บทที่ 112 แนวโน้ม
การคาดการณ์การเคลื่อนไหวของคนไม่ใช่งานง่าย
สิ่งมีชีวิตมีปัญญาส่วนมากมีความคิดซับซ้อน สามารถปรับตัวรวดเร็ว ทำให้คาดการณ์ความคิดยากนัก
ยิ่งการจะวางแผนการรบล่วงหน้ายาว ๆ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย
มาพูดว่า ‘ข้าคาดดำฤติกรรมศัตรูมากลักษณะนิสัยของเขานั้น บลา ๆ’ มันก็แค่เรื่องไร้สาระทั้งสิ้น
ใครก็ตามที่กล้าบอกว่าตนสามารถวางแผนล่วงหน้าได้จากนิสัยของอีกฝ่ายนั่นมั่นใจในตนเองเกินไปแล้ว
นั่นก็เพราะคนเรามันคาดเดายากเหลือเกิน
เมื่อตอนปราสาทไหลน่าตะวันตก ซูเฉินวางแผนจะต่อสู้ร่วมกับจูเซียนเหยา แต่นางกลับเปิดโปงเขา จากนั้นล่อให้ซาเค่อไล่ล่าเขาแทน
ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เพราะนางไม่ชอบ’
มนุษย์สามารถใช้ทั้งเหตุผลและอารมณ์ในการตัดสินใจไปพร้อมกัน
ด้วยเหตุนี้ การคาดคะเนตามหลักเหตุผลจึงถูกเหตุผลทางอารมณ์หักล้างไป
ดังนั้น จะคาดการณ์อะไรย่อมมีความเสี่ยง
หากแต่เมื่อเสี่ยงแล้ว จะไม่คาดการณ์เลยก็ทำไม่ได้
ในสนามรบนั้น การซ้อมรบทางทหารก็มักจัดขึ้นตามการคาดคะเนพฤติกรรมของศัตรู
ความต่างระหว่างแม่ทัพที่เก่งกาจและที่ธรรมดานั่นคือแม่ทัพที่เก่งจะทำพลาดอยู่บ้าง ส่วนที่ธรรมดาจะพลาดหลายครั้ง
ดังนั้น ไม่ว่าจะคาดการณ์แล้วจะเสี่ยงขนาดไหน ซูเฉินก็ยังต้องทำ
เพราะหากไม่ ก็จะไม่อาจหากองทัพกำลังสวรรค์พบ
ทางเดียวของเขาคือการพินิจพิเคราะห์ข้อมูลตรงหน้าให้ดี
ยิ่งอยากให้มีความแม่นยำ ก็ยิ่งต้องการข้อมูลจำนวนมากเพื่อให้มีพื้นฐานสำหรับการคาดเดาได้เช่นนั้น
เขาไล่สายตาอ่านไปเรื่อย คิดหัวหมุน พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด
และมีข้อมูลชิ้นหนึ่งเตะตาเขาเข้า
ข้อมูลนี้มาจากป่าฮัลมา ได้รับรายงานมาว่ามีโจรป่าที่ไม่อาจระบุตัวตนได้อยู่ภายในป่า แม้จะระบุตัวไม่ได้ แต่ก็มีร่องรอยทิ้งไว้ ดูเหมือนจะเป็นของกองทัพมนุษย์ อีกทั้งพวกที่อาจเป็นกองทัพมนุษย์ก็เผาพื้นที่ป่าไปมากมายหลังจากปล้นสถานที่ไปแล้ว รายงานแจ้งว่าเคราะห์ดีที่เพลิงไม่โหมหนักเกินไป จนอสูรกายตัวหนึ่งเรียกฝนมาเพื่อดับไฟ
กระนั้นซูเฉินก็รู้ว่ามีคำบอกใบ้อะไรบางอย่างถูกแฝงไว้ในรายงาน นั่นคือ ไม้จำนวนมากหายไป
กองทัพมนุษย์แอบตัดต้นไม้ไปเป็นจำนวนมาก และใช้ไฟเพื่อปิดบังการกระทำนั้น
พวกเขาคิดจะสร้างเรือเพื่อข้ามทะเลจริงหรือ ?
