บทที่ 107 สิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่
การต่อสู้พลันปะทุขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว
เปลวเพลิงมอดลง ควันโขมงจาง เหลือเพียงสตรีเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นที่ยังยืนอยู่ แม้หลายคนจะรอดชีวิต แต่แขนขาต่างหัก ถูกเหวี่ยงไปด้านข้างโดยง่าย
ซูเฉินค่อย ๆ เดินไปสตรีผู้เป็นหัวหน้า “ดูจากวิชาพยากรณ์โดยใช้กระดูกแล้ว คิดว่าท่านคงจะเป็นบรรพชนที่น่านับถือ ได้ยินว่ามีนักทำนายกระดูกในอารามที่ใช้พิธีง่าย ๆ และกระดูกในการพยากรณ์ เดิมทีคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือ ดูท่าที่ผ่านมาข้าจะโง่เขลาไปจริง ๆ”
นางยกกริชกระดูกขึ้นแล้วจ้องเขาสายตาดุร้าย
“ย่าห์ !” จากนั้นร้องลั่นขึ้นแล้วตวัดกริชกระดูกใส่ซูเฉิน
ซูเฉินยื่นมือไปหมายจะคว้าข้อมือนางไว้ง่าย ๆ เดิมทีเขาคิดจะยึดไว้ แต่นางกลับหลบเลี่ยงไปได้อย่างคล่องแคล่ว กริชกระดูกด้านขวาตวัดเข้าช่วงล่าง กริชกระดูกด้านซ้ายพุ่งเข้าลำคอ โจมตีได้ดุดันเด็ดขาดไม่น้อย
ซูเฉินสูดลมหายใจด้วยความตกใจ หากแต่การตอบสนองกลับไม่เชื่องช้า หลบไปด้านข้าง จังหวะนั้นคลื่นพลังไร้รูปก็ม้วนออกจากร่าง ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดแผ่ออกมา แม้นางจะโจมตีรวดเร็ว แต่วิชานางก็ด้อยกว่าซูเฉิน นางจึงหลบไม่ทัน ถูกฝ่ามือของเขาผลักร่างกระเด็นไป
ไม่คาดคิดเลยว่าอักขระบนหน้านางจะส่องสว่างขึ้นยามร่างกระเด็นไป ร่างนางแผ่แสงออกมา จากนั้นแยกออกเป็นหลายร่าง เหินลงพื้นแล้วพุ่งเข้าใส่ซูเฉินพร้อมกัน ในเวลาเดียวกันนั้น เครื่องประดับศีรษะกระดูกบนหน้าผากพลันส่งเสียงทุ้มต่ำออกมา ส่งผลให้ซูเฉินเวียนหัว
สามารถทำให้ซูเฉินเวียนหัวได้แม้จะมีพลังจิตเช่นนั้น หมายความว่าวิชานี้ทรงพลังมาก
เคราะห์ร้ายที่เขาแค่เวียนหัว
เขาหรี่ตาลง กระแอมคราหนึ่ง เครื่องประดับกระดูกของนางก็พลันปริแตก พริบตาเดียวครึ่งหนึ่งก็สลายไป และที่ยังเหลืออีกครึ่งในสภาพดีไว้เป็นเพราะเขาอยากทำการศึกษามันนั่นเอง
จากนั้นเขาก็หยิบดาบหั่นภูผาออกมาตวัดเป็นแนวนอน ภาพมายาทั้งหลายถูกพลังซัดเข้าไปจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ เหลือเป็นร่างจริง นางยืนอึ้งอยู่เช่นนั้น ดูตกตะลึงกับภาพที่เห็นนัก
คู่ต่อสู้ของนางเป็นใครกันแน่ ? กระทั่งขลุ่ยกระดูกลวงจิตของนางยังไร้ผลเช่นนี้ ?
พริบตาต่อมา ซูเฉินก็คว้าศีรษะนางไว้ “ตอบได้หรือยัง ?”
