บทที่ 363 หน้าไม่อาย

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 363 หน้าไม่อาย

ขณะนี้บนท้องฟ้าเหนือสระหยูหลัน มวลพลังวิญญาณที่ควบแน่นกันเป็นทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30 เมตร กำลังลอยนิ่งล่อสายตาทุกคู่ที่หื่นกระหาย

แน่นอนว่ามันคือพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่หลงเหลือไว้ หลังจากที่วิญญาณปีศาจถูกชำระล้าง

“พลังวิญญาณบริสุทธิ์จำนวนมหาศาล!” หานซ่งหยวนอดไม่ได้ที่จะอุทาน “ขอเพียงแค่ข้าได้ดูดซับมันสักครึ่งหนึ่ง ดวงจิตของข้าคงจะแข็งแกร่งกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า”

หยูจิ้งเฉิงมองไปที่มวลพลังวิญญาณและพึมพำขึ้นโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน “ถ้าข้าได้ดูดซับมัน ข้าจะต้องกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแน่นอน…”

กู่ตงฉิงซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ พวกเขาก็มองไปที่มวลพลังวิญญาณขนาดยักษ์ด้วยแววตาลุกวาว เขาถอนหายใจและคิดกับตัวเอง ‘ถ้าข้าได้ดูดซับพวกมันทั้งหมด ข้ามั่นใจว่าข้าจะบรรลุไปถึงระดับนภาครามทันทีแน่นอน หรือไม่แน่ข้าอาจจะทะลวงไปถึงระดับสวรรค์เลิศล้ำได้เลยด้วยซ้ำ’

เมื่อพร่ำเพ้อในใจเสร็จ สายตาของเขาก็หันไปทางหลิงตู้ฉิงและเขาก็นิ่งเงียบ

เนื่องจากเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าพลังวิญญาณบริสุทธิ์นี้ถูกจับจองไว้โดย หลิงตู้ฉิง เรียบร้อยแล้ว

เมื่อเขามองไปที่หลิงตู้ฉิง เขาก็นึกถึงค่ายกลกระบี่เหินเมฆา และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นหม่นหมองลงและไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

ในขณะเดียวกัน สีเป่ยเซียะก็มองไปที่มวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยรอยยิ้มที่สนุกสนาน

นางนึกถึงคำสัญญาที่หลิงตู้ฉิงได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ ตราบใดที่นางช่วยเขา นางก็จะได้รับการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ และเมื่อนางดูจากรูปการณ์ในตอนนี้แล้ว ผลตอบแทนที่นางจะได้รับมันจะต้องเป็นมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์นี้แน่นอน

ต้องไม่ลืมว่าผลงานของนางคือนางเป็นผู้ที่ปลดปล่อยร่างที่แท้จริงของวิญญาณปีศาจออกมา ฉะนั้นนางก็ควรจะได้รับส่วนแบ่งมากกว่าคนอื่นจริงไหม?

ไม่เพียงแต่สีเป่ยเซียะที่กำลังตื่นเต้นกับส่วนแบ่ง แต่ทุกคนที่ร่วมต่อสู้ต่างก็แสดงท่าทางดีอกดีใจเช่นกัน

“พวกเรารวย พวกเรารวยแล้ว!!” เย่ชิงเฉิงพูดกับมี่ไล และคนอื่น ๆ ด้วยเสียงหัวเราะ “ด้วยพลังวิญญาณบริสุทธิ์จำนวนมากขนาดนี้ที่สามีพึ่งชำระล้างมันมาจากวิญญาณปีศาจ เมื่อพวกเราทุกคนใช้มัน พวกเราจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก”

หลิงเทียนหยุนถามอย่างสงสัย “ท่านน้าเย่ ประโยชน์อะไรงั้นเหรอที่ท่านบอกว่ามากมาย?”

เย่ชิงเฉิงหัวเราะ “ประโยชน์ของมันก็คือด้วยพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์เช่นนี้ หากพวกเราดูดซับมัน มันจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับดวงจิตของพวกเราได้! ตอนนี้เจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจเนื่องจากว่าเจ้ายังคงอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณ แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าทะลวงขอบเขตไปถึงขอบเขตรวมแสงดารา วิญญาณที่แท้จริงของเจ้าก็จะปรากฏขึ้น ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะรู้ซึ้งถึงความสำคัญของความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณ ถ้าจิตวิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งพอ เมื่อเจ้าฝึกฝนอยู่ในขอบเขตนภา เจ้าจะสามารถเข้าใจกฎของสวรรค์และโลกได้อย่างรวดเร็วและใช้มันได้ดีขึ้นไปอีก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ เจ้าว่าแบบนั้นไหม?”