ซูเฉินหรี่ตาสงสัย
ความแฝงนั้นแสดงให้เห็นว่ากองทัพกำลังสวรรค์หมายจะสั่งสมไม้จำนวนมากเพื่อใช้ข้ามทะเล ทรัพยากรอื่น ๆ ที่พวกเขาสะสมมาเองก็ชี้ไปทางนี้เช่นกัน
แต่เขาก็ยังไม่คลายสงสัย
นั่นก็เพราะมันขัดแย้งกันอย่างไรเหตุผล หากกองทัพกำลังสวรรค์คิดสะสมไม้เพื่อข้ามทะเลอย่างลับ ๆ แล้วทำไมถึงไม่คิดปิดบังเรื่องที่ตนชิงเอาหินพลังต้นกำเนิดมาด้วยเล่า
แม้หินพลังต้นกำเนิดจะนำไปใช้ได้หลายอย่าง แต่ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือใช้ข้ามทะเล เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพกำลังสวรรค์ยังจำเป็นต้องปิดบังเรื่องที่พวกเขาสะสมไม้ด้วยหรือ ?
หรือจะหวังให้พวกเผ่าคนเถื่อนปัญญาต่ำพวกนี้ไม่อาจรู้ถึงความขัดแย้งในหลักการนี้ได้ ?
ซึ่งก็เป็นไปได้ ในเมื่อเผ่าคนเถื่อนมักไม่ค่อยใช้สมองอยู่แล้ว แต่โอกาสในการเป็นไปได้ก็ยังต่ำ คนเราอาจโง่ได้ แต่หากจะโง่กันทั้งเผ่าคงยาก มีเผ่าคนเถื่อนอีกหลายคนนัก อย่างน้อย ๆ ก็คนสองคนที่สามารถรู้ถึงความขัดแย้งกันได้ใช่ไหมเล่า ?
แต่ถ้านั่นไม่ใช่เป้าหมายของพวกเขา แล้วจะลงแรงไปกับการกระทำพวกนี้ไปตั้งมากเพื่ออะไร ?
กลยุทธ์เบี่ยงเบนความสนใจหรือ ?
ไม่หรอก ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังมากเท่านั้นเพื่อเบี่ยงความสนใจ กองทัพกำลังสวรรค์ติดอยู่ในเขตศัตรูเสียลึก ไม่มีทั้งแรงและเวลามาทำเจ้าเล่ห์เช่นนั้นได้
แล้วพวกเขาคิดทำอะไรกัน ?
ซูเฉินยังหาเบาะแสต่อไป และครุ่นคิดอย่างหนัก
ไม่นาน ซูเฉินก็พบข้อมูลอีกชิ้น เป็นเรื่องการลอบโจมตีชนเผ่าเล็กที่อยู่ไม่ไกล หัวหน้าชนเผ่าบอกว่าสมบัติชิ้นสำคัญถูกชิงไป คือแก่นหนอนไหมป่า ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหากซูเฉินไม่พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ ว่าดูท่าจะมีกรณีที่แก่นอสูรกายถูกชิงไปเมื่อก่อนหน้านี้เช่นกัน
หากแต่รายงานหลายชิ้นไม่ได้แจ้งว่าของสิ่งใดถูกปล้นไปบ้าง ดังนั้นจึงไม่มีข้อมูลที่เขาต้องการเท่าไหร่ เหตุผลหลัก ๆ ที่รายงานนี้เอ่ยเรื่องแก่นนั่นขึ้นมาเป็นเพราะชนเผ่านั้นยากจนมาก หัวหน้าเผ่าเองก็ตามตอแยพวกเขาไม่เลิก ดังนั้นจึงได้มาปรากฏอยู่ในรายงานทางการเช่นนี้ได้
ซูเฉิค่อย ๆ พลิกหน้าอ่านไปเรื่อย แน่นอนว่าย่อมเจอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันบ้าง แต่ส่วนมากไม่ได้มีข้อมูลรายละเอียดเป็นพิเศษ
เป็นตอนนั้นเองที่ซูเฉินพลันนึกบางอย่างขึ้นได้
ข้อมูลชิ้นหนึ่งเรื่องกองทัพกำลังสวรรค์
