ภาคที่ 4 บทที่ 106 ไล่ล่า

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 106 ไล่ล่า

หลังจากตื่นแล้ว ซูเฉินก็รีบลุกขึ้นแล้วเตรียมออกจากป้อมเล่อกู่

หากแต่ในตอนนั้นชายหนุ่มพลันได้ยินเสียงวุ่นวายจากด้านนอก

ซูเฉินชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นวาดมือ ลูกตาหนึ่งปรากฏขึ้น ลอยขึ้นเหนือฝ่ามือ ตอนนี้เขาอยู่ในถิ่นศัตรู ซูเฉินจะทำอะไรจึงต้องระวังเป็นพิเศษ เลยใช้วิธีหนึ่งสังเกตการณ์ภายนอกมานานแล้ว

ลูกตากลอกไปมาอยู่บนฝ่ามือ ซูเฉินเห็นเผ่าคนเถื่อนกลุ่มใหญ่กำลังเดินเข้ามาทางเขา หลายคนกำลังพูดคุยกัน

ไม่รู้ว่าพูดอะไรกันด้วยเพราะพวกนั้นอยู่ไกลเดินไป แต่ก็ยังฟังได้คำว่า ‘เมื่อเย็นวาน’ และ ‘แดนฝัน’ จึงรู้ทันทีว่าเผ่าคนเถื่อนนั้นรู้สึกผิดปกติและส่งคนมาตรวจสอบแล้ว

ในตอนที่เขากำลังออกไปนั่นเอง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้น ทำไมไม่ลองเอาสิ่งที่เพิ่งรู้เมื่อวานมาใช้ดูเล่า ?

คิดแล้วซูเฉินจึงยังไม่ไป กลับรอให้พวกเขามาถึงแทน

จากนั้นไม่นานก็มีคนเคาะประตู

ซูเฉินเปิดออก ด้านนอกคือเผ่าคนเถื่อนราว 6-7 คน

เผ่าคนเถื่อนด้านหน้าเอ่ย “บอกแซ่และบ้านเกิดมา อย่าขยับหากไม่จำเป็น ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้า !”

ซูเฉินยิ้มน้อย ๆ “นามข้านั้นไม่สำคัญ สำคัญที่เจ้าและเพื่อนของเจ้าตรวจสถานที่จนทั่ว ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ เผ่าคนเถื่อนทุกคนที่นี่เป็นสามัญชนที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่มีอะไรให้ตรวจหรอก”

ระหว่างพูด นัยน์ตาก็มีประกายแปลกเต้นระยับ ผู้นำกลุ่มคนเถื่อนขนาดเล็กพึมพำคำที่ซูเฉินเพิ่งกล่าว ไม่เพียงแต่เขา คนอีกหกเจ็ดคนข้างหลังก็เช่นกัน

กลุ่มคนเถื่อนตกอยู่ในแดนมายา ไม่อาจถอนตัวได้ ซูเฉินยิ้มน้อย ๆ “ต้องอย่างนี้สิ นับสามพวกเจ้าจะตื่น จากนั้นก็ไปหาสถานที่อื่นต่อ…… หนึ่ง”

ซูเฉินพูดไป ก็เดินออกมาจากห้อง

“สอง” ตอนนี้อยู่บนไดขั้นบนสุดแล้ว

“สาม” เขาเดินออกไปยังประตูหน้าของที่พักแล้ว

ดีดนิ้วเบา ๆ คราหนึ่ง เผ่าคนเถื่อนพวกนั้นก็หายจากอาการมึนงง เหลือบมองกันและกัน ก่อนคนหัวหน้าจะพูดขึ้น “พวกเราตรวจที่นี่แล้ว ไม่มีอะไร ห้องต่อไป”

เขาเพิ่งใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาที่ปรับปรุงแล้วไป

คืนก่อนหน้า เขาดันล่วงรู้ความลับเบื้องหลังการเชื่อมจิตขึ้นมา ทำให้เกิดโอกาสขึ้นมากมาย สุดท้ายก็ทำให้เขาสามารถใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตากับคนหลายคนได้พร้อมกันแล้ว

แน่นอนว่าเมื่อใช้กับคนหลายคน ก็ต้องรับแรงต้านจากหลายเป้าหมาย หากแต่พลังจิตของซูเฉินค่อนข้างสูง พลังจิตปกติของเผ่าคนเถื่อนทั่วไปนั้นต่ำต้อย ดังนั้นแม้จะรวมกันเจ็ดแปดคนก็ยังสู้เขาไม่ได้ สุดท้ายก็ถูกสะกดจิตไปโดยง่าย

