บทที่****130: ภาพวาดสาวงามทั้งเก้า
เมื่อชายชรานามสกุลเฟิงได้ฟังเช่นนั้น เขายิ้มพร้อมกล่าวว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร สำนักของเรามีสมบัติวิญญาณเพียงชิ้นเดียว ไม่อาจเปรียบเทียบกับสำนักของเจ้าและสำนักเสวียนเทียนได้ ที่ครอบครองสมบัติวิญญาณถึงสามชิ้นซึ่งจำนวนเช่นนี้แตกต่างกันมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ทางเราก็เสียเปรียบอยู่ดี!”
แม้ว่าจะดูเหมือนกับว่าเขากำลังเสียเปรียบ แต่จากการแสดงออกที่ภาคภูมิใจของเขา เจ้าอ้วนเข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้หมายความเช่นอย่างที่เขากล่าวออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าเขามั่นใจในสำนักของตนเองอย่างมาก เมื่อมองเห็นเช่นนี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกกังวลใจเพราะเขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงดูมั่นใจนัก จากการแสดงออกของผู้เชี่ยวชาญคนอื่นดูเหมือนว่าทุกคนจะระมัดระวัง ‘ภาพวาดสาวงามทั้งเก้า’ อย่างมาก ราวกับว่ามันสามารถเผชิญหน้ากับดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ กระบี่เฟิ่งหมิง หรือกระดองเต่าดำและเหรียญแห่งชะตาฟ้าดินได้อย่างสบาย ๆ
ในขณะนั้นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างอาวุโสเฟิงกล่าวออกมาอย่างอหังการ “ถ้าหากอาวุโสทั้งสามจากสำนักเสวียนเทียนและหอเฉวียนจี้จะกรุณา แม้ว่าเราจะด้อยกว่าในแง่ของจำนวน แต่เราก็ยังสามารถสู้ได้!”
ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เหล่าศิษย์น้องทั้งหลายมองเขาอย่างตกตะลึงพร้อมคิดในใจ ‘เจ้านี่มันโง่หรือเปล่า? เพราะอะไรกันเขาจึงกล่าวเช่นนี้ออกมาต่อหน้าเหล่อาวุโสได้หน้าตาเฉย?’
และผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งหมดได้เปลี่ยนสีหน้าทันที โดยเฉพาะเทพธิดาฮ่าวและนักบวชฮัวอวิ๋น พวกเขาทั้งสองโกรธจัดทันทีเมื่อได้ยิน
เทพธิดาฮ่าวกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “เด็กน้อยที่อวดดี อย่าอวดดีให้มากนัก ผิวหนังของจ้าวสำนักคนก่อนของเจ้าถูกหอเฉวียนจี้ทำให้กลายเป็นพรมเช็ดเท้า! และเจ้าอาจจะเป็นคนต่อไป!”
“ใต้พื้นของหอคุมกฎแห่งสำนักเสวียนเทียน มีกระดูกของอาวุโสแห่งสำนักพันปีศาจฝังอยู่ ข้ารู้สึกเหนื่อยที่ต้องเหยียบย่ำเขาไปมานับร้อยปี แม้ว่าตอนนี้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแต่เด็กอย่างเจ้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาพร้อมแผ่จิตสังหารอย่างเดือดดาล
เมื่อได้ยินที่ทั้งคู่พูดเช่นนั้น เจ้าอ้วนและผู้คนทั้งหมดก็เริ่มเข้าใจเหตุการณ์ เมื่อพูดถึงหอคุมกฎแห่งหอเฉวียนจี้ พรมเช็ดเท้าของพวกเขาทั้งหมดถูกสร้างจากผิวหนังของคนจากสำนักพันปีศาจ เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่เจ้าอ้วนและเหล่าศิษย์ทั้งหมดไม่เคยได้รับรู้เลย