ก่อนออกจากปราการลุ่มน้ำทอง ซูเฉินไปถามเซียวเฟยหนานเกี่ยวกับเรื่องกองทัพกำลังสวรรค์มาโดยเฉพาะ ว่ามีจุดแข็งใดที่ซูเฉินมีเหนือกว่าเผ่าคนเถื่อนในการตามหากองทัพกำลังสวรรค์บ้าง ซึ่งนั่นก็คือเขามีความเข้าใจกองทัพได้มากกว่าอีกฝ่ายนั่นเอง
หากรู้จักตนเอง รู้จักศัตรู เช่นนั้นย่อมมีชัยเสมอ
ซูเฉินไม่รู้จักศัตรู เผ่าคนเถื่อนก็เช่นกัน ทว่าซูเฉินรู้จักเพื่อนร่วมทัพดีกว่าพวกเผ่าคนเถื่อน
ระหว่างการไล่ล่าเช่นนี้ การรู้จักเพื่อนนั้นสำคัญกว่ารู้จักศัตรู
เพราะเช่นนี้ เขาถึงคิดเรื่องอื่นขึ้นได้
หรือก็คือนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาต่างหาก
ซูเฉินตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงคนผู้นั้น
ทันใดนั้น เขาก็พลันเดาออกว่ากองทัพกำลังสวรรค์จะมุ่งหน้าไปทางใด
หากแต่ก่อนหน้านั้น เขาต้องลงมือตามหาบางอย่างให้มั่นใจเสียก่อน
ภายในเทือกเขาหินป่าหยก
“จาเค่อ ! เจ้าอยู่ไหน ?” อากู่ลี่ร้องเรียกพลางลนลานค้นหารอบกาย ในมือถือตะกร้าไว้
“แม่ ข้าอยู่นี่ !” ร่างน้อยของจาเค่อปรากฏอยู่บนต้นไม้ต้นไกล ใบหน้าเต็มไปด้วยเถ้าสีดำ
“สวรรค์ ครั้งนี้เจ้าไปไหนมาอีก ? ข้าบอกแล้วว่าไม่ให้ไปไหนคนเดียวนี่” อากู่ลี่สั่งสอนพลางวิ่งไปหาแล้วปัดฝุ่นดำออกจากร่างให้
“เค่อลี่พนันว่าข้าไม่กล้าปีนผาตรงนั้น ข้าก็เลยรับพนัน สุดท้ายข้าชนะ แต่เขาหนีไป” จาเค่อตอบ ดูไม่พอใจอยู่บ้าง
“เจ้าปีนผาอินทรีเปลี่ยว ? ข้าบอกเจ้าแล้วนะเจ้าหนู ว่าอย่าไปปีน ! ทำไมถึงไม่ฟังกันเลยนะ ?” อากู่ลี่เอ่ยเสียงเกรี้ยว
“ข้าไม่เป็นไร ! ข้าอายุสิบเอ็ดแล้วนะ ผาอินทรีเปลี่ยวไม่เท่าไหร่หรอก” จาเค่องึมงำ
“เป็นสิ มันอันตรายเกินไป”
“ข้าเป็นทายาทคมสายฟ้า ทายาทคมสายฟ้าไม่เกรงกลัวอันตรายหรอก !” จาเค่อว่าเสียงดัง
อากู่ลี่สีหน้าหม่นลง “ลืมเรื่องคมสายฟ้าไปเถอะเจ้าหนู มันไม่ได้เป็นของข้าหรือเจ้าอีกแล้ว ไม่มีทางที่เจ้าจะเป็นคมสายฟ้าที่แท้จริงได้แล้ว”
“ไม่ ข้าทำได้ !” เด็กน้อยว่า หน้าตาไม่พอใจ
อากู่ลี่จ้องมองลูกชายของอย่างอ่อนโยนแล้วลูบหัวเขา นางอย่างกล่าวบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป
อึดใจต่อมา นางพลันรู้สึกว่าที่พื้นสั่นสะเทือน
อากู่ลี่ชะงักไปนิดหน่อย ก่อนจะนอนราบลงเงี่ยหูฟัง ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนโดยพลัน
นางรีบลุกขึ้นมองด้านหลัง เห็นกองทัพหนึ่งปรากฏอยู่ไกล ๆ
“มนุษย์……” อากู่ลี่ใจเต้นแรง
“แม่ ?” จาเค่อน้อยไม่เข้าใจเรื่องราว มองแม่ตนเองสายตาวิตก
“วิ่งเร็ว !” อากู่ลี่จับมือลูกชายตนแล้วเริ่มออกวิ่งสุดฝีเท้า
ด้านหลังนาง คือกองทัพที่แม้จะยุ่งเหยิงแต่ก็ยังมีกำลังวังชาขณะที่รุดหน้าเข้ามา พลางปล่อยกลิ่นอายสังหารเต็มเปี่ยม เข้าโอบล้อมชนเผ่าน้อยภายในชั่วพริบตา……