เล่มที่ 19 เล่มที่ 19 ตอนที่ 570 สามชาติสามภพ สังเวยชีวิต

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

หิมะเริ่มโปรยปรายเต็มท้องฟ้า บรรยากาศในจวนจิ่นอีโหวที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและกลิ่นคาวเลือด ยิ่งทวีความอ้างว้างและเย็นชามากขึ้นหลายเท่า

ในสถานที่อันเปล่าเปลี่ยว ภายใต้หิมะที่โปรยปรายลงบนร่างของฉ่ายเวย เลือดของนางเหือดแห้งเจิ่งนองไปทั่วจวนจิ่นอีโหว ทั่วทั้งลานกลายเป็นสีแดงฉาน จิ่วหรงนั่งอยู่ข้างกายของนาง ท่าทางเศร้าโศกและสิ้นหวังนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวจนสั่นสะท้าน คนในจวนจิ่นอีโหวต่างรู้จักนายน้อยของพวกเขาดี จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไป

จิ่นอีโหวรู้สึกเศร้าโศกและตกตะลึงกับการลงมือสังหารคนรักของตนด้วยน้ำมือตนเอง เขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะสนใจสิ่งอื่นใด

ภาพแห่งความเศร้าโศกยังคงดำเนินต่อไปอย่างเงียบงัน

เวลาผ่านไปนานมากจนหลายคนแทบกลายเป็นตุ๊กตาหิมะ

ทันใดนั้น เทพธิดาก็เดินไปยังข้างกายของจิ่วหรง และค่อยๆ นั่งลง

ดูเหมือนนางต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าคำพูดนั้นกลับติดอยู่ที่ริมฝีปากและถูกนางกลืนกลับไป ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงเปลี่ยนเป็นร้องเรียก “อาจารย์! ”

สายตาของจิ่วหรงค่อยๆ เคลื่อนมาที่ใบหน้าของเทพธิดา

เมื่อเทพธิดาและจิ่วหรงสบตากัน เทพธิดาก็ค่อยๆ ยื่นมือของนางออกมากุมมือของจิ่วหรง

ไม่บ่อยนักที่จิ่วหรงจะไม่ผลักไสนาง

เทพธิดาจึงใช้โอกาสนี้เอนศีรษะไปข้างใบหูของจิ่วหรง

ทุกคนต่างคิดว่าท่าทางเช่นนี้ของเทพธิดาคือต้องการพูดบางอย่างกับจิ่วหรงเพียงลำพัง จิ่วหรงเองก็คิดเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคาดคิด ขณะที่ริมฝีปากของเทพธิดาอยู่ห่างจากใบหูของจิ่วหรงไม่ถึงครึ่งชุ่น ทันใดนั้น เข็มเหมันต์เทวะสีขาวหิมะในมือข้างหนึ่งของเทพธิดาก็แทงไปที่จุดสำคัญบริเวณแผ่นหลังของจิ่วหรงอย่างรวดเร็ว ดัง ‘ฉึก’ ปิดผนึกจุดสำคัญของเขาไว้

สีหน้าจิ่วหรงเปลี่ยนไปอย่างมาก ดวงตาทั้งคู่ตกตะลึงและแฝงไปด้วยความโกรธ

เขาคิดจะต่อว่าเทพธิดา ทว่าเทพธิดาได้ผนึกจุดลมปราณของเขา ขณะเดียวกันก็ผนึกจุดที่ทำให้ลิ้นแข็ง เขาจึงไม่สามารถพูดสิ่งใดได้

ทว่าความโกรธของจิ่วหรงคงอยู่ได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใดได้จึงตื่นตระหนกขึ้นมา เขาพยายามคลายจุดที่ถูกปิดผนึก ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน

อย่างไรก็ตาม จิ่วหรงมักแสดงท่าทางเย็นชาและเย่อหยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเทพธิดา ดังนั้น เทพธิดาจึงคิดว่าจิ่วหรงพยายามขอร้องไม่ให้นางทำร้ายร่างของฉ่ายเวย ความเจ็บปวดจากการเข้าใจผิดจึงบังเกิดขึ้นในใจของเทพธิดาอีกครั้ง

เทพธิดาเก็บซ่อนความรู้สึกซับซ้อนทั้งหมดไว้ในใจ ใบหน้าปรากฏความผ่อนคลายและปล่อยวาง

