ภาคที่ 4 บทที่ 111 ไร้วิญญาณ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 111 ไร้วิญญาณ

กลับถึงถ้ำแล้ว ซูเฉินก็โยนร่างเผ่าคนเถื่อนที่หิ้วมาลงพื้น

เผ่าคนเถื่อนพวกเดิมที่ถูกเขาจับตัวไว้ไม่มีปฏิกิริยาอะไรในตอนแรก แต่เมื่อเห็นว่าคนที่มาใหม่แล้วก็พากันตกตะลึง

“ไร้วิญญาณ ! คือไร้วิญญาณ !?”

“ไร้วิญญาณ ?” ซูเฉินเลิกคิ้ว “เป็นไร้วิญญาณหรอกหรือ ? ไม่แปลกที่วิชาสรรพสิ่งลวงตาใช้กับเขาไม่ได้ผล”

ก็เหมือนกับนักพยากรณ์กระดูก พวกเขาเป็นผลผลิตจากอารามศักดิ์สิทธิ์

หากแต่ไร้วิญญาณนั้นไม่ได้เอาไว้รับมือมนุษย์ แต่เป็นเผ่าวิญญาณ

เพราะจิตที่อ่อนโดยกำเนิด เผ่าคนเถื่อนจึงยากจะต่อต้านการโจมตีจิต ดังนั้นเผ่าคนเถื่อนจึงกลัววิชาบงการจิตทาสของเผ่าวิญญาณที่สุด

เผ่าคนเถื่อนสู้กับเผ่าวิญญาณเพียงครั้งเดียวในหน้าประวัติศาสตร์ แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้ไม่กล้าล่วงเกินเผ่าวิญญาณอีกแล้ว

ในการต่อสู้นั้น เผ่าคนเถื่อนส่งทัพไปสามแสน ส่วนเผ่าวิญญาณส่งไปเพียงสามพัน

หากแต่ทัพสามพันคนของเผ่าวิญญาณกลับสลักภาพฝันร้ายไว้ให้ทหารเผ่าคนเถื่อนนับไม่ถ้วน เมื่อกำลังพลเผ่าคนเถื่อนที่มุ่งหน้าไป จู่ ๆ กลับหันมาสังหารกันเอง นับเป็นการต่อสู้มหาวิบัติโดยแท้

หลังจากนั้น เผ่าคนเถื่อนก็ถอนตัวออกไปเอง ยอมมอบถ้ำว่านไหลให้กับเผ่าวิญญาณ เคราะห์ดีที่เผ่าวิญญาณสนแต่การค้นคว้าทดลอง ดังนั้นจึงมีความต้องการดินแดนต่ำ เป็นเหตุผลเดียวที่เผ่าคนเถื่อนรอดมาได้

หลังจากนั้น เผ่าคนเถื่อนก็กลัวเผ่าวิญญาณมากกว่าเผ่าไหน ๆ มาจนถึงวันนี้ และแน่นอน ที่เป็นแบบนี้อีกอย่างก็เพราะพวกเขายังเป็นแหล่งทำการทดลองที่ใหญ่ที่สุดของเผ่าวิญญาณอีกด้วย

เผ่าคนเถื่อนจึงพยายามหาทางรับมือเผ่าวิญญาณ

จึงมีแนวคิด ‘ไร้วิญญาณ’ ขึ้นมาด้วยเหตุดังนี้

จากข้อมูลที่ซูเฉินมี ไร้วิญญาณเป็นเผ่าคนเถื่อนพิเศษที่เสียอิสรภาพไป พวกเขาสัมผัสโลกภายนอกได้ แต่สัมผัสทั้งหมดกลับจืดชืดไร้รสชาติ ไม่กระทบอารมณ์และการกระทำ วิญญาณของพวกเขาถูกขับไล่ ไม่อาจคิดทำอะไรเองได้ เหลือเพียงสัญชาตญาณในการต่อสู้เท่านั้น

หรือก็คือคนพวกนี้ไม่มีวิญญาณ และเพราะไม่มีจึงไม่อาจบงการจิตได้ ก็คล้ายกับศพเดินได้นั่นเอง

ดังนั้นเผ่าคนเถื่อนผู้นี้จึงไม่เอ่ยสักคำยามสู้กับซูเฉิน

พูดยังไม่ได้ อย่างมากก็ได้แต่ร้องคำรามออกมาตามสัญชาตญาณ

ไร้วิญญาณนั้นหาพบยากนัก ด้วยต้องใช้วิธีทารุณเหนือจินตนาการเพื่อขับไล่วิญญาณออกจากร่าง และเมื่อกลายเป็นไร้วิญญาณแล้ว พลังก็จะหยุดอยู่เท่านั้น ไม่เพิ่มขึ้นอีก

