเหยียด ทว่าอำนาจของหอนภาเร้นลับนั้นมีมากกว่าหอสัจจะบุรุษหลายเท่านัก ดังนั้นแม้ว่าผู้ที่ดูแลเรื่องนี้จะเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาในสาขาย่อยของหอนภาเร้นลับ แต่อำนาจของคนผู้นี้ก็มีมากพอจะกำจัดสำนักที่ใหญ่กว่าสำนักเจ็ดดาราเป็นร้อยๆ เท่าเลยทีเดียว

เมื่อคราวเคราะห์มาเยือนอย่างคาดไม่ถึง เจ้าสำนึกจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเรียกประชุมผู้อาวุโสอีกครั้ง หลังจากปรึกษาหารือกันอีกรอบ พวกเขาก็หอบหิ้วสุราวิเศษและเริ่มการเดินทาง ‘เชื่อมสัมพันธ์’ ครั้งใหม่

…………………………………..

ครั้งนี้กินเวลาครึ่งเดือน เมื่อพวกเขากลับมาต่างก็รู้สึกว่าถูกลอกชั้นผิวหนังอีกชั้นออกไป ทว่าคนที่โชคร้ายที่สุดก็คือผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ดื่มสุรามากเกินไปจนทำให้ขั้นตบะลดลง ขั้นตบะของเขาลดไปหนึ่งขั้นซึ่งถือว่าเป็นหายนะที่น่าสะพรึงอย่างแท้จริง

คราวนี้สำนักเจ็ดดาราไม่มีเรี่ยวแรงที่จะโกรธเกรี้ยว ทว่าพวกเขากลับนึกถึงหายนะที่เกิดขึ้นในหุบเขาหูสุนัขขึ้นมาได้

เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะหารือในเรื่องนี้ จิตใจของเจ้าสำนักก็สั่นไหว ลางสังหรณ์บางอย่างพุ่งทะยานเข้ามาในความคิด

“ระยำ! อย่าบอกนะว่า…”

เจ้าสำนักส่ายศีรษะ ตัดสินใจที่จะไม่เชื่อลางสังหรณ์ดังกล่าว เขาเปิดปาก “เรื่องหุบเขาหูสุนัข…”

ก่อนที่จะทันได้พูดต่อ ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ผลุนผลันเข้ามา “รายงานท่านเจ้าสำนัก มีคนจากพันธมิตรหมื่นเซียนมาที่นี่อีกแล้ว!”

“เวรเอ๊ย! คราวนี้อะไรอีกเล่า!?”

“คนผู้นั้นกล่าวว่าสำนักเจ็ดดาราของเราพัวพันกับการหาผลประโยชน์บางอย่าง ที่ส่งผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อมของแคว้นธาราคราม…”

“บิดาเจ้าสิ! นี่มันเรื่องระยำอะไรกัน! พันธมิตรหมื่นเซียนครอบครองสายแร่ของพลังปราณฟ้าดินมากมาย ยามที่พวกเขาตักตวงผลประโยชน์จากพื้นที่เหล่านี้ แม้เกิดแผ่นดินถล่มพวกเขาก็ไม่เคยคิดใส่ใจ แต่ครั้งนี้กลับจะมาหาเรื่องเราด้วยเหตุผลพรรค์นี้น่ะหรือ!?”

เจ้าสำนักแค้นเคืองเสียจนอยากจะทึ้งผมทึ้งหนวดตัวเองเพื่อแสดงความเดือดดาล โชคร้ายที่สำนักเจ็ดดาราไม่ใช่สำนักโด่งดัง ความเดือดดาลของพวกเขาไม่มีค่าแม้เงินเพียงกระผีก หลังจากแสดงความโกรธเกรี้ยวอยู่ภายในห้องโถงครู่ใหญ่ เจ้าสำนักก็ทำได้เพียงถอนหายใจและออกไปจัดการกับปัญหานั้น…

และแล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

พอสำนักเจ็ดดาราจัดการปัญหาทุกอย่างได้เรียบร้อยแล้ว เหล่าพวกที่อยู่เบื้องบนก็เหนื่อยล้ากันเต็มที หลังจากพักฟื้นอยู่สองสามวัน พวกเขาก็จำขึ้นมาได้ว่ายังมีปัญหาที่หุบเขาหูสุนัขรอให้จัดการอยู่!

“ระยำเอ๊ย! ข้าอยากรู้นักว่าเหออวิ๋นและเซี่ยฉือ คนทรยศสองคนนั่นไปก่อเรื่องอะไรที่หุบเขาหูสุนัขกันแน่!?” ——

ความจริงแล้ว สามเดือนให้หลังมานี้ สิ่งที่เกิดขึ้นที่หุบเขาหูสุนัขเรียกได้ว่าสั่นสะเทือนฟ้าดิน

หวังลู่ไม่รั้งรอที่จะเป็นตัวตั้งตัวตีในการพัฒนาสำนักภูมิปัญญา ที่หุบเขาหูสุนัข… และในประเทศต้าหมิง อุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือสำนักเจ็ดดารา ตราบใดที่สำนักเจ็ดดารายังคงนิ่งเงียบ ย่อมไม่มีอิทธิพลภายนอกอื่นใดจะขัดขวางสำนักภูมิปัญญาได้ ความจริงแล้วสามเดือนให้หลังมานี้ เมื่อไม่มีการก่อกวนจากฝ่ายตรงข้าม สำนักภูมิปัญญาก็ขยับขยายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับไฟป่าที่ไม่อาจควบคุมได้

