บทที่ 2172+2173

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2172 เจ้าล่ามันได้ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เจ้า!

กู้ซีจิ่วเฉลียวฉลาดยิ่ง เธอมองตี้ฝูอีเก็บผลึกวิญญาณในครั้งก่อนก็จดจำขั้นตอนได้แล้ว ดังนั้นเธอจึงใช้กระบี่ล้ำค่าเจาะควานในกะโหลกจูผอหลงตัวนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ได้ผลึกวิญญาณสีแดงสดใสก้อนหนึ่งออกมา…

สายตาสิบสองคู่ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างจับจ้องผลึกวิญญาณสีแดงก้อนนั้น มองตาละห้อย

ตี้ฝูอีก็กวาดตามองผลึกวิญญาณสีแดงก้อนนั้นแวบหนึ่งเช่นกัน ขนาดเล็กกว่าก้อนที่เขาได้จากการสังหารหมูตัวก่อนมากและอับแสงกว่ากันมาก

หากใช้การแบ่งระดับมาประเมิน ก้อนก่อนหน้านั้นของเขาคือชั้นหนึ่ง ส่วนก้อนนี้คือชั้นสาม…

กู้ซีจิ่วกลิ้งผลึกก้อนนั้นในมือ มองไปที่ตี้ฝูอี เอ่ยถามเขา

“เจ้ามีแผนการอะไรไหม?”

ตี้ฝูอียิ้มนิดๆ

“เจ้าล่ามันได้ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เจ้า!”

กู้ซีจิ่วมองไปที่สิบสองคนนั้นอีกครั้ง พวกเขาแต่ละคนต่างมีสีหน้าหม่นหมอง สายตาที่มองผลึกสีแดงก้อนนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉา…

“พวกเจ้าว่าอย่างไร?”

กู้ซีจิ่วไล่สายตามองทุกคนแวบหนึ่ง

สิบสองคนนั้นต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า หัวหน้ากลุ่มหน้าซีดเผือด ฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า

“มันเป็นของแม่นาง…”

“พี่ใหญ่ เกรงว่าพวกเราจะล่าจูผอหลงตัวที่สองไม่ได้แล้ว…”

หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างขลาดๆ

“พวกเราเข้าเมืองไม่ได้แล้ว…”

“ครั้งนี้พวกเราตายแน่!”

หญิงสาวอีกนางหนึ่งเปี่ยมด้วยสีหน้าสิ้นหวัง

“พวกเรา…พวกเรายังล่าได้อีก…ล่าตัวที่สอง…”

หัวหน้ากลุ่มให้กำลังใจสหายร่วมกลุ่ม แต่วาจาที่เปล่งออกมากลับไม่มีความมั่นใจสักเท่าไหร่

“พวกเรามีเวลาไม่มากแล้ว เหลืออีกแค่วันเดียว ตาข่ายสวรรค์ของพวกเราก็พังแล้ว ยังจะล่าอะไรได้อีก?”

“จบสิ้นแล้ว! สวรรค์ทอดทิ้งสำนักตามสุริยันของพวกเราแล้ว…”

สิบสองคนนี้นั่งอยู่บนพื้นที่มีก้อนหินระเกะระกะด้วยสีหน้าหม่นหมองสิ้นหวัง แม้แต่เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นมาก็แทบไม่มีแล้ว

“ข้ามอบผลึกแดงก้อนนี้ให้พวกเจ้าได้นะ”

น้ำเสียงกระจ่างใสสายหนึ่งแว่วขึ้น

คำพูดเฉยชาประโยคเดียวกลับเสมือนมอบแรงกระตุ้นให้คนเหล่านี้ได้ สายตาคนทั้งหลายลุกวาวแล้ว

หัวหน้ากลุ่มคนนั้นเอ่ยด้วยเสียงสั่นๆ

“อ…อะไรนะ?”

“ข้ามอบผลึกแดงก้อนนี้ให้พวกเจ้าได้ เพียงแต่ พวกเจ้าต้องตอบคำถามข้าสักสองสามข้อ ถ้าตอบดีผลึกแดงก้อนนี้ก็จะเป็นของพวกเจ้า”

กู้ซีจิ่วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง กลิ้งผลึกแดงเล่นในฝ่ามือ

การแลกเปลี่ยนนี้สิบสองคนนั้นย่อมตกลงอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงได้ทราบข้อมูลหลายอย่างจากคำตอบของพวกเขา