ดวงตาของมี่ไลและหลิงเทียนหยุนสว่างขึ้นเมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้น ตอนนี้พวกเขาทุกคนกำลังฝึกฝนวิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่ง พวกเขาทั้งหมดรู้สึกว่ามันยากมากที่จะเข้าใจมัน ซึ่งถ้าจิตวิญญาณของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น การเข้าใจมันก็จะต้องง่ายขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

และที่สำคัญด้วยเวลาที่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับจะเปิดนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ และมันยากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับพวกเขาที่จะเข้าใจวิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่ง ซึ่งถ้าหากพวกเขามีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งมากขึ้น มันจะช่วยพวกเขาได้มากขึ้นไม่ใช่หรือ? เมื่อคิดได้เช่นนี้พวกเขาทุกคนต่างเผยรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้า

ในอีกด้านหนึ่ง เหล่าผู้คนของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังมองไปที่มวลพลังวิญญาณในอากาศ ใครบางคนในพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโส พวกเราเองก็ลงทุนไปมากเพื่อกำจัดวิญญาณปีศาจ ดังนั้นอย่างน้อย ๆ พวกเขาก็ควรจะแบ่งมันให้กับพวกเราบ้างใช่ไหม?”

พวกเขาเสียโองการจักรพรรดิไปถึง 2 ชิ้น ซึ่งมูลค่าของมันไม่ใช่เล็กน้อย ดังนั้นมันก็ต้องเป็นเรื่องปกติที่หลิงตู้ฉิงจะต้องให้ส่วนแบ่งในมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่พวกเขาบ้าง

หนานกงซ่งหยวนมองไปที่มวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่ลอยอยู่ในอากาศด้วยสายตาลังเล จากนั้นเขามองไปที่หลิงตู้ฉิงและลั่วหยุน ในท้ายที่สุดเขาก็พยักหน้าและพูดว่า “เราคงต้องไปคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ชัดเจน”

เขารู้สึกว่าหากลองเจรจาดูสักหน่อย เขาก็น่าจะได้รับส่วนแบ่งของมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์มาได้ไม่มากก็น้อย

“รีบ ๆ เก็บมันไปสักที!” ลั่วหยุนมองดูมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยสีหน้าผิดหวังเป็นเวลานานก่อนที่จะพูดกับหลิงตู้ฉิงในที่สุด

ถึงแม้เขาจะมีความสุขมากที่วิญญาณปีศาจหายไป แต่อย่างไรก็ตามเขาก็รู้สึกไม่พอใจที่วิญญาณปีศาจไม่ได้ตายอย่างทรมาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาคิดถึงการที่คนรักของเขาถูกสังหารด้วยเงื้อมมือของวิญญาณปีศาจ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของการเป็นศัตรูกันเป็นเวลานานนับหมื่นปีและเมื่อหลังจากเรื่องนี้จบลง เขาก็รู้สึกถึงความว่างเปล่า

หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ไม่ต้องกังวล ข้าจะให้เจ้าหนึ่งในสี่ของจำนวนที่สัญญาไว้แน่นอน แต่สำหรับคนอื่น ๆ เจ้าสามารถมอบให้พวกเขาได้ตามที่เจ้าเห็นสมควร”

ในขณะที่เขากำลังจะไปเก็บมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์ เทียนหยูเฮงก็บินเข้ามาหาทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่กำจัดวิญญาณปีศาจได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ที่เหลืออยู่ จะว่าอะไรไหมหากพวกเราจะขอแบ่งมันบ้าง…”

“ไสหัวไปซะ!” ลั่วหยุนตะคอกกลับอย่างรวดเร็วทันที

เทียนหยูเฮงกำลังจะหมายถึงอะไร ทำไมเขาจะไม่รู้?

แค่เขาไม่คิดบัญชีกับเรื่องที่เทียนหยูเฮงทำลายปราการจักรกลสวรรค์ของเขาก็นับว่าเขาใจดีมากแล้ว แต่นี่เทียนหยูเฮงกลับยังต้องการแบ่งปันผลประโยชน์จากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขา?

