หลังจากพลังภายในอันอบอุ่นที่ไหลเข้าสู่ร่างกายของซูจิ่นซีค่อยๆ หยุดลง นางก็ขมวดคิ้วและสบถอยู่ในใจ
อาจารย์อันใดกัน ไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดเจนว่าท่านเพียงผู้เดียวก็สามารถรับมือกับทุกคนที่อยู่ในสนามได้ ทว่ากลับนั่งเหม่อไม่ยอมลงมือ เมื่อเห็นทุกคนต่อสู้กันได้ระยะหนึ่งแล้ว จึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งยังเป็นการลงมือที่ง่ายดาย ไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย จิตใจไม่มีศีลธรรมเอาเสียเลย
ดูเหมือนจิ่วหรงจะมองความคิดของซูจิ่นซีออก เขางอนิ้วมือและเคาะไปที่หน้าผากของซูจิ่นซีอย่างแรง
“ต่อว่าอาจารย์ นับเป็นความผิดร้ายแรง”
ซูจิ่นซีรู้สึกเจ็บจนขมวดคิ้วแน่น
จิ่วหรงเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า “ไม่พอใจหรือ? ”
ซูจิ่นซีรีบเม้มริมฝีปาก “กล้าไม่พอใจได้อย่างไร! ”
ราวกับตอบสนองคำพูดของจิ่วหรง ทันใดนั้น จิ้งจอกน้อยน่ารักก็วิ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา และหันหน้าไปทางซูจิ่นซีพลางร้อง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด”
ทันทีที่เห็นจิ้งจอกน้อย ซูจิ่นซีก็หวนนึกถึงเรื่องราวหลังจากที่อาคมกำไลปี่อั้นเพิ่มระดับ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยซีโจว นางพลันขมวดคิ้วอย่างเคร่งขรึม
จิ่วหรงเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของซูจิ่นซี แต่กลับไม่พูดสิ่งใด
สถานการณ์เบื้องหน้า สกุลจงหมดอำนาจแล้ว แคว้นไหวเจียงและสกุลจงไม่อาจใช้ประโยชน์ได้อีก ไม่อาจพลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้ จงซูอี้คิดว่าเวลานี้ สาเหตุที่กองทัพใหญ่นอกเมืองยังไม่เข้ามาในเมือง เพราะพบกับอันตรายบางอย่างเป็นแน่ จึงรีบบอกกูสือซานให้ออกไปจากสนามประลอง
ก่อนจากไป กูสือซานคว้าตัวเยี่ยเซิน ทว่าเยี่ยเซินกลับผลักมือของกูสือซานออก และเดินไปทางซูจิ่นซีสองก้าว
“จิ่นซี ข้ามีบางอย่างต้องการพูดกับเจ้า”
ไม่รู้เพราะเหตุใด ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็รู้สึกเจ็บปวดใจ
มันเป็นความเจ็บปวดที่ห่างหายไปนาน และเป็นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเมื่อนางข้ามมิติมาครั้งแรก เป็นความเจ็บปวดของเจ้าของร่างเดิมในทุกครั้งที่พบเยี่ยเซิน
หรือว่าวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมยังไม่จากไปไหน ยังอยู่ในร่างของนาง?