อีกด้านหนึ่งนั้น การควบคุมวิชาของซูเฉินก็เพิ่มสูงขึ้นมาก ไม่ใช่แค่เป็นวิชาที่ใช้สะกดการเคลื่อนไหวเพียงชั่วขณะอีกต่อไป ด้วยตอนนี้สามารถใช้สร้างแดนมายาหลอกเป้าหมายได้แล้ว นี่เป็นผลจากการที่ใช้พลังจิตของเขากับโลกจริง ที่ถือเป็นพื้นฐานการคงอยู่ไม่ว่าของโลกมายาใดก็ตาม

หลังออกจากป้อมเล่อกู่ ซูเฉินก็มุ่งหน้าไปภูเขาเพลิงโหม เนื่องจากน่านฟ้าของชายแดนได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบมาก เขาจึงไม่ใช้เรือเคลื่อนเมฆา

ภูเขาเพลิงโหมอยู่ใกล้กับที่รกร้างโลหิต เขาต้องเดินทางผ่านทุ่งหญ้าฮาเหวย ผ่านหุบเขาธารน้ำขาว และข้ามผ่านที่ราบดินเยือกแข็งเพื่อไปถึงที่หมาย ระหว่างทางต้องผ่านเมืองใหญ่ของเผ่าคนเถื่อนนับสิบ

หากกองทัพกำลังสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นในสถานที่เช่นนั้น ก็มีเพียงคำอธิบายเดียว นั่นคือหลายเดือนที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้นิ่งเฉย ยังคงลงมืออยู่ตลอดเวลา

นี่ยังเป็นวิธีเดียวที่จะหลบเลี่ยงเผ่าคนเถื่อนด้วย แต่เรื่องที่พวกเขาเลือกมุ่งหน้าลึกเข้ามาในเขตศัตรูย่อมหมายความว่าเผ่าคนเถื่อนเองก็ควบคุมล้อมรอบพวกเขาเสียมิดชิด ทำให้กองทัพกำลังสวรรค์ไร้ทางใดให้ไปอีก

แล้วเขาจะช่วยอย่างไรดี ?

ซูเฉินเดินไปก็ครุ่นคิดไป

ในตอนที่กำลังคิด ๆ อยู่ ก็พลันได้ยินเสียงลมพัดที่ด้านหลัง

เขาหันไปช้า ๆ พบทหารเผ่าคนเถื่อนกลุ่มหนึ่งกำลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาขี่แรดเขาเดียว ขาหนัก ๆ กระทืบย้ำไปตามพื้น เกิดเป็นเสียงครืนดั่งฟ้าลั่นยามวิ่ง

เผ่าคนเถื่อนกลุ่มนี้ไล่ล่าไม่ลดละจนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าซูเฉิน เห็นได้ชัดว่าเป็นทหารที่ฝึกมาอย่างดี

มีทหารเผ่าคนเถื่อนอยู่ราวหนึ่งร้อย ซูเฉินไม่มีทางใช้วิชากับพวกเขาได้หมด เว้นเสียแต่พลังจิตของแต่ละคนจะต่ำกว่า 8 หน่วย

ที่น่าตกใจกว่าคือเผ่าคนเถื่อนที่นำทัพมาครั้งนี้เป็นสตรี

นางมีร่างสูงใหญ่ หน้าตาไม่งดงามนัก ผิวคล้ำมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยอีกขระ บนหน้าผากมีเครื่องประดับกระดูก ทำมาจากฟันของสิ่งมีชีวิตใดไม่อาจรู้ได้ สองมือถือกริชกระดูก ซึ่งกำลังควงเล่นไปมา นางสวมใส่ไม่มาก นับว่าค่อนข้างเปิดเผย หากไม่ใช่เพราะรูปร่างไร้ความเร้าใจเช่นนี้ก็คงให้ความรู้สึกเจ้าชู้ไปแล้ว

ซูเฉินรู้ว่าเผ่าคนเถื่อนนั้นปกครองโดยบุรุษเพศ ปกติตำแหน่งหัวหน้าทั้งหลายมักเป็นชายทั้งสิ้น