“ย่าห์ !” นางพลันอ้าปากกว้าง ซัดพลังจิตใส่ซูเฉินอย่างดุดัน ในเวลาเดียวกันนั้นก็กระแทกเข่าเข้าช่วงท้องซูเฉิน จากนั้นก้มหน้าเข้ามาหมายจะขย้ำคอ
ซูเฉินเมินนาง กระแทกฝ่ามือใส่ขานางจนมันทะลุพื้นดินลงไปราวกับถูกตอกตะปู จากนั้นก้มหน้าลง ท่วงท่านั้นจึงเหมือนกับนางกำลังจะจูบเขา
นางพลันหดตัวกลับมาตามสัญชาตญาณ แต่ซูเฉินกลับก้มหน้าเข้ากัดปากนาง
“อ๊าก !” นางร้องเสียงเจ็บปวดออกมา
ริมฝีปากครึ่งร่างของนางถูกกัดจนขาดออกมาทั้งหมด
ซูเฉินถุยเนื้อออกจากปาก “หากชอบกัดนัก ข้าก็จะกัดเสีย เผ่าคนเถื่อนต่างชอบใช้ปากกันมากไป แต่ปากมันควรมีไว้ใช้กินนี่นา แต่เนื้อท่านเหม็นเน่านัก ข้าไม่ชอบ”
“ฝ่อออ !” นางเปล่งเสียงคล้ายงูออกมา
ซูเฉินโต้กลับไปด้วยหมัดหนักก่อนเอ่ยเสียงเย็น “ข้าชอบที่ศัตรูมีความกล้า หมายความว่าข้าจะบ้าบิ่นเท่าไรก็ได้ ได้ยินว่าเผ่าคนเถื่อนต่างมีกระดูกแข็ง ยอมตายดีกว่ายอมจำนน แต่ที่ข้าพบมาล้วนเป็นคำลวง สิ่งมีชีวิตทั้งหลายย่อมกลัวตาย เผ่าคนเถื่อนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตและย่อมกลัวความตาย สิ่งมีชีวิตใดที่ไม่กลัวตายล้วนตายไปนานแล้ว หากแต่ข้าเชื่อว่ายังมีคนหัวแข็งในเผ่าคนเถื่อนอยู่บ้าง ท่านว่าอย่างไร ? กระดูกท่านแข็งขนาดไหนกัน ?”
“ย่อมแข็งกว่าที่เจ้าคิด !” นางตอบ
ซูเฉินหัวร่อ “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
พูดแล้ว เขาก็ยกร่างนางขึ้น ขยับตัวพริบตาก็หักแขน ขา และข้อต่อต่าง ๆ จากนั้นส่งพลังคลื่นหนึ่งเลื้อยไปทั่วร่าง ทำเอานางขยับกายไม่ได้
เมื่อลงมือแล้วก็โยนร่างนางใส่แรดเขาเดียว “จากนี้ไป เจ้าเป็นเชลย เป็นทาส เป็นตัวทดลองของข้าแล้ว จะเลือกไม่ตอบคำถามก็ได้ แต่หวังว่าจะทำใจเด็ดไปจนถึงที่สุด เพราะอย่างไรข้าก็ชอบหาคำตอบเองอยู่แล้ว”
ว่าแล้วซูเฉินก็รวบรวมเผ่าคนเถื่อนคนอื่น ๆ แล้ววางไว้บนหลังแรดเขาเดียว ก่อนจะต้อนพวกมันแล้วจากไปด้วยกัน ยาขวดเดียวก็ทำให้เขาคุมพวกมันได้แล้ว ทำให้พวกเชลยเผ่าคนเถื่อนตะลึงไม่น้อย
เขากวาดสนามรบเสียสะอาด ดังนั้นจึงไม่มีใครล่วงรู้ไประยะหนึ่งว่ามีกองทัพหายไป จากนั้นก็ปลอมตัวเป็นเผ่าคนเถื่อนอีกครั้งด้วยมีคนที่มองเขาออกน้อยนัก พอเผ่าคนเถื่อนรู้ถึงความผิดปกติ ซูเฉินก็จากไปไกลแล้ว แม้หัวหน้าบรรพชนแห่งอารามเข้ามายุ่งด้วย ก็คงรับมือกับซูเฉินได้ยาก
ยามทุ่งหญ้าฮาเหวยได้รับข่าวเรื่องนี้และเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้น ซูเฉินก็จากไปได้หลายพันลี้แล้ว
ภายในหุบเขาวายุมืด
มันเป็นหุบเขาเล็กที่ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้าฮาเหวย
ฝนกำลังตก
หากแต่ฝนกระหน่ำก็ไม่อาจล้างความกลัวในใจของทหารเผ่าคนเถื่อนไปได้
“อ๊ากกก ! ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ! ข้ายอมบอกทุกอย่างแล้ว !”