ซูจิ่นซียังไม่ทันได้สติ เยี่ยเซินก็เดินมาข้างหน้าอีกสองก้าวแล้ว
“จิ่นซี เสี่ยวเซียงกง (เป็นคำเรียกขานสามีในสมัยโบราณ) รู้ว่า ก่อนหน้านี้เป็นเสี่ยวเซียงกงที่ทำไม่ดีต่อเจ้า เป็นเสี่ยวเซียงกงที่ทำผิดต่อเจ้า ทว่าตอนนี้ เสี่ยวเซียงกงเสียใจและสำนึกผิดแล้วจริงๆ ช่วงเวลานี้ที่อยู่แคว้นไหวเจียง ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ยิ่งห่างจากเจ้าไกลเท่าใด ความเสียใจก็ยิ่งมากขึ้น ทั้งยังคิดถึงเจ้ามากขึ้น”
แม้ซูจิ่นซีจะไม่พูดอันใด ทว่าจิ่วหรงค่อยๆ รวบรวมพลังภายในไว้ในมือ
เยี่ยเซินเห็นความแข็งแกร่งของพลังภายในของจิ่วหรง “คุณชายจิ่ว ท่านไม่จำเป็นต้องรีบจัดการข้าแทนจิ่นซี ไม่ว่าอย่างไร ข้ากับนางก็เป็นผู้ที่เคยหมั้นหมายกันมาก่อน แม้ข้าจะเคยทำร้ายนาง ทำผิดต่อนาง ทว่าตอนนี้ข้าเสียใจอย่างมาก ข้าเพียงต้องการพูดคุยกับนางสองสามคำก่อนจะจากไป”
จิ่วหรงมองซูจิ่นซี ทว่าท่าทีของซูจิ่นซีกลับสงบนิ่ง ดวงตาเคร่งขรึมเล็กน้อย ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด เขาจึงดึงพลังกลับคืน
แววตาของเยี่ยเซินเปี่ยมไปด้วยความเสียใจและความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง “จิ่นซี รอข้า! ข้ารู้ว่าเจ้าเคยรัก เคยผูกพันอย่างลึกซึ้งกับข้ามาก่อน ในเมื่อเคยรักกันอย่างจริงใจแล้ว เหตุใดจึงพูดว่าไม่รักได้! ตอนนี้ในใจของเจ้าย่อมมีข้า รอข้า! ต้องมีสักวันที่ข้าจะเปลี่ยนแปลงและแข็งแกร่งกว่าเยี่ยโยวเหยา เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าจะมาหาเจ้า และครอบครองเจ้าอย่างเต็มความภาคภูมิ ทำให้เจ้ากลับมาอยู่ข้างกายข้าอีกครั้ง และบอกให้เจ้ารู้ว่า… ในโลกนี้ ผู้ใดกันที่รักเจ้าอย่างแท้จริง”
พูดจบ เยี่ยเซินก็หันหลังกลับอย่างแน่วแน่ และเดินตามจงซูอี้กับกูสือซานออกไป
ตอนที่เยี่ยเซินพูดสิ่งเหล่านั้น ในใจของซูจิ่นซีรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ทว่านางยังสามารถแยกแยะทุกอย่างได้ชัดเจน ความเจ็บปวดเหล่านั้นเป็นของเจ้าของร่างเดิม ทว่านางไม่อาจควบคุมตนเองได้ ไม่อาจทำให้ตนเองกลับมาได้สติ จึงพยายามเอาชนะจิตใต้สำนึกของตนเอง
จิ่วหรงเห็นซูจิ่นซีมีท่าทางสับสน ทันใดนั้น แววตาของเขาก็ปรากฏความเคร่งขรึม เขายกสองนิ้วขึ้นมาวาดเบื้องหน้าซูจิ่นซีอย่างรวดเร็ว จากนั้น ร่างของซูจิ่นซีก็อ่อนแรงลงและตกอยู่ในอ้อมแขนของจิ่วหรง
จิ้งจอกน้อยโผล่หัวออกมาจากแขนเสื้อของจิ่วหรง และร้องเรียกซูจิ่นซีดัง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด” อย่างต่อเนื่อง
จิ่วหรงขมวดคิ้วแน่น
“วางใจได้ ตอนนี้นางสบายดี เพียงแต่… เกรงว่าผนึกภายในร่างกายของนางคงอยู่ได้อีกไม่นาน ต้องรีบพานางกลับไปยังสำนักแพทย์เทียนอี”
“จี๊ด… ” จิ้งจอกน้อยร้องด้วยเสียงอ่อนโยน มันใช้หางกวาดไปที่ใบหน้าซูจิ่นซี และกลับเข้าไปในแขนเสื้อของจิ่วหรง
จิ่วหรงกอดซูจิ่นซี จากนั้นจึงกระโดดขึ้นไปกลางอากาศและออกไปจากสนามประลองทันที
อู๋จุนต้องการไล่ตามจิ่วหรงและซูจิ่นซีไป ทว่ากลับถูกฮูหยินเตี๋ยเมิ่งขัดขวางไว้ “ถังเป่าอวี้ ลักพาตัวบุตรสาวของข้า เจ้าคิดจะหนีไปไหน? ”
อู๋จุนเห็นร่างของจิ่วหรงและซูจิ่นซีจากไปไกลแล้ว เขาไม่อาจไล่ตามได้ทัน จึงกัดฟันแน่น “ลักพาตัวบุตรสาวของท่านหรือ? บ้าไปแล้ว! ข้าไม่เคยทำเรื่องเช่นนั้น ปล่อยมือ! ”
