ภาคที่ 4 บทที่ 108 ระบบลึกลับ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 108 ระบบลึกลับ

ซูเฉินเอ่ยเสียงราบเรียบนัก ราวกับกำลังพูดเรื่องสามัญธรรมดายิ่ง

รอยยิ้มยางของซูเฉินนั้นดูราวกับปีศาจในสายตาเล่อน่า นางสั่นจนไม่อาจคุมร่างได้

นางพลันตะโกนลั่น “ไม่สำเร็จหรอก ไม่มีทาง !”

ซูเฉินยิ้มเช่นเดิมแล้วเอ่ยตอบ “จริง ๆ ข้าทำสำเร็จแล้ว”

อะไรนะ ?

ทุกคนชะงัก

ซูเฉินหยิบยาขวดหนึ่งขึ้นมา ชี้ไปทางเผ่าคนเถื่อนที่ลำไส้ละลายเป็นน้ำ “นี่คือยาตัวเดียวกันกับที่ข้าใช้กับเขาเมื่อครู่ ดูให้ดี”

เขาแหงนหน้าดื่มยานั่นลงไป

ทุกคนอึ้งที่เห็นเช่นนั้น แต่ไม่นานก็เห็นว่าซูเฉินยังสบายดี

ยานั่นไร้ผลกับเขา

“เป็นไปได้ยังไง ?”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?”

“เป็นไปไม่ได้ !”

เผ่าคนเถื่อนทั้งหมดเริ่มส่งเสียงดัง

เล่อน่าจ้องซูเฉินเขม็ง “อย่างไรก็ต้องมีข้อจำกัด เจ้ากวาดล้างเราไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก !”

“ก็ไม่ผิดจากที่เจ้าว่า” ซูเฉินพยักหน้ารับ “ปัญหาใหญ่สุดของยาประเภทนี้คือความสามารถในการกระจายน้อยเกิน จำต้องกินพิษเข้าไปจำนวนมากถึงจะให้ผล และอัตราการสังหารก็จำกัดความสามารถในการแพร่กระจายของมัน…… เอาเป็นว่ายังมีที่ต้องปรับอีกหลายส่วน แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็นับว่ามีตัวอย่างพิษที่ใช้กวาดล้างเผ่าคนเถื่อนกำเนิดขึ้นมาแล้ว ขั้นต่อไปคือปรับปรุงมันเรื่อย ๆ และข้าเชื่อว่าสักวันมันต้องมีผลดีอย่างที่ข้าคิดไว้แน่”

“ข้าขอร้องล่ะ อย่าทำการทดลองต่อไปเลย……” เล่อน่าคร่ำครวญอย่างหมดท่า

นับตั้งแต่ซูเฉินจับตัวนางมา เล่อน่าก็พร้อมเผชิญหน้ากับความตายอย่างกล้าหาญ

หากแต่ตอนนี้นางกลับกลัวจากใจจริง

กลัวว่าซูเฉินจะประดิษฐ์เจ้านั่นขึ้นมาและทำได้สำเร็จจริง ๆ

ทหารเผ่าคนเถื่อนมั้งหลายจดจ้องซูเฉินด้วยความขลาด ราวกับกำลังจ้องร่างจุติของปีศาจก็มิปาน

ซูเฉินจึงเอ่ยเสียงสงบ “จะหยุดการทดลองข้าคงทำไม่ได้ แต่ข้ามีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือมีความสนใจหลากหลาย หากมีสิ่งใดมาดึงความสนใจไว้ได้ ก็ทำให้ข้าวางมือจากการทดลองอื่น ๆ ได้ชั่วคราว”

เล่อน่าพลันเข้าใจ

นางคุกเข่าลงตรงหน้าซูเฉิน “นักพยากรณ์กระดูกเล่อน่าแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์ก้งกาคำนับผู้วิเศษชาวมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าท่านจะอยากรู้สิ่งใด ข้าจะบอกทุกอย่างให้ท่านรู้”

“รวมถึงการทำนายกระดูกด้วยหรือไม่ ?”

เล่อน่าตัวสั่นก่อนรับคำ “ถูกต้อง รวมมันด้วย”

ซูเฉินหัวเราะ “เห็นหรือไม่ ข้าบอกไว้กระมังว่าเจ้าจะต้องเป็นฝ่ายร้องขออยากบอกข้าเอง ?”

