บทที่ 109 แทรกซึมเข้าค่าย
หลังจากบินติดต่อกันมาเกือบสิบวัน ซูเฉินก็มาถึงที่รกร้างโลหิตในที่สุด
ระหว่างทางเขาพบจุดตรวจของเผ่าคนเถื่อนหลายจุด แต่ด้วยความสามารถในการแปลงร่างจึงผ่านไปได้ง่ายดาย
ส่วนเผ่าคนเถื่อนคนอื่น ๆ ก็ยอมให้เขาควบคุมนานแล้ว ไม่มีใครกล้าหือกับการกดขี่ข่มเหงของซูเฉิน เพราะคนที่กล้าก็ตายไปหมดแล้ว
หากแต่เมื่อมาถึงที่รกร้างโลหิต ซูเฉินก็พบปัญหาหนึ่ง เขาไม่รู้ว่ากองทัพกำลังสวรรค์ไปทางใดต่อ
เดิมทีกองทัพกำลังสวรรค์อยู่ที่ภูเขาเพลิงโหมตอนที่เขาออกจากป้อมเล่อกู่
หากแต่พวกเขาย่อมไม่รั้งอยู่ที่เดิมนานถึงสิบวัน เห็นได้ชัดว่าจากไปนานแล้ว ไปก่อนที่ซูเฉินจะรู้ที่อยู่พวกเขาเสียอีก
นั่นเป็นเพราะข่าวที่เผ่าคนเถื่อนได้รับมันล่าช้าไปบ้างอยู่เสมอ
ไม่เช่นนั้น หากคนไล่ล่าได้ข่าวเร็วกว่านี้ กองทัพกำลังสวรรค์ก็คงถูกกำจัดสิ้นแล้ว
ในเวลาเดียวกัน นั่นก็หมายความว่าเผ่าคนเถื่อนที่กำลังไล่ล่ากองทัพกำลังสวรรค์ก็จะยิ่งไล่ตามได้ช้าลง ๆ เท่านั้น
ดังนั้น หากซูเฉินอยากตามหากองทัพกำลังสวรรค์ ก็ต้องหาให้เจอก่อนเผ่าคนเถื่อน และต้องลงมือก่อนพวกเขาด้วย
ซูเฉินคิดเข้าหาพวกเขาผ่านแดนฝัน แต่ดูแล้วไม่มีใครในกองทัพพยายามเข้าแดนฝันบ้างเลย อาจเป็นเพราะหากพวกเขาปรากฏตัวขึ้นก็อาจทำให้เผยสถานที่ก็เป็นได้
“รอไม่ได้แล้ว ตอนนี้ได้แต่ต้องเดาว่าพวกเขาไปทางไหน” ซูเฉินพึมพำ
หากอยากรู้ว่ากองทัพกำลังสวรรค์มุ่งหน้าไปทางไหน ก็ต้องเข้าใจสถานการณ์ของกองทัพกำลังสวรรค์ ทั้งยังข้อมูลที่ไม่อาจส่งผ่านแดนฝันได้อีก
เย็นวันนั้น ซูเฉินจึงตัดสินใจเดินทางไปศาลากลางในเมืองท้องถิ่น
แต่ก่อนหน้านั้น เขาเจอถ้ำแห่งหนึ่งเอาไว้ใช้เก็บเชลยเผ่าคนเถื่อนที่เหลือ ก่อนที่จะเดินทางเข้าเมืองไป
เมืองที่เขาเข้ามาชื่อว่าเมืองลำห้วย ทหารเผ่าคนเถื่อนที่ประจำการอยู่ก็เพิ่งร่วมภารกิจไล่ล่ากองทัพกำลังสวรรค์มาเมื่อไม่นาน แม้จะลงมือเพียงผิวเผินเพราะไม่เคยเห็นกองทัพกำลังสวรรค์มาก่อน แต่ก็มีทางได้ข้อมูลเรื่องการเคลื่อนไหวของกองทัพกำลังสวรรค์มาบ้าง
ดังนั้น ซูเฉินจึงหมายจะเข้าไปดูสถานการณ์ในค่ายทหารของพวกเขา เผื่อว่าจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์
และด้วยความที่เผ่าคนเถื่อนขาดวินัยโดยเนื้อแท้ แม้จะมีกองกำลังที่แกร่งเท่าไหร่ก็ตาม แต่การบริหารจัดการนั้นไม่ดีเท่าไหร่
ทหารเผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งที่เฝ้าประตูไม่ทำหน้าที่ตนให้ดี นอนหลับมันทั้งอย่างนั้น ซูเฉินยืนอยู่ด้านหลัง มองศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาจนใจ ก่อนฟาดจนสลบไป ถูกตีจนสลบกับหลับนี่มันต่างกันด้วยหรือ ? เขาเดินผ่านไปเฉย ๆ ก็ได้แล้วกระมัง ?