ใบหน้าของฮูหยินเตี๋ยเมิ่งเคร่งขรึมอย่างมาก “ถังเป่าอวี้ ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง เจ้ากับบุตรสาวของข้าได้เข้าพิธีแต่งงานกันแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบชีวิตนาง นางหนูจิ่นซีเป็นสตรีที่มีสามีแล้ว เจ้ายังไม่ยอมปล่อยวางอีก เลิกคิดถึงเรื่องนี้เสียเถิด”
อู๋จุนปัดมือฮูหยินเตี๋ยเมิ่งอย่างแรง
“ไม่ ตอนนั้นข้าถูกบังคับ ตอนนั้นพวกเจ้าถามความสมัครใจของข้าบ้างหรือไม่? ” เขาพูดพลางหันหลังเดินจากไป
สีหน้าของฮูหยินเตี๋ยเมิ่งพลันถมึงทึง “องครักษ์ จับตัวถังเป่าอวี้ให้ข้า คุมตัวกลับไปที่หุบเขาร้อยบุปผา”
ขณะนั้น เหล่าลูกศิษย์และองครักษ์ของสกุลจงที่อยู่ในสนามประลองต่างถูกจัดการไปพอสมควรแล้ว คนของแคว้นไหวเจียงก็ถอยหนีไปหมด สตรีในชุดสีเขียวซึ่งเป็นลูกน้องของฮูหยินเตี๋ยเมิ่งจึงล้อมอู๋จุนไว้ตรงกลาง
ทันใดนั้น องครักษ์จากหุบเขาเทพโอสถของอู๋จุนก็เข้ามาล้อมฮูหยินเตี๋ยเมิ่งไว้ตรงกลางเช่นกัน
อู๋จุนมองพวกเขา พลางกัดฟันแน่น
“ฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง ได้ต่อสู้กับพวกสกุลจงแล้ว เจ้าจะต่อสู้กับข้าอีกหรือ? ”
ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งคิ้วกระตุก “ถังเป่าอวี้ เจ้าเชื่อฟังเสียโดยดีเถิด! เรื่องราวจะได้ไม่แพร่ไปถึงสำนักถังเหมิน พวกผู้เฒ่าในสำนักนั้นจะได้ไม่พูดว่าข้าไร้คุณธรรม เป็นภรรยาหลวงที่รังแกบุตรของภรรยาน้อย”
“ข้าไม่ ถุย! ” อู๋จุนใช้สองมือเท้าเอวและถ่มน้ำลายลงบนพื้นอย่างแรง
“ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง ข้าไม่ได้ชื่อถังเป่าอวี้ ข้าชื่ออู๋จุน! ”
ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “อู๋จุน… ไม่มีญาติ… ไม่มีบรรพบุรุษ… ฮ่าฮ่าฮ่า ถังเป่าอวี้ เจ้าเป็นบุตรที่ดีของถังอ้าวเทียนจริงๆ ! ”
อู๋จุนกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ เขาหมุนแส้เป็นวงกลมและเหวี่ยงไปทางฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง
“ข้าชื่ออู๋จุน ข้าไม่มีบรรพบุรุษ ข้าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับถังอ้าวเทียน”
ทันใดนั้น คนของหุบเขาเทพโอสถและคนของหุบเขาร้อยบุปผาก็ต่อสู้กันอีกครั้ง
ตอนที่ซูจิ่นซีฟื้นขึ้นมา นางยังอยู่ที่สนามแข่งขันซิ่งหลินของสกุลจง จิ่วหรงเพียงนำนางออกมาจากวงล้อมเท่านั้น
ด้านนอกวงล้อมค่อนข้างเงียบสงบ
ไม่รู้ว่าจิ่วหรงใช้วิธีใด ความคิดของซูจิ่นซีที่เป็นของเจ้าของร่างเดิมไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ความสับสนในจิตใจก็เลือนหายไปเช่นกัน
แม้จะอึดอัดเล็กน้อย ทว่านางยังแย้มรอยยิ้มสดใสให้จิ่วหรง
“จิ่วหรง ขอบคุณท่าน ท่านช่วยข้าอีกครั้งแล้ว! ”
จิ่วหรงยกยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มอบอุ่น
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็มองด้วยสายตาตกตะลึงเล็กน้อย ทั้งยังมองอยู่นานโดยไม่ละสายตา
จิ่วหรงเคาะนิ้วมือลงบนหน้าผากของซูจิ่นซี “น้ำลายเกือบไหลออกมาแล้ว! ”
ซูจิ่นซีพลันกลับมาได้สติ นางลูบหน้าผากด้วยความเจ็บปวด และยิ้มแห้งที่มุมปาก
ไม่ใช่เพราะนางเลอะเลือน ไม่ใช่เพราะหลงใหลในรูปลักษณ์อันงดงามของจิ่วหรง ทว่ารอยยิ้มนั้น ช่างเหมือนกับคนผู้หนึ่งมาก…