อย่างแรกคือการขยายอำนาจของสำนักอย่างบ้าคลั่ง ด้วยการแสดงของหวังลู่ในหมู่บ้านตระกูลหวังที่สัมฤทธิ์ผลด้วยดี เซี่ยฉือ ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาต่างก็เลียนแบบการแสดงของหวังลู่ ใช้รูปแบบของหมู่บ้านตระกูลหวังในหลายๆ หมู่บ้านที่อยู่บริเวณหุบเขาหูสุนัข เปิดสำนักย่อยและรวบรวมผู้ติดตามได้จำนวนมาก และเมื่อบอกเล่ากันปากต่อปาก อิทธิพลของสำนักภูมิปัญญาก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อิทธิพลของพวกเขาเริ่มแผ่ขยายไปยังประเทศข้างเคียงอีกด้วย

ในยุคของสำนักเจ็ดดารา พวกเขาพัฒนาต่อเนื่องไปยังหมู่บ้านและประเทศที่อยู่ห่างไกล ทว่าสำหรับสำนักภูมิปัญญาซึ่งมีวิธีการเก็บภาษีที่แตกต่างไป ไม่มีสถานที่ใด หรือบุคคลใดไร้ค่าพอที่จะพัฒนา แม้ผู้ติดตามเหล่านั้นจะไม่มีกำลังเงิน แต่พวกเขาก็มีร่างกาย มีกำลังกาย มีไต!

ทว่ามีเพียงการเทศน์ของสำนักภูมิปัญญาเท่านั้นจึงจะขุดเอาคุณค่าแห่งการพัฒนานี้ขึ้นมาได้ สามเดือนให้หลังมานี้ สำนักภูมิปัญญาสร้างผู้ติดตามได้นับหมื่นๆ คน ทว่าผู้ติดตามส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากทฤษฎีผู้นำทางหนึ่งล้านคนของหวังลู่ ทั้งยังไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่แท่นบูชาปฐมกลียุคพ่นวัตถุวิเศษราคาแพงอยู่บ่อยครั้ง

ความเป็นเลิศของสำนักภูมิปัญญาขึ้นอยู่กับความสามารถในการขุดเอาศักยภาพของชาวบ้านทั่วไปขึ้นมา ระหว่างการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสำนักในเวลาสามเดือน จากผู้ติดตามนับหมื่นคน มีกว่าห้าร้อยคนที่สามารถบำเพ็ญเซียนได้จริงๆ

สัดส่วนที่ว่านี้อาจจะดูน้อย แต่กระจัดกระจายไปตามหมู่บ้านนับสิบๆ แห่ง แต่ละหมู่บ้านย่อมมีตัวอย่างของผู้ที่สามารถบำเพ็ญเซียนได้หมู่บ้านละคนสองคน ข้อเท็จจริงที่ว่านี้เพียงอย่างเดียวก็น่าดึงดูดกว่าคำคมหรือทฤษฎีใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ชาวบ้านเชื่อมั่นในตัวพวกเขาเข้าไปอีก

เมื่อครั้งที่สำนักเจ็ดดาราใช้เล่ห์กลต่างๆ กับพวกชาวบ้าน ผลที่ได้รับไม่ได้เป็นตามนี้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสามารถพัฒนาได้รวดเร็ว หนำซ้ำเมื่อถูกจับไต๋ได้ จำนวนคนติดตามย่อมลดลงเป็นธรรมดา

ส่วนที่สำนักภูมิปัญญาสามารถพัฒนาได้รวดเร็วอย่างน่าทึ่งนั้น มีเหตุสำคัญอยู่สองประการ

ประการแรก พวกเขานำเข้าโอสถหกประสานมาจำนวนมาก และแจกจ่ายอย่างกว้างขวางเพื่อที่ว่าทุกคนจะได้มีโอกาสบำเพ็ญเซียน ขั้นตอนนี้ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเพราะพวกเขามีแท่นบูชาปฐมกลียุคที่เสถียรพอจะจัดหารายได้ให้เพียงพอกับรายจ่าย ยิ่งไปกว่านั้นคือโอสถหกประสานไม่ใช่ยาที่มีราคาแพง ตราบใดที่สามารถหาเครือข่ายจัดหาสินค้าได้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองราคา และกลายเป็นว่าเซี่ยฉือเองมีแหล่งทรัพยากรที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อยู่ในมือเป็นจำนวนมาก

ประการที่สอง คือทำให้โอกาสในการบำเพ็ญเซียนเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด สำหรับบุคคลทั่วไป โอสถหกประสานทำได้เพียงลดช่องว่างที่จะนำไปสู่ประตูแห่งโลกบำเพ็ญเซียน แม้พวกเขาจะบำเพ็ญเซียนนานนับสิบปี ก็อาจไม่สามารถดึงพลังปราณฟ้าดินเข้าสู่ตัว ผลก็คือเท่ากับศูนย์ หลายปีที่สำนักเจ็ดดาราต้มตุ๋นชาวบ้าน พวกเขาไม่สามารถพิชิตอุปสรรคข้อนี้ได้ แม้นานๆ ทีพวกเขาจะสามารถล่อลวงลูกค้าที่ร่ำรวยซึ่งยอมเสียเงินจำนวนมากเพื่อรากวิญญาณชั้นสูง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนคนผู้นี้ให้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนได้… ทว่าภายใต้การดูแลของหวังลู่ แม้จะเป็นเพียงโอสถหกประสาน แต่กลับเปล่งประกายอย่างที่ไม่มีใครเสมอเหมือน และสามารถทำให้ชาวบ้านที่ไร้ญาณรับรู้และไร้โอกาสจำนวนมาก ทะลวงเข้าสู่โลกแห่งเซียนได้ทีละคนสองคน

วิธีในการจัดการเรื่องนี้นั้นง่ายมาก

นั่นคือใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา

……………………………………….