สำหรับสำนักเสวียนเทียน บันไดของหอคุมกฎมีกระดูกของเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสำนักพันปีศาจฝังอยู่และเรียกกันว่าบันไดกระดูกปีศาจ เจ้าอ้วนเริ่มเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ทันที เขาจำได้ว่าบันไดของหอคุมกฎนั้นตกแต่งไปด้วยกระดูกสันหลังของมนุษย์ เขาไม่เคยคาดคิดว่ามันคือกระดูกของเหล่าอาวุโสจากสำนักพันปีศาจ ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือวัสดุส่วนใหญ่ของบันไดคือกระดูกของผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยิน! เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้นี้เกิดขึ้นมายาวนานนับพันปี และจุดมุ่งหมายคือการสังหารผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยิน สำหรับศิษย์ระดับเซียนเทียนขั้นสิบสามนั้นไม่อาจต้านทานได้ไหว พวกเขาทั้งหมดรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขณะไม่กล้าเผยลมหายใจให้ได้ยิน ถ้าหากไม่ใช่เพราะอาวุโสเฟิงปกป้องเขาในเวลานี้ คงกลายเป็นว่าในวันนี้ชายหนุ่มผู้นี้ได้สร้างปัญหาอันใหญ่หลวงให้กับตนเองเสียแล้ว
หลังจากที่อาวุโสเฟิงปกป้องชายหนุ่ม เขากล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ “พวกเจ้าทั้งสองคนเป็นถึงอาวุโส มันไม่มากเกินไปหรือที่จะกลั่นแกล้งศิษย์ผู้น้อยเช่นนี้!”
เทพธิดาฮ่าวโกรธจัดทันทีเมื่อเห็นว่าถูกตักเตือนเช่นนี้ นางกล่าวออกไปอย่างรวดเร็ว “เจ้าสามารถตำหนิข้าได้ถ้าหากว่าเขาได้รับการสั่งสอนอย่างถูกต้อง เหตุเพราะเขาไร้มารยาท มันจึงเป็นเรื่องที่อัปยศเมื่อเจ้านำพาเขาออกมาสู่สังคมด้านนอก!”
“ถ้าหากว่าเด็กคนนี้ยังไม่ขอโทษกับถ้อยคำขยะที่เพิ่งพ่นออกมาเมื่อครู่แล้วล่ะก็…!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวเสริมอย่างเยือกเย็นพร้อมเผยรอยยิ้มปีศาจ “มิตรสหายเฟิงเอ๋ย เจ้าไม่อาจต่อว่าข้าได้ถ้าหากต้องสั่งสอนเขา!”
“เหอะ!” เห็นได้ชัดเจนว่าอาวุโสเฟิงไม่ต้องการเผชิญหน้ากับทั้งสองคนได้ด้วยตนเอง เขาเพียงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ข้าจะทำเป็นเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาดึงศิษย์ของเขาออกไปทันที
เมื่ออาวุโสเฟิงเดินจากไป นักบวชฮัวอวิ๋นและเทพธิดาฮ่าวเห็นใบหน้าของพวกเขาทั้งสองคนอย่างชัดเจนถึงความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อกัน
จากที่นักบวชฮัวอวิ๋นและเทพธิดาฮ่าวได้มองตากัน พวกเขาสื่อสารกันผ่านจิตวิญญาณ จากนั้นเทพธิดาฮ่าวนำพาสาวกของนางออกไปเพื่อรวมกลุ่มกันอีกครั้งที่ด้านนอก
นักบวชฮัวอวิ๋นเรียกรวมเหล่าศิษย์สำนักตนเองพร้อมกับประกาศว่า “พวกเจ้าทุกคนจงฟังข้า ข้าไม่สนใจความผิดพลาดของเรากับหอเฉวียนจี้ในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ สำหรับตอนนี้พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องมองว่าหอเฉวียนจี้คือมิตรที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยกัน! เป้าหมายก็คือชายหนุ่มผู้ครอบครองภาพวาดสาวงามทั้งเก้า! ถ้าหากข้าไม่เข้าใจผิดไป เขาคือบุตรหลานแห่งสำนักพันปีศาจและมีชื่อว่า