เมืองลั่วฮวายังอยู่ แถมยังเจริญรุ่งเรืองไม่เลวเลย

หนึ่งร้อยยี่สิบสามปีก่อน เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติขึ้น สัตว์กลายพันธุ์ ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง แต่ละกิ่งก้านสูงชี้ฟ้า มีสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายยิ่งนักจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นบนโลกอย่างน่าประหลาด สัตว์ร้ายเหล่านี้กินสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในแดนอสุราเป็นอาหารหลัก อย่างเช่นจูผอหลงที่ปรากฏตัวขึ้นในวันนี้ก็เป็นหนึ่งในบรรดาสัตว์ประหลาดเช่นกัน

ไอวิญญาณบนโลกลดน้อยลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

ที่ประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ จันทราบนฟากฟ้ากลมมนอยู่ตลอด ไม่มีข้างขึ้นข้างแรมที่ว่านี้อีกเลย

และเหล่าสัตว์ธรรมดาบนโลกจะเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาในทุกๆ คืน พอถึงเวลากลางวันก็จะสงบลงมาก ส่วนใหญ่ล้วนหาสถานที่ร่มอันใดหมอบเชื่องปานแมว

แดนอสุราแห่งนี้ยังมีผู้บำเพ็ญอยู่ไม่น้อยเลย เนื่องจากไม่ได้รับไอวิญญาณที่จำเป็นต่อการฝึกฝนบำเพ็ญ ผู้บำเพ็ญจำนวนมากในแต่ละสำนักจึงกลายเป็นเช่นคนทั่วไป มีเกิดแก่ป่วยตาย ประกอบกับการรุกรานของสัตว์ร้ายเหล่านี้ แหล่งชุมชนและบ้านเมืองของเผ่ามนุษย์จึงถูกทำลาย สำนักมากมายก็ตกอับล่มสลายไป

ต่อมาไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด ค้นพบว่าบนร่างของสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายยิ่งนักพวกนั้นมีผลึกวิญญาณ สามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณ ฟื้นฟูวรยุทธ์ในอดีตได้ ด้วยเหตุนี้สำนักใหญ่เหล่านั้นจึงเริ่มตามล่าสัตว์ประหลาดชนิดนี้….

————————————————————————————-

บทที่ 2173 บุณคุณช่วยชีวิตครั้งที่สอง!

สัตว์ประหลาดประเภทนี้ดุร้ายยิ่งนัก หากว่าไม่ศาสตราวุธพิเศษหรือว่าของวิเศษไม่มีทางกำราบได้ มีคนมากมายนักที่ล่าสังหารสัตว์ประหลาดนี้ แต่กลับเป็นฝ่ายถูกพวกมันสังหารแทน…

ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ปวงชนย่อมไม่สามารถเพาะปลูกตามปกติได้อีก เนื่องจากต่อให้เพาะปลูกไป ก็จะถูกวัชพืชที่เติบโตขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งกลืนกินไปเสีย ผลิตพืชผลไม่ได้เลย พวกเขาทำได้เพียงล่าสัตว์ยังชีพ วันคืนผ่านไปอย่างลำบากยากเข็ญไร้ใดเทียม

นี่ยังไม่ได้พูดถึงพิรุณโลหิตของโลกนี้ที่จะตกลงมาทุกๆ สิบวันเลย พิรุณโลหิตนี้มีฤทธิ์กัดกร่อนทะลุทะลวงอย่างร้ายกาจยิ่ง บ้านช่องห้องหอโพรงถ้ำธรรมดากำบังไม่ได้เลย มีเพียงอาคารบ้านเรือนที่ผ่านการลงอาคมแล้วถึงจะอยู่รอด

มีเพียงพิรุณโลหิตก็แล้วไปเถิด ประเด็นหลักคือสิ่งมาพร้อมกับพิรุณโลหิตยังมีค้างคาวโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ประหนึ่งปีศาจพ่วงมาด้วย ค้างคาวโลหิตเหล่านี้เป็นชนิดที่ดูดเลือด เมื่อพบเห็นสิ่งมีชีวิตก็จะดูดกลืน ดูดจนร่างคนแห้งเหือดได้ในชั่วพริบตา ร้ายกายอย่างยิ่ง…

สำนักตามสุริยันของพวกเขาเคยเป็นสำนักขนาดกลาง หลังจากประสบความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ สุดท้ายก็เหลือเพียงพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องสิบสองคนที่ต้องทุกข์ทนขมขื่น ต่อมาพวกเขาช่วยคนจรผู้หนึ่งไว้ ทราบจากปากคนผู้นั้นว่า ไม่ใช่ทุกเมืองบนโลกใบนี้ที่ล่มสลายไป