ดวงตากล้าหาญของนางจ้องมองจิ่วหรงอย่างลึกซึ้ง นิ้วมือเรียวงามค่อยๆ ลูบไล้แก้มของจิ่วหรง

“อาจารย์เป็นผู้ให้ชีวิตซีเอ๋อร์ ที่ป่าเก้าอาณาจักร หากไม่ใช่อาจารย์ที่เสี่ยงชีวิตเพื่อตามหาสมุนไพรมาช่วยซีเอ๋อร์ ชีวิตนี้ของซีเอ๋อร์คงจบสิ้นไปนานแล้ว วันนี้ ซีเอ๋อร์ขอมอบชีวิตนี้คืนให้อาจารย์”

จิ่วหรงตื่นตระหนกอย่างมาก เขาพยายามต่อต้านอย่างสุดกำลังเพื่อปลดผนึกร่างกาย และพยายามส่งสายตาสื่อความหมายให้เทพธิดาอย่าทำสิ่งโง่เขลาเช่นนั้น

“อาจารย์อย่าได้เสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ เข็มเงินของซีเอ๋อร์เป็นวิชาของเผ่าเม้ย แม้วิชาแพทย์และวรยุทธ์ของซีเอ๋อร์จะเทียบอาจารย์ไม่ได้ ทว่าวิชาของเผ่าเม้ย… มีเพียงชาวเผ่าเม้ยเท่านั้นที่สามารถทำลายได้ อาจารย์ ท่านไม่อาจทำลายได้เอง”

เทพธิดาพูดพลางมองไปยังฉ่ายเวยที่นอนอยู่ท่ามกลางกองเลือดด้วยสายตาเศร้าหมอง

“อาจารย์วางใจได้ ซีเอ๋อร์ไม่ทำร้ายฉ่ายเวยแน่นอน”

“ทว่า… หากชาติหน้ามีจริง ซีเอ๋อร์ขอเป็นศิษย์ของท่านได้หรือไม่? ชาติหน้า พวกเราจะต้องอยู่ที่หุบเขาเทียนอีตลอดไป ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของโลกภายนอกอีก ดีหรือไม่? ”

ทันทีที่พูดจบ เทพธิดาก็เงยหน้าขึ้น นางพยายามทำให้ตนเองเข้มแข็ง ทว่าไม่อาจบังคับน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ สุดท้าย น้ำตาจึงไหลรินอาบแก้มอย่างเชื่องช้า

นางหลับตาลง ค่อยๆ กางแขนออก แสงสว่างดั่งหิ่งห้อยกระจายออกจากร่างของนาง พุ่งเข้าสู่ร่างของฉ่ายเวยที่นอนจมกองเลือดอยู่

แววตาของจิ่วหรงยิ่งทวีความตกตะลึง ทว่าเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้

ซูจิ่นซีที่กำลังมองเหตุการณ์อยู่ด้านข้าง พลันเข้าใจในทันทีว่าเทพธิดาต้องการทำสิ่งใด ไม่รู้เพราะเหตุใด นางจึงรู้สึกเจ็บปวดในใจ และยังรู้สึกราวกับมีบางอย่างค่อยๆ ไหลออกจากร่างกายของนาง

ราวกับความเจ็บปวดทั้งหมดของเทพธิดาคือความเจ็บปวดของนาง ดั่งแสงหิ่งห้อยที่ไหลออกจากร่างของเทพธิดาเป็นของนางเอง

ซูจิ่นซีรีบวิ่งไปด้านหน้าเพื่อขัดขวางเทพธิดา ทว่ามือของนางไม่อาจสัมผัสร่างของเทพธิดาได้ มือของนางทะลุผ่านร่างของเทพธิดา เหมือนกับภาพมายาที่พบในดินแดนต้องห้ามของสกุลจง ซูจิ่นซีปล่อยพลังไปทางเทพธิดา ทว่ากลับไร้ประโยชน์ นางไม่อาจโจมตีเทพธิดาได้

ซูจิ่นซีร้องตะโกนเสียงดัง แต่ไม่ว่าจะตะโกนดังเพียงใด พวกเขาก็ไม่อาจได้ยิน

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า นางทำได้เพียงมองดู ทว่าช่วยอันใดไม่ได้