ยู่เฟิง หลังจากที่ทุกคนเข้าสู่พื้นที่จำกัด พวกเจ้าจะถูกส่งไปยังที่ต่าง ๆ สิ่งแรกที่พวกเจ้าทั้งหมดต้องทำคือการรวมกลุ่มกัน คนจากหอเฉวียนจี้จะมารวมกลุ่มกับพวกเจ้าเช่นกัน สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำคือค้นหาคนจากสำนักพันปีศาจ ด้วยความพยายามของพวกเจ้าทั้งหมด สังหารพวกเขาให้หมดและแย่งชิงภาพวาดหญิงงามทั้งเก้ามาให้ได้! เรื่องผลไม้วิญญาณทั้งหมดจะต้องถูกพักไว้ก่อน เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจ!” เมื่อเห็นการแสดงออกอย่างเคร่งเครียดของนักบวชฮัวอวิ๋น ทั้งหมดตอบรับอย่างไม่ลังเล
“ดีมากที่ทุกคนเข้าใจ!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวต่อ “เด็กน้อยเอ๋ย ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่อาจปล่อยให้ผลไม้วิญญาณหลุดลอยไปได้ แต่เรื่องของภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าสำคัญที่สุดในตอนนี้ แม้ว่าเจ้าจะไม่มีผลไม้วิญญาณก็ตาม แต่ภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นสำคัญอย่างยิ่ง ข้าขอสัญญาณว่าจะมอบผลไม้วิญญาณให้พวกเจ้าคนละสองผลในนามของสำนักเสวียนเทียน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สาวกทุกคนดวงตาพลันสว่างสดใส เสี่ยวไป่หลงกล่าวออกมาอย่างประหลาดใจ “ท่านอาวุโส ผลไม้วิญญาณไม่ได้มีเพียงสามสิบผลงั้นหรือ? หากนับคนจากสองสำนักก็รวมยี่สิบคน หมายความว่าพวกข้าทั้งหมดจะต้องได้รับผลไม้วิญญาณถึงสี่สิบผลใช่หรือไม่?”
“เจ้าจะไปรู้อะไร?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างเยือกเย็น “ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่เดียวที่มีผลไม้วิญญาณ เรายังสามารถหามันได้อีกจากสถานที่อื่น เพียงแต่ว่าจะต้องใช้ความพยายามที่มากขึ้น ถ้าหากพวกเจ้าสามารถคว้าเอาภาพวาดหญิงงามทั้งเก้ามาได้ แล้วเพียงแค่ผลไม้วิญญาณสี่สิบผลจะนับเป็นอะไรได้? อีกอย่างหนึ่งคือสำนักจะตอบแทนเจ้าด้วยสมบัติวิเศษอีกด้วย!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งหมดรู้สึกตกใจทันที พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าสำนักจะยอมจ่ายเงินมากมายเพื่อที่จะครอบครองภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า
หงหยิงได้แต่ถามออกไปอย่างช่วยไม่ได้ “อาวุโสลุง ภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นวิเศษอย่างไร? มันมีค่ามากขนาดไหนกัน?”
“พวกเจ้าทั้งหมดคงจะต้องเผชิญหน้ากับภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าในครั้งนี้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าจะขออธิบายถึงต้นกำเนิดของสมบัติชิ้นนี้ให้ฟัง!” นักบวชฮัวอวิ๋นลูบคลำหนวดของเขาพร้อมกับเล่าต่อ “สิ่งของชิ้นนี้ได้รับการปรับแต่งจากสำนักพันปีศาจเมื่อราวหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา!” เมื่อเริ่มเล่าความ เขาค่อย ๆ เล่าถึงที่มาของภาพวาดนี้ทีละน้อย