จริง ๆ แล้วซูเฉินยังไม่ได้หยุดทำการค้นคว้าเรื่องพิษเผ่าคนเถื่อน

และแท้จริงแล้วการคิดค้นยาที่กวดาล้างเผ่าคนเถื่อนนั้นก็เป็นเพียงฝันลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น

เบื้องหน้านั้นราวกับว่าเขาได้คิดยานั่นขึ้นมาได้แล้ว แต่ก็อย่างที่เขากล่าวไว้ นั่นคือการจะทำให้คนกลุ่มใหญ่ติดพิษคงจะยากลำบากไม่น้อย

มือใหม่ส่วนใหญ่จะคิดว่าการสร้างยาที่ส่งผลต่อเผ่าคนเถื่อนเพียงเผ่าเดียวนับเป็นส่วนที่ยากที่สุด แค่การเพิ่มการแพร่ของตัวยาคงเป็นเรื่องง่ายดาย แต่นั่นนับว่าคิดผิดมหันต์

การสร้างยาเช่นนั้นไม่นับว่ายาก แต่ปัญหาที่ซูเฉินว่ามานั้นยากกว่านัก ในด้านหนึ่งนั้น ปัญหาเหล่านั้นยากเย็นพอ ๆ กับปัญหาที่เขาเผชิญเมื่อครั้งสร้างวิชาไร้สายเลือดเลยทีเดียว

หลักการที่ซับซ้อนเบื้องหลังการปรุงยานั้น คนทั่วไปที่ไม่เคยเรียนรู้ไม่อาจทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ

เล่อน่าและเผ่าคนเถื่อนคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจเรื่องยา ดังนั้นท่าทางของซูเฉินจึงทำให้พวกเขากลัวมาก หากแต่ความจริงแล้วแม้จะปล่อยให้เขาทดลองต่อไป เขาก็อาจจะกวาดล้างเผ่าคนเถื่อนจนหมดไม่ได้ แต่หากเป็นเพียงในพื้นที่เล็ก ๆ ก็อาจจะทำได้

จุดมุ่งหมายหลักของเขาไม่ใช่การกำจัดเผ่าคนเถื่อน แต่เป็นการก้าวข้ามขีดจำกัดทางสายเลือดต่างหาก ดังนั้นใช้ยาตัวนี้ขู่เล่อน่าสักเล็กน้อยแล้วยังผลไปสู่จุดประสงค์หลักก็เพียงพอแล้ว

แน่นอนว่าหลังจากนั้นเล่อน่าก็ให้ความร่วมมือดีมาก ตอบคำถามทั้งหลายของเขาอย่างเชื่อฟัง

ในการเข้าใจบทบาทนักพยากรณ์กระดูกแล้ว ต้องอธิบายเรื่องโครงสร้างอำนาจเผ่าคนเถื่อนเสียก่อน

ด้วยความที่เป็นเผ่าที่ยึดความแกร่งเป็นหลัก เผ่าคนเถื่อนทั้งหลายจึงเป็นนักรบป่าเถื่อนโดยกำเนิด คุ้นชินกับการต่อสู้โดยใช้แรงกายล้วน

หากแต่จะพึ่งแต่แรงกายอย่างเดียวก็ไม่อาจรักษาดินแดนไว้ได้

อารามพลังต้นกำเนิดนั้นจึงกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เผ่าคนเถื่อนพัฒนาความสามารถในการใช้พลังได้ขึ้นมา

ทว่าความสามารถในการผลิตของอารามพลังต้นกำเนิดนั้นต่ำเกินไป ไม่อาจสร้างผู้เชี่ยวชาญพลังได้เพียงพอ ดังนั้นจึงมีอีกทางหนึ่งมาเสริมกำลังพล

ก่อนการมีอยู่ของอารามพลังต้นกำเนิดมาเนิ่นนาน เผ่าคนเถื่อนนั้นมีระบบพลังของตนเองอยู่ นั่นคืออารามศักดิ์สิทธิ์

อารามศักดิ์สิทธิ์มีอยู่มาเป็นเวลานานมากแล้ว ไม่อาจรู้ถึงต้นตอได้ คนทั้งหลายรู้เพียงว่าตอนที่มีเผ่าคนเถื่อนอยู่ก็มีมันแล้ว

ในระบบของเผ่าคนเถื่อนนั้น อารามศักดิ์สิทธิ์คล้ายกับเป็นมันสมองของเผ่าคนเถื่อน มีหน้าที่สร้างบรรพชน ทำการช่วยชีวิต มอบความรู้ ส่งพลังต้นกำเนิด และพัฒนาผู้คน

ขั้นตอนเหล่านี้สอดคล้องกับการใช้พลังมาก นั่นคือยา ความรู้ โทเทม และการบ่มเพาะพลัง

