บทที่ 110 สู้กันอุตลุด
เพื่อรับมือกับศอกนั้น ซูเฉินจำต้องถอย ดาบหั่นภูผาพลันปรากฏขึ้นในมือ สกัดศอกที่กระทุ้งเข้ามา
ศอกของอีกฝ่ายกระแทกกับตัวดาบเป็นเสียงดังเคร้ง
รุนแรงนัก
เผ่าคนเถื่อนยังมุ่งหน้าเข้าต่อ ก่อนปล่อยลูกเตะตามมาอีก
ซูเฉินเห็นตัวเผ่าคนเถื่อนแล้ว ยังหนุ่มอยู่ และมีผิวสีคล้ำ ที่ริมฝีปากมีห่วงเจาะ ใบหน้าเต็มไปด้วยอักขระ การโจมตีนั้นทั้งดุร้ายและรวดเร็วเป็นพิเศษ เข้าโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า
เผ่าคนเถื่อนมักสู้เช่นนี้ ส่วนมากก็ใช้หมัดใช้เท้าโจมตีในรูปแบบธรรมดา หากแต่ละการโจมตีนั้นล้วนเต็มไปด้วยพลังน่าเกรงขามทั้งสิ้น
ตู้ม !
หลังซูเฉินหลบไปด้านข้าง ลูกเตะของทหารเผ่าคนเถื่อนจึงซัดลงที่ศิลาใกล้ ๆ จนแตกแทน ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่สนใจ ตั้งท่าโจมตีต่อด้วยหมัดซึ่งซัดผ่านหน้าซูเฉินไปพร้อมเสียงลั่นเปรี๊ยะของพลัง ส่งคลื่นพลังพุ่งออกไปซัดต้นไม้และหินใกล้ ๆ
ที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่พลังจากหมัดแรก เพราะอย่างไร คนด่านทะลวงลมปราณส่วนมากก็สามารถปล่อยพลังออกมาได้เช่นนี้เป็นปกติอยู่แล้ว แท้จริงแล้วจะแกร่งกว่านี้ด้วยซ้ำ
ที่น่าปวดหัวคือคู่ต่อสู้ของซูเฉินยังไม่ได้ใช้วิชาเผ่าคนเถื่อนเลย เพียงใช้หมัดใช้เท้าธรรมดาเท่านั้น
นับเป็นปัญหาใหญ่
ว่ากันตามปกติ การเผชิญหน้ากับเผ่าคนเถื่อนในการต่อสู้ระยะประชิดนั้นไม่ควรทำ ส่วนมากมักแนะนำให้เลี่ยง กระทั่งผู้ใช้พลังต้นกำเนิดที่แกร่งกล้ายังอาจถูกพลิกสถานการณ์ได้หากต้องเข้าสู้ระยะประชิดกับเผ่าคนเถื่อน
หากแต่ซูเฉินไร้ทางเลือก
เขายังอยู่ใกล้ค่ายทหารมาก ดังนั้นหากใช้หงส์เพลิง แสงสว่างจ้าจากตัววิชาท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนย่อมถูกพบเห็นโดยเร็วแน่ และหากเผ่าคนเถื่อนกลุ่มใหญ่พากันรุดหน้าหาเขา เขาต้องแย่แน่ !!
ดังนั้นซูเฉินจึงต้องกัดฟันทน สู้ระยะประชิดต่อไป พยายามโจมตีให้เงียบเชียบมากที่สุด
การทำตัวไม่โดดเด่นนั้นสำคัญที่สุดยามต่อสู้ในสภาพมืดมิด
อีกฝ่ายไม่ถูกผลของวิชาสรรพสิ่งลวงตา เมื่อสู้กันต่อไปเรื่อย
แต่เมื่อศัตรูโจมตีไม่หยุด ซูเฉินก็เริ่มมีน้ำโหเช่นกัน คำรามเสียงขึ้น “คิดว่าสู้ระยะประชิดแล้วจะทำอะไรตามใจชอบได้งั้นหรือ ?”