ซูเฉินเดินเข้าประตูค่ายไปอย่างโจ่งแจ้ง
จุดมุ่งหมายของเขาคือกระโจมสีทองขนาดใหญ่ใจกลางค่าย ซึ่งน่าจะเป็นกระโจมหลักของเผ่าคนเถื่อน
และด้วยการใช้ความมืดเป็นส่วนหนึ่งของการพรางตัว ซูเฉินจึงแอบเข้าไปใกล้กระโจมนั่นได้
ซึ่งเขาก็โชคดีมาก เพราะในกระโจมไม่มีคนอยู่เลย
ซูเฉินจึงเดินเข้าไปตรง ๆ แล้วเห็นรายงานเรียงกันอย่างเรียบร้อยอยู่บนชั้นหนังสือใกล้ ๆ
ซูเฉินหยิบขึ้นมาไล่สายตาผ่าน ๆ รายงานแรกเหมือนเป็นรายงานเรื่องเกี่ยวกับที่ตั้งของกองทัพกำลังสวรรค์
กระทั่งเขาเองยังไม่เชื่อว่าจะเจอสิ่งที่ตามหาได้ง่ายดายเช่นนี้
นี่มันง่ายไปแล้ว
เขาลองพลิกเปิดอ่านดูแม้จะอึ้งไปมากก็ตาม
กองทัพเผ่าคนเถื่อนไร้ข่าวคราวว่าพวกเขามุ่งหน้าไปทางใดกันแน่ แต่ก็มีข้อมูลเรื่องบริเวณใกล้เคียงของกองทัพกำลังสวรรค์ ยิ่งพวกเขาส่งกลุ่มคนออกไปทั่วทิศ มันย่อมแสดงว่าคนพวกนี้หมายจะตามหาว่ากองทัพมุ่งหน้าไปทางใดกันแน่ อาทิเช่น ก่อนกองทัพกำลังสวรรค์จะปรากฏใกล้กับภูเขาเพลิงโหม พวกเขามุ่งหน้าไปทางเผ่าหมาป่าโลกันต์แห่งเมืองก้งกา
ก้งกานั้นเป็น ‘มุกแห่งที่รกร้างโลหิต’ เพราะเป็นหนึ่งไม่กี่เมืองในที่รกร้างโลหิตที่ร่ำรวย หากแต่เพราะอะไรบางอย่าง มันจึงไม่ได้มีกองกำลังอารักขามากมายนัก ทำให้กองทัพกำลังสวรรค์ฝ่าเข้าเมืองไปได้อย่างง่ายดาย พวกเขาได้ข้อมูลมาไม่น้อย สิ่งที่ซูเฉินพบคือข้อมูลโดยละเอียดของเมืองก้งกา
ซูเฉินสังเกตว่า ของต่าง ๆ ที่ถูกปล้นจากเมืองก้งกา หินพลังต้นกำเนิดเป็นของที่ถูกปล้นหลัก ๆ มันเหนือกว่าอาหารและทรัพยากรอื่น ๆ โดยเฉพาะหินประเภทดินและไม้
นั่นทำให้เขาได้ข้อมูลน่าสนใจมาวิเคราะห์
ก่อนบุกเมืองก้งกา กองทัพกำลังสวรรค์ผ่านเมืองมานับสิบ ความเสียหายทั้งหลายก็ถูกบันทึกไว้เช่นกัน ซูเฉินไล่ดูไปทีละรายการ
เขาเพิ่งทำความเข้าใจ ยามได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากหน้าทางเข้ากระโจม
เสียงฝีเท้านั่นเร็วมาก ทันทีที่ซูเฉินได้ยินเสียง เจ้าของเสียงก็เข้ามาแล้ว
ตุ้บ !
แม่ทัพที่เพิ่งผลักประตูกระโจมเข้ามายืนอึ้งอยู่เช่นนั้น
แม่ทัพเผ่าคนเถื่อนผู้นี้มีขนบนใบหน้าอยู่ไม่น้อย ตาสีทองแดง กลิ่นอายทรงพลัง จริง ๆ แล้วเผ่าคนเถื่อนส่วนมากมักเป็นเช่นนี้ รูปลักษณ์หลักของพวกเขาคือมีกล้ามแน่นและใบหน้าดุดัน
หนวดเครานั่นอาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้แยกใบหน้าของแม่ทัพผู้นี้ออกจากคนอื่น ๆ ได้ ด้วยเผ่าคนเถื่อนส่วนมากมักไม่ไว้หนวด
แม่ทัพเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นเบิกตากว้างจ้องซูเฉิน “เจ้าเป็นใคร ? ทำไมมาอยู่ในกระโจมข้าได้ ?”