ด้วยเหตุนี้ ไร้วิญญาณตัวจริงจึงไม่อาจพบได้ง่าย โดยพวกเขาจะถูกเลือกมาจากอาชญากรต้องโทษตายที่มีพลังสูง แต่กระนั้นโอกาสสำเร็จก็มีน้อย สิบครั้งสำเร็จเพียงหนึ่ง

ดังนั้นไร้วิญญาณจึงพบเห็นแบบอยู่ตัวคนเดียวไม่ง่าย มักอยู่คู่กับบุคคลระดับสูง คอยเป็นผู้คุ้มกัน โดยเพราะคุ้มกันจากศัตรูประเภทโจมตีจิต ไร้วิญญาณยังมีความสามารถพิเศษ นั่นคือการดึงเอาการโจมตีจิตมาไว้ที่ตนเอง เหยื่อที่หมายจะถูกโจมตีจึงไม่ถูกควบคุม

ไร้วิญญาณตรงหน้าเขาอาจเป็นผู้ป้องกันจิตของแม่ทัพผู้นั้น แต่ไม่รู้ทำไมในตอนนั้นถึงไม่ได้อยู่ใกล้ตัวแม่ทัพ แม่ทัพนั่นจึงตกอยู่ในวิชาจิตของซูเฉินไปชั่วขณะ

ภายหลังเมื่อได้สติ อาจเป็นเพราะไร้วิญญาณนี่ก็ได้ ที่หลังพบว่าแม่ทัพถูกวิชาจิตจึงรุดหน้าตามเขามาทันทีก็เป็นไปได้

ไร้วิญญาณนั้นติดตามไล่ล่าเหยื่อที่มีพลังจิตสูงส่งได้ดีเป็นพิเศษ สำหรับพวกเขาแล้ว คนเหล่านี้ก็เหมือนกับไฟกองใหญ่สว่างจ้าอยู่ท่ามกลางความมืด ดังนั้นวิชาซ่อนกายของซูเฉินจึงไร้ผล อีกทั้งยังเป็นเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายไม่ได้แจ้งเตือนเผ่าคนเถื่อนอื่น ๆ ด้วย

และในตอนนี้ ไร้วิญญาณได้ตกอยู่ในมือซูเฉินแล้ว ร่างกายเผ่าคนเถื่อนนั้นมีสองหัวใจ ดังนั้นแม้ดวงหนึ่งจะถูกทำลายไปก็ยังอยู่ได้ และเมื่อไม่มีจิตนึกคิดเอง จึงได้แต่จ้องมองซูเฉินนิ่ง ยังหมายจะฆ่าเขาอยู่ หากแต่สู้ไปก็ไม่ได้อะไร จึงยิ่งทำให้ซูเฉินสนใจเขาขึ้นไปอีก

“ไร้วิญญาณ…… น่าสนใจจริง ข้าศึกษาคนมามาก ไม่เคยเจอเป้าหมายที่ไร้วิญญาณมาก่อน นี่จะเป็นการทดลองแรกที่จะเน้นทดลองด้านจิต” ซูเฉินเอ่ยเสียงตื่นเต้น รู้ถึงประโยชน์ของไร้วิญญาณทันที ว่าต้องทำให้เขาเข้าใจเรื่องจิตมากขึ้นเป็นแน่

“หากแต่ก่อนหน้านั้น ดูท่าจะต้องหาวิธีรักษาเผ่าคนเถื่อนที่เสียหัวใจไปให้กลับมาสภาพเต็มร้อยเสียก่อน” ซูเฉินเอ่ยเสริม

เผ่าคนเถื่อนที่เสียหัวใจไป ร่างกายจะอ่อนแอลงมาก หากซูเฉินอยากใช้ตัวทดลองที่ได้มาอย่างยากลำบากเช่นนี้ให้ได้นาน ๆ ก็จำต้องหาวิธีทำให้อายุการใช้งานยืนยาวขึ้น

“ต้องคิดวิชาที่ทำให้เผ่าคนเถื่อนแกร่งขึ้นหรือ ? ล้อเล่นหรือเปล่า ? แต่ท่าจะไร้หนทางอื่นแล้ว” ซูเฉินพึมพำพลางตัดสินใจ

ไร้กังเหยียนข้างกายแล้ว เขาจะทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันก็ไม่สะดวกนัก อีกทั้งยังต้องรีบหากองทัพกำลังสวรรค์ ทำให้ซูเฉินไม่อาจหาเวลามาทำการทดลองได้เต็มที่ ได้แต่กดความกระหายความรู้ไว้ภายในชั่วคราวเท่านั้น