เดิมทีนั้น ภาพวาดสาวงามทั้งเก้าก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ด้วยพลังอำนาจของมันนั้น นับว่าเหนือยิ่งกว่าดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติด้วยซ้ำ หากให้แบ่งออกเป็นเก้าขั้นแล้ว กระบี่เฟิ่งหมิงที่หงหยิงได้รับมาก็เพียงแค่ขั้นที่หนึ่งหรือสองเท่านั้น ในบรรดาสมบัติวิญญาณนับได้ว่าเป็นระดับต่ำ ทางด้านกระดองเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดินของสำนักเสวียนเทียน แม้ว่าจะมีพลังอำนาจเกินกว่ากระบี่เฟิ่งหมิงพอสมควร แต่มันก็เพียงน้อยนิดเท่านั้น และเป็นเพราะมันคือวัตถุที่เอาไว้ใช้ทำนายอนาคต มันจึงไม่ต่างอะไรกับสมบัติวิเศษ เพียงแค่ความสามารถมันเหนือธรรมดาเท่านั้นเอง ทว่าด้วยศักยภาพของมัน ก็อาจนับได้ว่าเป็นขั้นที่หก ส่วนทางด้านดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ที่ธรรมชาติสรรสร้างขึ้น พลังอำนาจของมันจึงล้นพ้น อย่างน้อยก็นับว่าเป็นขั้นที่แปดหรือเหนือกว่าได้! ทว่าภาพวาดสาวงามทั้งเก้า มันคือขั้นที่เก้าอย่างแท้จริง! กระทั่งว่ามันอยู่เหนือกว่าสมบัติวิญญาณระดับที่เก้าด้วยซ้ำ
เหตุผลที่ภาพวาดสาวงามทั้งเก้ามีพลังอำนาจล้นเหลือเช่นนั้น ทั้งหมดก็เป็นเพราะฝีมือการปรับแต่งรวมทั้งแนวคิดของวัตถุดิบที่หลอมมันขึ้นมาล้วนไม่ธรรมดา วัตถุดิบหลักที่ใช้หลอมมันขึ้น มันคือผู้ฝึกตนที่มีชีวิต เป็นหญิงสาวทั้งเก้าที่อยู่ระดับเฟิ่นเสิน!
ผู้ฝึกตนหญิงทั้งเก้าเหล่านั้นต่างก็เป็นการคัดเลือกที่ไม่ธรรมดา หญิงสาวทั้งห้าได้ถูกเลือกจากการฝึกฝน ทั้งหมดล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญดาบและกระบี่ อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมของทั้งห้าธาตุ ไม้ น้ำ อัคคี พสุธา ตามแต่ละบุคคล และสองคนในนั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับหอเฉวียนจี้ ขณะที่อีกหนึ่งเป็นอาวุโสจากสำนักเสวียนเทียน
พอได้รับฟัง เจ้าอ้วนและคณะพลันกระจ่างแจ้ง พวกเขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเด็กหนุ่มผู้ถือครองภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าถึงกล่าวว่า อาวุโสทั้งสามจะช่วยเขา นั่นเป็นเพราะเด็กหนุ่มทราบเป็นอย่างดีว่าภาพวาดสาวงามทั้งเก้านั้นถูกหลอมขึ้นจากอาวุโสฝ่ายพวกเขา พอเทพธิดาฮ่าวและนักบวชฮัวอวิ๋นเมื่อได้ฟังจึงโกรธแค้นไม่คิดปิดบัง ไม่ต้องพูดถึงความความรู้สึกเหล่านั้นจะถ่ายทอดกดดันมายังเหล่ารุ่นเยาว์เช่นกัน
สำหรับนักบวชเต๋าอีกสี่คนที่เหลือ พวกเขาต่างก็ไม่ธรรมดากันทั้งสิ้น พวกเขาล้วนเป็นนักบวชเต๋าที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการผสมผสานที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี
ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสิ่นทั้งเก้านั้นมีสติครบถ้วนและถูกลบความทรงจำโดยวิชาโบราณ จากนั้นเหล่าซาตานจึงเข้าครอบงำพวกเขาอย่างเต็มตัว พวกเขาถูกปรับแต่งอยู่นานนับร้อยปีจนกลายเป็นสมบัติวิญญาณที่วิเศษที่สุดขึ้นมา ซึ่งมันถูกเรียกว่าปีศาจเทวะ!