การทำนายกระดูกนั้นเป็นการผสมรวมกันจากการเชี่ยวชาญเรื่องพลัง ตัวยา และการบ่มเพาะ

เห็นได้ชัดว่าการที่เผ่าคนเถื่อนจะสร้างนักพยากรณ์กระดูกขึ้นมาสักคนนั้น จะต้องเลือกคนทั้งหลายมาอย่างดีจนหาคนที่เหมาะได้ จากนั้นก็จะหล่อเลี้ยงอย่างดี ได้รับการฝึกฝนพิเศษในระยะยาว ได้กินยาพิเศษที่กระตุ้นให้ความสามารถลับผุดขึ้นมา ก่อนที่สุดท้ายจะได้มาซึ่งความสามารถในการพยากรณ์จากกระดูกของบรรพชน

หลังเป็นนักพยากรณ์กระดูกแล้ว พวกเขาจะมีความสามารถเหนือธรรมชาติ สามารถหาเบาะแสต่าง ๆ ได้ทั้งที่ไร้ร่องรอย

ซูเฉินนั้นฉงนกับวิถีของวิชาลึกลับนี่มาก

เส้นทางที่เขาเดินจำต้องเข้าใจความจริงในใต้หล้า และแก้ปัญหาลึกลับทั้งหลายระหว่างทาง ทุกอย่างนั้นมีกฎเกณฑ์ควบคุม กระทั่งเรื่องที่ราวกับเป็นคำลวง อย่างไรก็จะมีข้อเท็จจริงหรือหลักการทางวิทยาศาสตร์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวสสารให้เขาได้เรียนรู้ได้

ทว่าปรากฏการณ์ลึกลับ ลึกล้ำ และดูเหนือธรรมชาติเช่นนี้ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ยากนัก ดังนั้นจึงได้เรีกว่าระบบลึกลับเช่นนี้

เผ่าคนเถื่อนนั้นมีแนวคิด ‘เรียนรู้จากประสบการณ์’ พวกเขามักไม่ค่อยเน้นเรื่องทฤษฎีพื้นฐานและพึ่งชะตาเสียมากกว่า ดังนั้นจึงไม่ได้มีส่วนร่วมมากมายในการวิจัยระบบนี้ แต่ก็นับว่าเรียนรู้การนำไปใช้ได้ไม่เลว

ในที่สุดซูเฉินก็มีโอกาสได้เรียนรู้มันสักที ดำดิ่งลงสู่การค้นคว้าเรื่องมัน ด้วยความฉงนสงสัยที่มีต่อความไม่รู้ของตนเอง

ระบบนี้เหมือนจะมุ่งเน้นไปยังลำดับที่ไร้หลักการและมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ซูเฉินนั้นหาวิธีเข้าถึงปัญหาได้อย่างยากลำบากทีเดียว

แต่เขาเป็นคนมุ่งมั่น ดังนั้นยิ่งรู้สึกว่ายากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความอยากทำความเข้าใจมันแกร่งกล้าขึ้นเท่านั้น

เขาเชื่อว่าทุกสิ่งอย่างจำต้องมีหลักการ และวิชาลึกลับเหล่านี้ก็ดูลึกลับเพียงเพราะหลักการถูกปกปิดเอาไว้ ยังไม่มีใครค้นพบเท่านั้น

หากไม่ห่วงความปลอดภัยของฉือไคฮวงแล้ว เขาก็อาจปักหลักอยู่ที่ถ้ำนี่แล้วทำการทดลองไปอีกยาวเลยก็เป็นได้

วันต่อมา ฝนหยุดตกแล้ว

ซูเฉินพาเชลยออกเดินทางไปสู่จุดหมายต่อไป

ถึงตอนนี้ พวกเขาออกจากชายแดนแล้ว ในที่สุดก็ได้ใช้งานเรือเคลื่อนเมฆาสักที

ซูเฉินใช้เรือเหาะตะวันกรุ่น ที่เลือกใช้เรือเหาะรบเช่นนี้เป็นเพราะภายในกว้างกว่าเรือเหาะจันทราเงิน จุคนได้สามสิบคน หากแต่เขาก็ยังมีเชลยมากไป ดังนั้นจึงทำการทดลองอันตรายอย่างต่อเนื่องในวันก่อนออกเดินทางเพื่อลดจำนวนคน หลังจากทหารเผ่าคนเถื่อนส่วนเกินถูกกำจัดไปแล้วจึงออกเดินทาง

เรื่องนี้ยิ่งทำให้เผ่าคนเถื่อนเกรงกลัวซูเฉินมากขึ้น ในสายตาพวกเขา ซูเฉินได้กลายเป็นปีศาจไปจริง ๆ แล้ว