เสียงร้องลั่นโหยหวนดังก้องหุบเขา
“ขออภัย เจ้าไร้ข้อมูลใดที่มีค่าพอให้ข้า” ซูเฉินว่าพลางกรีดร่างทหารเผ่าคนเถื่อนตรงหน้า
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาผ่าร่างเผ่าคนเถื่อน เมื่อครั้งอยู่ในซากโบราณลุ่มน้ำทองเขาก็ทำมาแล้ว แต่ก็นับว่าเวลาผ่านมานานมาก พื้นฐานความรู้ของเขาเพิ่มขึ้นมากมาย ความสามารถในการนำทฤษฎีมาใช้จริงเองก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก มีสิ่งใหม่ ๆ ที่อยากทดลองอยู่มากมาย
โดยเฉพาะมีหลายอย่างที่ไม่เหมาะจะทดลองในมนุษย์ แต่ตอนนี้เขาหาโอกาสทดลองมันได้แล้ว
หลังผ่าร่างทหารเผ่าคนเถื่อนเปิดออกมาแล้ว ซูเฉินก็เทยาขวดหนึ่งเข้าไป คนผู้นั้นร่างกระตุกตึงพยายามหลุดจากพันธนาการ กรีดร้องเสียงเจ็บปวด เห็นได้ชัดเจนว่าลำไส้กำลังถูกยาจนเน่าเปื่อย สลายกลายเป็นน้ำ
ไม่นานทหารเผ่าคนเถื่อนนั่นก็หยุดดิ้น
ลำไส้ของเขาหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงช่องท้องโล่งเท่านั้น
“ปีศาจ ! เจ้ามันเป็นปีศาจ !” ทหารเผ่าคนเถื่อนเริ่มร้องขึ้น
“เวลาทหารฝั่งพวกเจ้าบุกชายแดน ผ่าท้องมารดาดึงเอาทารกออกมา พวกเขาก็ด่าเจ้าเช่นนั้นเหมือนกัน” ซูเฉิน ตอบเสียงเรียบ “เชื่อข้าเถอะ ที่ข้าทำอยู่ไม่แย่ไปกว่าสิ่งที่พวกเจ้าเคยทำหรอก อีกทั้งข้าทำเช่นนี้ยังมีเหตุผลดี ทั้งยังอาจทำให้จบสงครามได้อีกด้วย”
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ?” สตรีเผ่าคนเถื่อนถามด้วยร่างสั่นเทิ้ม
นางชื่อเล่อน่า
เผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งที่ซูเฉินทำเขาตกใจกลัวเกือบตายบอกเอาไว้
ช่างไม่เหมือนกับท่าทางดุดันคล้ายเสือดาวเช่นแต่ก่อน นางในตอนนี้รู้จักเพียงความกลัวเท่านั้น
ซูเฉินตอบ “ข้ากำลังค้นคว้าหายาที่จะมีผลแค่กับเผ่าคนเถื่อนเท่านั้น”
ยาที่จะมีผลแค่กับเผ่าคนเถื่อนเท่านั้น ? เล่อน่าไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังคำเหล่านั้น
ซูเฉินอธิบายต่อ “เป็นพิษที่มีผลเฉพาะกับเผ่าคนเถื่อน หากข้าทำสำเร็จ แค่ยาขวดเดียวก็สังหารเผ่าคนเถื่อนได้เป็นหมื่นเป็นพันแล้ว”
ว่าไงนะ ?
เล่อน่าและทหารเผ่าคนเถื่อนคนอื่น ๆ อึ้งไป
ซูเฉินยิ้มยิงฟัน “เช่นนี้ พวกเราชาวมนุษย์ก็ไม่ต้องกำจัดพวกท่านให้มือสกปรก ไม่แน่ว่าแค่ยาไม่กี่ขวด เผ่าคนเถื่อนอาจสูญสิ้นไปเลยก็ได้ ไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่หรือ ?”