อีกฝ่ายถามขึ้นมาก่อน
นั่นก็เพราะซูเฉินอยู่ในรูปร่างของเผ่าคนเถื่อน
ซูเฉินไม่อยากวางข้อมูลในมือลง “ข้าเข้ามาทำความสะอาดกระโจมให้ท่านแม่ทัพ แล้วก็อ่านรายงานพวกนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้น”
น้ำเสียงเขาทั้งเรียบเฉยทั้งสำรวม แต่การแสดงนั้นไม่เต็มใจ สีหน้าก็แข็ง นับว่าแสดงได้เลวร้ายมาก กระทั่งหมูยังรู้ว่าคำพูดคำจาของเขาไร้ความจริงใจ
“บัดซบ !” แม่ทัพเผ่าคนเถื่อนคำรามขึ้น กำลังจะออกท่าโจมตี ทว่าเมื่อแสงแปลก ๆ เต้นระริกผ่านตาซูเฉิน มันก็ทำให้เขาชะงักงันไป
เผ่าคนเถื่อนนั้นจิตอ่อน อาจนับว่าอ่อนแอด้านการโจมตีจิตที่สุดก็ว่าได้ ดังนั้นแม่ทัพเผ่าคนเถื่อนย่อมตกอยู่ภายใต้การควบคุมของซูเฉินเพียงแค่มองแวบเดียว
ซูเฉินจึงเมินเขาเสีย แล้วรวบรวมรายงานทั้งหมดไว้ ก่อนจะเดินนวยนาดออกมา อย่างไรก็ถูกเจอแล้ว อยากได้อะไรก็เอาไปให้หมดเลยก็แล้วกัน
ฝีเท้าเขาไม่เร่งรีบ ราวกับไม่เห็นทัพเผ่าคนเถื่อนในสายตา จนกระทั่งออกมาด้านนอกกระโจมจึงได้ยินเสียงเอะอะจากในกระโจม
แม่ทัพได้สติแล้ว
แม่ทัพเผ่าคนเถื่อนอยู่ด่านสู่พิสดาร แต่ที่ถูกวิชาเสียนานเป็นเพราะซูเฉินปรับปรุงวิชาสรรพสิ่งลวงตามาแล้ว เหตุผลสำคัญอีกอย่างคือพลังจิตอันต่ำต้อยของเผ่าคนเถื่อน หลังตื่นแล้ว แม่ทัพก็ร้องเสียงเกรี้ยวกราด ก่อนทหารเผ่าคนเถื่อนกลุ่มใหญ่จะรีบรุดหน้ามา
ทว่าซูเฉินเพียงหัวเราะเสียงเย็น ก่อนหายตัวไปกับความมืดอย่างลึกลับ
วิชาเร้นกายของเขาทำให้เขากลืนไปกับความมืดได้ ซึ่งก็หมายความว่าทำให้กลืนไปกับพื้นหลังได้เช่นกัน
เขาออกมาจากค่ายอย่างสบาย ๆ และกลับไปเมืองลำห้วย
ทว่าระหว่างที่กำลังเดิน ก็พลันเห็นเงาร่างหนึ่งพุ่งออกจากค่ายทหาร ตรงมายังทิศเขาด้วยความเร็ว
แย่ล่ะ ! ซูเฉินร้องในใจ
มีเผ่าคนเถื่อนที่มองเขาออกด้วย !
เผ่าคนเถื่อนผู้นั้นมั่นใจไม่น้อย ไม่ได้เรียกคนอื่น ๆ มาด้วย แต่พุ่งมาเพียงคนเดียว
เขาเร็วมาก แปบเดียวก็เข้าใกล้ซูเฉิน ปล่อยหมัดทรงพลังออกมา
ซูเฉินเหลือบมอง เงาร่างนั่นสั่นไปเล็กน้อย แต่ไม่ตกอยู่ในวิชาสรรพสิ่งลวงตา หมัดยังพุ่งตรงมายังศีรษะซูเฉิน
“หือ ?” ซูเฉินร้องขึ้นเสียงฉงนก่อนกระโดดหลบไปด้านข้าง ออกหมัดโต้กลับบ้าง เผ่าคนเถื่อนไม่คิดหลบ ใช้ร่างต้านการโจมตี แล้วถอนศอกใส่แขนซูเฉิน
ตู้ม !
เกิดเป็นแรงระเบิดออกมาจากการปะทะกัน