หลังจากห้ามเลือดให้ไร้วิญญาณผู้นั้นแล้ว ซูเฉินก็โยนเข้าไปด้านข้างแล้วเริ่มมองหาของและกระดาษที่เขาเอามาได้

ระบบข้อมูลของเผ่าคนเถื่อนนั้นเรียบง่ายไม่เป็นสาระ จนช้ากว่ากองทัพกำลังสวรรค์ก้าวหนึ่งเสมอ ส่วนมากจึงได้ยินข่าวเรื่องกองทัพกำลังสวรรค์ก็ตอนมาถึงที่แล้ว ซูเฉินจำเป็นต้องใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อไตร่ตรองดูว่ากองทัพกำลังสวรรค์จะไปที่ใดต่อ

“พวกเขาปล้นมาราวสิบเมือง เน้นหาหินพลังต้นกำเนิด…… ใครที่ยังพากองทัพกำลังสวรรค์รอดมาได้จนถึงตอนนี้นับเป็นผู้นำมีความสามารถนัก ผู้บัญชาการกองทัพกำลังสวรรค์งไม่ทำเช่นนี้โดยไร้เหตุ ดังนั้นต้องมีแผนแน่ แต่เขาจะไปที่ไหนต่อ ?” ซูเฉินพึมพำ

หากอยากรู้ว่ากองทัพกำลังสวรรค์คิดอะไร เขาเองก็ต้องรู้ถึงจุดประสงค์อีกฝ่ายให้ออก

จุดมุ่งหมายปลายทางนั้นเดาง่าย นั่นคือกลับไปยังอาณาจักรหลงซาง แต่การบรรลุจุดหมายนั้นซับซ้อนกว่ามาก

หนทางกลับปราการลุ่มน้ำทองไม่ใช่ทางเดียวที่จะกลับอาณาจักรหลงซางโดยเดินทางจากเขตเผ่าคนเถื่อนได้ นอกจากทุ่งหญ้าฮาเหวยซึ่งเป็นทางที่ง่ายที่สุดแล้ว ยังมีอย่างน้อยอีกสามเส้นทางที่ไปได้ อาจไปทางทะเล ตัดผ่านช่องเขาวายุกระหน่ำและเมืองทะเลแห่งความตาย สุดท้ายก็มาถึงบึงของเผ่าท้องสมุทร จากนั้นข้ามถ้ำว่านไหล ออกผ่านทางเขตแดนผ่าวิญญาณ แถบอ่าวโรซีตะวันตก ผ่านบึงเงาลม สุดท้ายก็ผ่านพรมแดนเผ่าสัตว์อสูร ข้ามไปสู่อาณาจักรวายุโหม หรือไม่ก็ข้ามเทือกเขาหินปูน แล้วข้ามพรมแดนเผ่าสัตว์อสูร เพื่อไปอาณาจักรเมฆาเคลื่อนก็ได้

ทุกเส้นทางล้วนเต็มไปด้วยอันตราย

ในเมื่อกองทัพกำลังสวรรค์มุ่งกักเก็บหินพลังต้นกำเนิด ดังนั้นคงจะเลือกทางทะเลเป็นแน่ มีแต่เรือใหญ่เท่านั้นถึงจะต้านแรงลมแรงคลื่น และการขับไล่อสูรกายในท้องน้ำนั่นก็ต้องใช้หินพลังต้นกำเนิดจำนวนมาก

ประโยชน์ของการเลือกทางนี้คือเผ่าท้องสมุทรและเผ่ามนุษย์นั้นมีความแตกแยกกันน้อยที่สุด สามารถไกล่เกลี่ยโดยสันติได้ หากแต่อันตรายในเขตมหาสมุทรก็ไม่ได้น้อยไปกว่าในเขตเผ่าสัตว์อสูร ด้วยอสูรกายทรงพลังทั้งหลายต่างร่อนเร่ไปทั่ว กดดันเผ่าท้องสมุทรอย่างหนัก เป็นเหตุผลที่เผ่าท้องสมุทรต้องลำบากกว่าเผ่าใหญ่ทั้งห้าอื่น ๆ

แต่ยังมีอีกเหตุผลสำคัญหนึ่ง นั่นคือเผ่าคนเถื่อนนั้นไร้เรือ

พวกเขาไม่มีเรือใหญ่ที่ใช้ข้ามท้องสมุทรได้

เมื่อไร้เรือ แล้วจะข้ามท้องสมุทรได้อย่างไรกัน ?

หรือพวกเขาส่งกองกำลังมาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู ? หรือเบื้องหลังมีความจงใจอย่างอื่น ? หรือคิดจะเสี่ยง ตัดไม้เพื่อทำเรือกัน จากนั้นก็ล่องเรือข้ามมหาสมุทร ?

ซูเฉินนั่งครุ่นคิด