แต่ก็เพราะเช่นนั้น การที่มีสตรีใดขึ้นตำแหน่งหัวหน้าได้เช่นนี้ ก็มักจะหมายความว่านางเป็นบุคคลที่รับมือด้วยยากมาก เส้นทางของเผ่าคนเถื่อนที่เป็นสตรีนั้นยากลำบากนัก จำต้องดุร้ายป่าเถื่อนกว่าเผ่าคนเถื่อนชายธรรมดาหากต้องการรักษาตำแหน่งต่อไป

คนทรยศก็เช่นกัน มักจะบอกข้อมูลสำคัญได้มากกว่าฝั่งศัตรูที่ถูกทรมาน

ในใจซูเฉินพลันรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นสตรีนางนี้

พลังงานจิตเขาเพิ่มขึ้นแล้ว ความสามารถในการสัมผัสอันตรายของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

นางนั่งอยู่บนหลังแรดเขาเดียว ตวัดสายตาเย็นชามา “บอกนาม บ้านเกิด และเหตุผลที่มาอยู่ที่นี่เสีย”

“ถูหลู่เค่อ คนไร้บ้านเกิดจากเผ่าดินโบราณ เดินทางไปตามสายลม” ซูเฉินตอบ

ในเมื่อยังแก้เรื่องสำเนียงไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่อาจไปข้องเกี่ยวกับชนเผ่าใหญ่ได้ ดังนั้นจึงพยายามกลืนไปเป็นทายาทจากชนเผ่าเล็ก ๆ ที่ล่มสลายไปแล้วแทน หลายหมื่นปีที่ผ่านมามีชนเผ่านับไม่ถ้วนที่หายไปในอาณาจักรเหล็กเลือด กระทั่งเผ่าคนเถื่อนเองยังไม่อาจบันทึกได้

นางหยิบตรากระดูกพวกหนึ่งออกมา “เอาตัวเขามา”

ทหารเผ่าคนเถื่อนสองคนคว้าแขนซูเฉินที่ทำเป็นยอมเข้าไป เขาอยากรู้ว่านางคิดจะทำอะไร

เขาถูกพาตัวมาอยู่ตรงหน้านาง จากนั้นนางก็ยกพวงตรากระดูกไว้ในมือแล้วร่ายอะไรบางอย่าง ฉับพลันก็โยนมันขึ้น

ตรากระดูกร่วงลงบนพื้น นางเหลือบมองแวบเดียวก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไป “เขาโกหก ! เขาเป็นมนุษย์ !”

เงาเย็นเฉียบของคมดาบซัดเข้าที่หน้าผากซูเฉิน

ดุดัน ตรงไปตรงมา และเฉียบขาด

ไม่ลังเลสักนิด !

เคร้ง !

ซูเฉินจับปลายดาบนั่นไว้แน่นราวกับคีมหนีบ ก่อนจ้องนางนิ่ง “น่าสนใจจริง หากท่านมั่นใจนัก นั่นก็หมายความว่าวิธีพยากรณ์ที่ดูไร้สาระนี้ไม่มีทางผิดพลาดเลยงั้นหรือ ?”

นางก้มหน้าลงมองตรากระดูกอีกครั้ง ก่อนสีหน้าจะเคร่งขรึมกว่าเก่า “กลุ่มสี่ถอย คนอื่น ๆ โจมตีพร้อมกัน !”

ว่าตบ นางก็ดึงกริชกระดูกเข้าแทงซูเฉิน

“ประเมินกำลังคนได้ด้วยหรือ ?” ซูเฉินงึมงำ

สีหน้านางทำให้รู้ได้ว่านางกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่รับมือลำบาก ไม่แน่ว่าอาจรู้มาจากตรากระดูกเช่นกัน

ซูเฉินตาเป็นประกาย

เช่นนี้คือสีหน้าของคนที่กระกายความรู้อย่างถึงที่สุด ส่งผลให้ยามเมื่อรู้ว่าตนอาจได้ล่วงรู้ความลับในใต้หล้า จึงตื่นเต้นยินดีเสียเต็มประดา

แม้จะเป็นตอนที่ตื่นเต้น เขาก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ คลื่นพลิงระลอกหนึ่งพุ่งออกไป เกิดเป็นรูปหงส์ไฟทะยานขึ้นฟ้า

หลังจากดูดซับสสารต้นกำเนิดเพลิงจากจ้าวอสูรกายแล้ว จิตหงส์เพลิงของเขาก็ทรงพลังขึ้นจนน่ากลัว