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นแทรกว่า “ข้าเป็นคนที่ยึดหลักของความยุติธรรมมาตลอด ใครก็ตามที่มีส่วนร่วมในการดำเนินการ ทุกคนจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทน ส่วนผู้ที่ไม่มีส่วนร่วมจะไม่มีใครได้รับส่วนแบ่งแน่นอน”

เขาลงทุนใช้เวลา 3 ปีในการวางแผนทุกด้านเพื่อที่จะได้มวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์นี้มา

แต่ตอนนี้กลับมีใครบางคนต้องการมัน ทั้งที่ไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยสักอย่าง?

เมื่อได้ยินการตอบกลับเช่นนี้ เทียนหยูเฮงจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าแข็งกร้าว “พวกเราไม่ต้องการส่วนแบ่งอะไรมากนัก เพราะเราเองก็มีคนไม่มาก หากพวกท่านตกลง พวกเราสันเขาทรราชจะจดจำบุญคุณนี้ไว้”

ความหมายของคำกล่าวของเทียนหยูเฮงก็คือ เขาจะใช้ชื่อเสียงของสันเขาทรราชของเขาเพื่อรับส่วนแบ่งมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์นี้ด้วย

หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “สันเขาทรราชงั้นเหรอ… เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ถ้าเจ้ายินดีที่จะนำอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิของเจ้ามาแลกเปลี่ยน ข้าก็สามารถแบ่งให้พวกเจ้าได้บ้างเล็กน้อย”

เทียนเก๋อตำหนิ “ท่านลุงของข้ากำลังคุยอยู่กับผู้อาวุโสลั่ว ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณที่อ่อนแอเช่นเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดแทรกขึ้นเช่นนี้?”

จากมุมมองที่พวกเขาเห็น พวกเขาเข้าใจว่าหลิงตู้ฉิงนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนี้ด้วยสถานะของพวกเขา พวกเขาไม่มีความจำเป็นจะต้องไว้หน้าคนที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่แค่ขอบเขตประสานทะเลปราณ

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ถ้าพวกเจ้าไม่แลก งั้นก็ช่างมันเถอะ”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เตรียมที่จะเก็บมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์

“ช้าก่อน!” เทียนหยูเฮงรีบพูดขึ้น จากนั้นเขามองไปที่ลั่วหยุนและพูดว่า “ข้ารู้ว่าท่านมีภูมิหลังไม่ธรรมดา อย่างไรก็ตามท่านก็ควรจะเห็นแก่หน้าสันเขาทรราชของเราสักหน่อยด้วยการทำตามคำขอเล็ก ๆ นี้ไม่ได้หรือยังไงกัน?”

ลั่วหยุนหัวเราะเยาะ “เจ้าคิดว่าสันเขาทรราชของเจ้ายิ่งใหญ่จนข้าต้องยอมไว้หน้าเจ้าเลยงั้นเหรอ? และเจ้าควรจะรู้ตัวดีว่าก่อนหน้านี้เจ้าได้ทำอะไรลงไป ต่อให้ผลลัพธ์ของมันจะเป็นยังไงพวกข้าก็ยังคงแก้ไขได้ แต่ความไม่พอใจของข้ายังคงอยู่! ข้าขอบอกกับพวกเจ้าเอาไว้เลย ในอนาคตเมื่อข้ามีโอกาสเมื่อไหร่ ข้าจะค่อยคิดบัญชีกับพวกเจ้าจนครบแน่นอน เอาล่ะ ตอนนี้จงไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าได้แล้ว ที่นี่ไม่มีที่ว่างสำหรับพวกเจ้า”

ความหยาบคายซ้ำ ๆ ของลั่วหยุน ทำให้ใบหน้าของเทียนหยูเฮงเปลี่ยนเป็นเย็นชา

เขาคือผู้อาวุโสคนสำคัญของสันเขาทรราช ส่วนอีกฝ่ายเป็นเพียงจิตวิญญาณขอบเขตราชันเพียงเท่านั้น ทำไมถึงได้กล้าหยิ่งยโสโอหังได้ถึงขนาดนี้?

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดี! ดีมาก! ในตอนแรกข้าว่าจะขอแบ่งมันสักหนึ่งในสี่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนแล้งน้ำใจกับข้าเช่นนี้ งั้นก็อย่าโทษว่าข้าไม่สุภาพก็แล้วกัน!”

เมื่อพูดจบ เทียนหยูเฮงก็หยิบอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิออกมาอีกครั้ง