ปีศาจเทวะนั้นหมายถึงการรวมตัวของวิญญาณไร้รูปร่างและรวมเป็นหนึ่ง หลังจากหญิงสาวทั้งเก้าถูกปรับแต่ง พวกเขาทั้งหมดสามารถสับเปลี่ยนร่างกายกันได้อย่างอิสระ เมื่อพวกเขามีร่างกาย พวกเขาจะกลับสู่สภาพเดิมในครั้งที่ยังมีชีวิต อีกทั้งยังสามารถใช้ปราณจิตวิญญาณได้อย่างอิสระ ดังนั้นผู้ฝึกตนทั้งหมดจะสามารถใช้ทักษะทั้งห้าธาตุได้อย่างอิสระ อีกทั้งมีนักบวชเต๋าอีกสี่คนที่สามารถสร้างเกราะป้องกันได้อย่างทรงพลัง เพราะพวกเขาทั้งหมดมีความทรงจำและพลังดั้งเดิมของตนในครั้งยังมีชีวิตอยู่ ความแข็งแกร่งทั้งหมดไม่ได้ลดลงเลยหากเทียบกับตอนที่มีชีวิตอยู่ บวกกับพวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ในสนามรบ พลังของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองถึงสามเท่า ไม่เกินเลยนักหากจะกล่าวว่าความแข็งแกร่งแท้จริงของมันอาจทัดเทียมได้กับผู้ฝึกตนระดับเฟิ่นเสินนับสิบคน นับว่าพลังอำนาจของมันเกินจินตนาการถึงได้!
ในความจริง ความสามารถของภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นไร้ขีดจำกัด แต่เป็นเพราะร่างกายของผู้ฝึกตนทั้งเก้านั้นถูกจำกัดอยู่ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขากลับสู่สภาพเดิม พวกเขาก็จะกลายเป็นอสูรสังหารทันทีและยังสามารถใช้เวทมนตร์พิสดารจากขุมนรกได้อีกด้วย แต่นั่นจะทำให้พวกเขาไม่อาจป้องกันตนเองได้ สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือพวกเขาทั้งหมดไร้รูปร่างและไร้เงา พวกเขาสามารถหายตัวได้อย่างไร้ร่องรอยและสามารถทะลุทะลวงวัตถุทั้งหลายได้ แม้ว่าจะใช้สมบัติวิเศษเพื่อป้องกัน หรือต่อให้อุปกรณ์วิเศษระดับสูงหรือดาบบินก็ยังไม่สามารถป้องกันการโจมตีเหล่านี้ได้ สมบัติวิญญาณที่ทรงพลังมากเท่านั้นจึงจะทำลายพวกเขาลงได้
เมื่อเขากล่าวถึงตรงนี้ นักบวชฮัวอวิ๋นเตือนหงหยิงเป็นพิเศษ ว่านางไม่อาจใช้กระบี่เฟิ่งหมิงเพื่อจัดการสิ่งเหล่านั้นได้และขอให้นางระวังตัวเป็นพิเศษอีกด้วย ในบรรดาศิษย์ทั้งหมดของสำนัก มีเพียงดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ที่สามารถมีพลังเพียงพอที่จะทำลายสิ่งเหล่านั้นได้ เมื่อมีกระดองเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดินของฉุ่ยจิ้งก็น่าจะพอคุ้มกันทุกคนได้ไหว
กับคนอื่น แม้สมบัติวิเศษจะยอดเยี่ยม แต่มันก็ไม่อาจป้องกันการโจมตีทะลุทะลวงของปีศาจเทวะได้ และยังมีความเป็นไปได้มากที่มันจะคิดค้างหลงเหลืออยู่ภายในร่าง กล่าวก็คือ ต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุด ภาพวาดสาวงามทั้งเก้าไม่ใช่สิ่งที่สามารถประมาทได้ เมื่อเผชิญหน้าอย่าได้ผลีผลาม เมื่อต้องต่อสู้จงทำอย่างสุดกำลัง ให้เล็งไปที่เจ้านายของภาพวาดสาวงามทั้งเก้าอย่างยู่เฟิงอย่างถึงที่สุด ตราบเท่าที่สังหารอีกฝ่ายลงได้ ภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าก็จะไร้เจ้าของ
นอกจากนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นยังเน้นย้ำกับพวกเขาอย่างหนัก พวกเขาควรจะโจมตีที่ยู่เฟิงโดยตรง เหตุผลง่ายนิดเดียวเพราะว่ายู่เฟิงคือเจ้าของภาพวาดและเป็นบุตรแห่งสำนักพันปีศาจ ดังนั้นเขาคือคนสำคัญอย่างแน่นอน อีกอย่างในร่างกายของเขาเต็มไปด้วยคำสาปมากมาย คำสาปนี้ถูกจารึกไว้ตั้งแต่เขาเกิดมาเป็นบุตรแห่งสำนักพันปีศาจ ถ้าหากยู่เฟิงถูกสังหาร คำสาปเหล่านี้จะระเบิดและสังหารฆาตกร ไม่ว่าอย่างไรคำสาปนี้จะไม่สามารถถูกลบได้
หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น จ้าวสำนักพันปีศาจย่อมตรวจพบว่าบุตรชายถูกสังหารพร้อมสามารถหาตัวผู้ลงมือได้อย่างไม่ยากเย็น หรือก็คือ ผู้ใดที่ลงมือปลิดชีพเขาจะประสบเภทภัยครั้งใหญ่ จ้าวสำนักพันปีศาจสามารถหาตัวบุคคลผู้นั้นจนพบและนำกลับมาทรมานให้ตายทีละน้อย ถ้าหากฆาตกรได้รับการปกป้อง เขายังสามารถใช้คำสาประยะไกลได้ มันจะก่อให้เกิดความทรมานจนเกินคำบรรยาย แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยินคอยคุ้มครองก็ยังไร้ประโยชน์ ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจะทำได้เพียงมองบุคคลที่อยู่ในคุ้มครองตายตกไปทีละน้อยเท่านั้น
สิ่งที่นักบวชฮัวอวิ๋นกำลังจะพูดถึงก็คือใ นขณะที่กำลังต่อสู้ หงหยิงที่ครอบครองกระบี่เฟิ่งหมิงและฉุ่ยจิ้งครอบครองกระดองเต่าดำควรจะเปิดฉากการต่อสู้ การโจมตีของทั้งสองไม่อาจเทียบกับดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ แต่มีความเร็วกว่าเล็กน้อยจึงทำให้สามารถโจมตียู่เฟิงได้อย่างอิสระ และหวังว่าจะทำลายอุปกรณ์วิเศษบนร่างกายของเขาได้และป้องกันทุกคนจากภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า ในขณะนั้นดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์จะต้องเข้าร่วมต่อสู้ด้วย ด้วยความแข็งแกร่งของมันอาจจะสามารถสังหารยู่เฟิงได้ และมันจะถูกย้อมด้วยคำสาปแห่งสำนักพันปีศาจ เมื่อเป็นเช่นนี้สำนักพันปีศาจจะสูญเสียภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า หอเฉวียนจี้จะสูญเสียสมบัติวิญญาณและอัจฉริยะแห่งสำนัก แต่สำนักเสวียนเทียนจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งใดทั้งนั้น กล่าวได้ว่าการกระทำเช่นนี้นั้นเปรียบกับการยิงนกนับร้อยด้วยกระสุนนัดเดียว
แน่นอนว่าความคิดนี้เป็นของนักบวชฮัวอวิ๋นเพียงผู้เดียว แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า สำหรับภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นไม่ได้สำคัญมากนัก มันไม่สำคัญหากสำนักจะไม่ได้ครอบครองมัน ตราบใดที่มันไม่ได้อยู่ในมือของสำนักพันปีศาจ เหตุผลแห่งความแค้นนี้อาจเป็นเพราะบนภาพนั้นมีอาวุโสจากสองสำนักรวมกันอยู่ในนั้น มันคือความอัปยศของสำนักทั้งสอง ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้รับมัน วิธีเดียวที่พวกเขาจะทำก็คือทำลายภาพนี้ซะ เพื่อปลดปล่อยอาวุโสทั้งหมดให้คืนสู่อิสระ อย่างไรแล้วท้ายที่สุดมันก็ต้องถูกทำลาย ไม่ว่าผู้ใดได้ไปล้วนไม่เป็นสาระสำคัญ
เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวจบ ผู้ฝึกตนระดับจินตันวิ่งมาถึงพอดีและกล่าวกับนักบวชฮัวอวิ๋นว่า “ท่านอาจารย์ ถึงเวลาแล้วขอรับ!”