แสงหิ่งห้อยที่ไหลออกจากร่างของเทพธิดา ทวีความสว่างมากขึ้น เข้มข้นมากขึ้น แสงเจิดจ้านั้นห่อหุ้มร่างของฉ่ายเวย

เสียงอันหนักแน่นของเทพธิดาดังขึ้นท่ามกลางแสงสว่างนั้น ราวกับนางกำลังสาบานต่อฟ้าดิน

นางกล่าวว่า “ข้าแต่เจ้าแม่ซีหวังที่อยู่บนสรวงสวรรค์ ลูกศิษย์ใช้เลือดเนื้อเป็นเครื่องสังเวย ยอมใช้ร่างกายของตน สังเวยชีวิตแก่จิตวิญญาณแห่งหยิน มอบชีวิตให้โดยไม่เสียใจ”

ทันทีที่สิ้นเสียงพูด ลำแสงที่ไหลออกมาจากร่างของนางก็ทวีความเข้มข้นขึ้น แสงทั้งหมดไหลเข้าสู่ร่างกายของฉ่ายเวยราวกับเปิดประตู

เมื่อแสงจากร่างของเทพธิดาค่อยๆ จางหายไป ร่างของนางจึงกลายเป็นฝุ่นผงราวกับหิมะที่กำลังโปรยปราย โดยเริ่มต้นจากขา

ทีละนิ้ว ทีละนิ้ว… ทีละนิ้ว… เริ่มลุกลามไปที่เข่า ท่อนขาทั้งสองของนางหายไปแล้ว

ทุกคนต่างตกตะลึง เหล่าองครักษ์ที่ประจำอยู่ในจวนเพิ่งกลับมาได้สติว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

จิ่วหรงอยู่ใกล้เทพธิดามากที่สุด ดวงตาของเขาแดงก่ำ ทั้งยังตกตะลึงและวิตกกังวลมากจนไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไร

แม้ร่างกายของเขาจะแข็งทื่อ ทว่ากลับสั่นเทาไปทั้งตัว ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วงแกมน้ำเงิน เขากัดลิ้นจนเลือดค่อยๆ ไหลรินออกมาจากริมฝีปาก

แสงที่ราวกับหิ่งห้อยยังคงไหลออกจากร่างของเทพธิดา และตรงไปยังร่างของฉ่ายเวย เพียงแต่แสงนั้นริบหรี่ลงไปมากแล้ว ร่างของนางสลายไปจนเหลือเพียงส่วนที่อยู่เหนือเอว ทว่านางกลับหันมาแย้มยิ้มให้จิ่วหรง

นางพูดว่า “จิ่วหรง ข้าจะรอท่านในภพหน้า และข้าต้องตามหาท่านให้พบ ภพหน้า ซีเอ๋อร์ยังเป็นศิษย์ของท่าน”

“ชาติหน้า ไม่มีฉ่ายเวยได้หรือไม่? ”

“ชาติหน้า พวกเราไม่ออกจากหุบเขาเทียนอีได้หรือไม่? ”

“ดอกไห่ถังที่อยู่บนเขาด้านหลังตำหนักเซียนหลินบานแล้วหรือยัง? เสียดายที่ซีเอ๋อร์ไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้ว”

“อาจารย์ของซีเอ๋อร์… ”

คำพูดสุดท้าย เทพธิดาพูดได้เพียงครึ่งประโยค ยังไม่ทันพูดจบ

“พรวด… ” จิ่วหรงกระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรง

เขาใช้พลังแทบทั้งหมดเพื่อคลายจุดที่ถูกผนึกไว้ เลือดกระจายไปทั่วท้องฟ้าราวกับดอกไม้ไฟ และโปรยปรายลงมาพร้อมเกล็ดหิมะขาวโพลน

ท่ามกลางดอกไม้ไฟสีเลือดและหิมะขาวโปรยปราย จิ่วหรงเอื้อมแขนออกไป เขาใช้กำลังเฮือกสุดท้ายเพื่อโอบกอดร่างที่เหลืออยู่ของเทพธิดา ทว่าขณะที่เขากำลังโน้มตัวเข้าไป แสงจากร่างของเทพธิดาก็สลายหายไปหมดสิ้น ร่างกายส่วนสุดท้ายของนางกลายเป็นฝุ่นผง ปลิวหายไปในพริบตา

จิ่วหรงคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ร่างของเขาล้มลงบนพื้นอย่างแรง