ทั่วร่างเริ่มมีแสงสีทองส่องสว่างขึ้นจาง ๆ เกราะพลังปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็เหวี่ยงแขนเล็งไปยังช่วงอกอีกฝ่าย
แสงสว่างขึ้นใกล้กับช่วงอกเผ่าคนเถื่อน สกัดการโจมตีไว้ โต้กลับด้วยหมัดเอียงใส่หน้าผากซูเฉิน แต่ชายหนุ่มเปิดใช้ผู้พิทักษ์แห่งเม็กสกัดไว้ได้ จากนั้นกระทุ้งเข่าใส่ช่วงท้องอีกฝ่าย เผ่าคนเถื่อนโต้กลับแบบเดียวกัน แรงปะทะส่งทั้งสองฝ่ายถอยไปหลายก้าว อักขระโทเทมปรากฏขึ้นปกป้องทหารเผ่าคนเถื่อนไว้ ส่วนซูเฉินก็มีเกราะพลังปกป้อง ดังนั้นแรงปะทะจากทั้งสองฝ่ายจึงสลายหายไป
ไม่มีใครบาดเจ็บ ดังนั้นพอแยกกันแล้วก็พุ่งเข้าใส่กันใหม่ทันที ใช้ศอก ใช้กรงเล็บ ใช่เข่า กระทั่งพยายามใช้กำลังทุ่มอีกฝ่ายเป็นบางครั้ง ผู้เชี่ยวชาญพลังระดับกลางทั้งสองพลันถดถอยลงไปใช้กำลังอย่างผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา แม้จะเคลื่อนไหวเรียบง่าย แต่ก็ดุดันและเต็มไปด้วยพละกำลังมหาศาล
ผัวะ ผัวะ ผัวะ ผัวะ ! หลังจากเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด ทั้งสองก็แยกกันอีก แสงเรืองบนร่างซูเฉิน เกราะพลังของเขา จางหายไปแล้ว ซูเฉินร่างเซไปเล็กน้อยด้วยลื่น ทหารเผ่าคนเถื่อนพุ่งเข้าใส่พร้อมกับอีกการโจมตี วิธีการต่อสู้ของเขาค่อนข้างชวนให้นึกถึงอวิ๋นเป้า แต่ดุดันและโหดเหี้ยมมากกว่า ซูเฉินยกแขนขึ้นหมายสกัดอีกฝ่ายไว้ แต่กลับไม่อาจต้านแรงไหว แขนถูกกดจนติดอก พ่นเลือดคำหนึ่งออกมาแล้วเซถอยไปหลายก้าว
ซูเฉินเช็ดเลือดมุมปากแล้วยอมรับพลางส่ายหน้า ”เอาล่ะ เจ้าแกร่งจริง ๆ”
เชามีชุดคลุมเส้นใยปะการังคุ้มร่าง ทั้งยังมีเกราะรบเหล็กกล้าและผู้พิทักษ์แห่งเม็ก เดิมทีคิดว่าจะเพียงพอกับการที่เขาไม่เก่งการต่อสู้ระยะประชิด แต่อีกฝ่ายกลับทรงพลังเสียจนชุดคลุมเส้นใยปะการังยังไม่อาจต้านพลังอย่างเต็มที่ได้
แม้แผลจะไม่หนัก แต่ก็ยังยอมรับได้ยาก
เขาฝึกวิชากายาเวหาเวียนและเกราะรบเหล็กกล้า หากเทียบกับคนอื่นก็ถือว่ามีร่างกายแกร่งกว่ามาก หากแต่เมื่อเทียบกับเผ่าคนเถื่อนแล้ว ก็ยังนับว่าอ่อนแอราวกับลูกไก่ กระทั่งมีเครื่องมือต้นกำเนิดช่วยป้องกันและเกราะพลังแล้วก็ยังไม่อาจต้านแรงโจมตีได้ แม้ตนจะเสียเปรียบและอีกฝ่ายได้เปรียบ แต่ใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของซูเฉินก็ยากจะยอมรับความจริงข้อนี้
ทหารเผ่าคนเถื่อนพุ่งเข้ามาอีก
“บัดซบ !” ซูเฉินสบถ “มาเลย !”
แสงสว่างเริ่มส่องขึ้นเบื้องหลัง ก่อนภาพมายาจะปรากฏเป็นรูปร่างขึ้น
เป็นภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิด
มองบางมุมก็อาจเป็นการโกงอย่างหนึ่ง แต่อีกมุมก็ไม่ใช่
ซูเฉินเป็นคนสร้างภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดขึ้นมา หากจะยัดมันลงว่าเป็นวิชาประเภทใดท่าจะยาก เพราะมันไม่ใช่วิชาต้นกำเนิด ด้วยมันฝึกไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่วิชาจากสายเลือดเช่นกันเพราะมันไร้สายเลือดใด ไม่ใช่วิชาบ่มเพาะร่าง ไม่เหมาะจะเข้าเป็นวิชาประเภทใดได้ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็สามารถกล่าวได้ว่ามันเป็นวิชาในแต่ละประเภทในระดับหนึ่งได้เช่นกัน
อย่างน้อยในเรื่องของพลัง ความแกร่งด้านร่างกายที่ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดมอบให้ก็พอจะเทียบได้กับเผ่าคนเถื่อน
จังหวะนั้น ซูเฉินปล่อยให้ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดหลอมรวมกับร่างเขา ทำให้กลิ่นอายเขาพลุ่งพล่านขึ้นมา
ทหารเผ่าคนเถื่อนเห็นแล้วก็อึ้งไป ซูเฉินร้องเสียงร้ายกาจขึ้น “อยากสู้กันด้านพลังกายหรือ ? งั้นลองนี่ !”