หลายปีมานี้มีเก้าเมืองใหญ่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ ร่ำลือกันว่าสถานการณ์ในเก้าเมืองใหญ่นั้นยังปกติดี ค้าขายได้ตามปกติ เพาะปลูกได้ตามปกติ ทำมาหากินได้ตามปกติ…

เมืองเช่นนี้สำหรับคนที่กำลังใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นแล้ว นับเป็นแดนสุขาวดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ดังนั้นพวกเขาพี่น้องจึงปรึกษากันดู ตัดสินใจว่าจะอพยพไปยังเมืองลั่วฮวาที่อยู่ใกล้สำนักของพวกเขาที่สุด…

สำนักของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองลั่วฮวากว่าหกร้อยลี้ พวกเขาสิบสองคนเดินทางรอนแรมอยู่บนถนนหกวัน ในที่สุดก็ไปถึงเมืองลั่วฮวา เมื่อไปยังเมืองลั่วฮวาแล้วถึงได้ทราบว่า จะเข้าสู่เมืองนี้ได้ต้องจ่ายด้วยผลึกวิญญาณ หรือไม่ก็ต้องมีความสามารถพิเศษ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางปล่อยให้เข้าไป

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงทำได้เพียงเสาะหาสัตว์ประหลาดที่มีผลึกวิญญาณบนร่างไปทั่วอย่างยากลำบาก โชคดีที่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เข้าร่วมการล่าสังหารสัตว์ประหลาดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ทราบถึงอุปนิสัยของจูผอหลงที่ปรากฏขึ้นในละแวกเมืองลั่วฮวาแห่งนี้ และมีตาข่ายสวรรค์ที่เอาไว้จับสัตว์ประหลาดโดยเฉพาะอยู่ ตามหาอยู่สามวัน ในสุดก็ล่อ        จูผอหลงตัวหนึ่งออกมาได้ ผลคือ…เกือบจะพินาศกันทั้งคณะ!

กู้ซีจิ่วถามสิ่งที่อยากถามไปหมดแล้ว และได้รับคำตอบมาแล้ว จึงสะบัดมือโยนผลึกวิญญาณให้บุรุษที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคนนั้น

“ผลึกวิญญาณนี้เป็นของพวกเจ้าแล้ว”

บุรุษผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มรับหินวิญญาณไว้ยังคงไม่กล้าเชื่อในโชคดีเช่นนี้อยู่บ้าง ถึงอย่างไรเรื่องที่กู้ซีจิ่วถามก็ไม่ใช่ความลับอันใด พวกเขาสามารถตอบได้ง่ายดายยิ่งนัก

พวกเขาถึงขั้นที่คลางแคลงว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่รักษาคำพูด ถามจบก็จะยึดผลึกวิญญาณเอาไว้อยู่ดี

กลับนึกไม่ถึงเลยว่า…

นี่เป็นบุณคุณช่วยชีวิตครั้งที่สอง!

“ผู้มีพระคุณทั้งสอง พวกท่านก็จะเข้าสู่เมืองลั่วฮวาเช่นกันกระมัง? มิสู้เข้าไปพร้อมกับพวกข้าเถิด ตามกฏของเมืองลั่วฮวา ยี่สิบคนจ่ายด้วยผลึกวิญญาณหนึ่งก้อนก็พอแล้ว…”

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า

“พวกเราจะเข้าเมืองลั่วฮวาจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ใช่แค่พวกข้าสองคน เป็นหนึ่งร้อยสามสิบแปดคน…”

เธอเล่าถึงสถานการณ์ของหมู่บ้านตนออกมาเล็กน้อย

บุรุษผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มตะลึง

หัวหน้ากลุ่มหันไปหารือกับเหล่าศิษย์น้องหญิงชายของตนครู่หนึ่ง สุดท้ายพวกเขาก็ขันอาสา

“ผู้มีพระคุณ พวกเราเต็มใจจะกลับไปยังเนินเขาแห่งนั้นกับพวกท่านด้วย จะคุ้มกันชาวบ้านที่นั่นเดินทางสู่เมืองลั่วฮวา!”

ถึงแม้วรยุทธ์ของสิบสองคนนี้จะสู้พวกตี้ฝูอีทั้งสองไม่ได้ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าคนในหมู่บ้านของกู้ซีจิ่วมากนัก อีกทั้งพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้านนอกมาตลอด รู้ว่าควรหลบเลี่ยงอุปสรรคอันตรายอย่างไร มีพวกเขารับหน้าที่คุ้มกัน เด็กและผู้ใหญ่ในหมู่บ้านจะปลอดภัยยิ่งขึ้น

กู้ซีจิ่วจึงตกลง

—————————————–