แล้วหมัดหนึ่งก็ระเบิดพุ่งเข้ามา
ทหารเผ่าคนเถื่อนจึงโต้กลับไปด้วยหมัดตามสัญชาตญาณ สองหมัดเข้าปะทะ ทหารเผ่าคนเถื่อนถูกดันร่างกระเด็นไปราวกับว่าวสายป่านขาด
“ต้องอย่างนี้สิ !” ซูเฉินว่าพลางพยักหน้าพอใจ จากนั้นกระโจนเข้าไปลดระยะห่างระหว่างเขากับทหารเผ่าคนเถื่อนพร้อมกับลูกเตะ
ทหารเผ่าคนเถื่อนกลิ้งไปด้านหลังหลบการโจมตี ทั้งยังมีแรงโต้กลับด้วยการส่งลูกถีบใส่ ซูเฉินไม่หลบแล้วฝืนรับลูกเตะนั่นพลางหัวเราะ “มีแรงอยู่บ้าง แต่ก็ยังอ่อนไป”
จากนั้นก็เอื้อมมือใหญ่ไปคว้าร่างทหารเผ่าคนเถื่อน
ทันใดนั้นเสียงหึ่ง ๆ ก็เริ่มเล็ดลอดออกมาจากร่างอีกฝ่าย
ทั่วทั้งร่างส่องแสง อักขระโทเทมเจ็ดแบบเริ่มมอบพลังให้กายเขา กระทั่งหมัดธรรมดายังเต็มไปด้วยคลื่นพลังรุนแรง แสงสว่างเจิดจ้าส่องทะลุท้องฟ้ายามค่ำคืน
“ตรงนั้น !”
ทหารเผ่าคนเถื่อนคนอื่น ๆ พบสนามต่อสู้ในที่สุดและรีบรุดหน้ามาพลางร้องตะโกน
เมื่อถูกรู้ตำแหน่งแล้ว ซูเฉินจึงไม่ยั้งมืออีก เพลิงดำลุกโชนขึ้นโหมร่างศัตรู ให้ความรู้สึกราวกับกำลังปะทะกับอักขระบนร่างอีกฝ่าย ไม่นานเพลิงดำก็ค่อย ๆ กินแสงจ้าจากอักขระโทเทม ทำให้กำลังทหารเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นลดน้อยลง อีกฝ่ายมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อพลังจากอักขระโทเทมตนหายไป
ผัวะ !
ฝ่ามือกระแทกลงบนอกทหารเผ่าคนเถื่อนหนุ่ม ทำให้กระดูกบริเวณนั้นแตกและทำลายหัวใจไปด้วงหนึ่ง
ทหารเผ่าคนเถื่อนร้อยโหยหวน แต่ยังไม่ตาย ปล่อยอีกหมัดที่เรืองแสงด้วยพลังงานร้อนฉ่าสีขาวออกมา
แม้จะตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น แต่ก็ยังต้องการและกระหายอยาก ยังคงหาญกล้าจะโจมตีกลับ !
“ฮึ่ม !”
ซูเฉินคำราม ก่อนก้มหน้าลงตรวจร่างตน
มีจุดสีแดงเข้มปรากฏบนเสื้อผ้าของเขา
หมัดทะลวงผ่านภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิด เกราะรบเหล็กกล้า ชุดคลุมเส้นใยปะการัง ทิ้งบาดแผลไว้บนร่างเขาจนได้
แม้จะไม่ได้ร้ายแรงนัก แต่ซูเฉินก็สัมผัสถึงความแน่วแน่ของอีกฝ่ายได้
“น่าเสียดายที่มีใจอย่างเดียวมันไม่พอ” ซูเฉินเอ่ย
พูดจบ เขาก็กระแทกฝ่ามือใส่ศีรษะอีกฝ่าย ปลิดกำลังความอยากสู้ทั้งหมดที่อีกฝ่ายมี จากนั้นคว้าร่างทหารเผ่าคนเถื่อนขึ้นมาแล้วหายไปกับความมืดยามค่ำคืน