บทที่ 364 ข้าท้าให้เจ้าขยับ!

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 364 ข้าท้าให้เจ้าขยับ!

นอกเหนือจากเทียนหยูเฮงแล้ว กองกำลังอื่น ๆ ก็เริ่มกระสับกระส่าย

สำหรับตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาตัดสินใจว่าจะยังไม่เคลื่อนไหวในขณะนี้ เนื่องจากพวกเขาคิดว่าพวกเขาน่าจะได้รับส่วนแบ่งอยู่แล้วจากที่พวกเขาเองก็ได้มีส่วนร่วมในการจัดการวิญญาณปีศาจ

ส่วนทางด้านตำหนักเทพเหมันต์ก็ไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน เพราะความสัมพันธ์ของพวกเขากับลั่วหยุนค่อนข้างที่จะแน่นแฟ้นพอสมควร

สำหรับคนอื่น ๆ ที่พวกเขาทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับหลิงตู้ฉิง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาไม่มีความคิดที่จะลงมือใด ๆ ยกตัวอย่างเช่น สีเป่ยเซียะจากสำนักเบญจธาตุและคนอื่น ๆ ของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์

อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มาจากขุมกำลังใหญ่ ซึ่งคนกลุ่มนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซะจากกลุ่มคนที่มาจากอาณาจักรอ้าวเทียน

ด้วยการที่พวกเขามีสำนักยอดเขาหยกจักรพรรดิเป็นผู้หนุนหลัง ผู้คนของอาณาจักรอ้าวเทียนจึงไม่เกรงกลัวที่จะล่วงเกินหอการค้าเชื่อมสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาตอนนี้จึงกำลังเริ่มวางแผนต่าง ๆ อยู่ในใจ

ลั่วหยุนมองไปที่การกระทำของเทียนหยูเฮงและหัวเราะด้วยความโกรธ “เป็นเวลานับหมื่นปีแล้วที่ไม่มีใครกล้าที่จะล่วงเกินหอการค้าเชื่อมสวรรค์ของข้า ตอนนี้สันเขาทรราชของเจ้าต้องการที่จะเห็นให้ได้ใช่ไหมว่า ทำไมถึงไม่มีใครกล้าล่วงเกินพวกข้ามานานนับหมื่นปี?”

เมื่อพูดจบ ลั่วหยุนหยิบอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิขึ้นมาอีกครั้งและพูดกับเทียนหยูเฮงด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าจะไปด้วยตัวเองหรือจะให้ข้าส่งเจ้าออกไป?”

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ การแสดงออกของเทียนหยูเฮงก็เปลี่ยนไปจนแทบจะเหมือนกับเป็นคนละคน สีหน้าของเขากลายเป็นหยิ่งผยองพร้อมกับใช้น้ำเสียงในการพูดเป็นโทนเสียงเย็นชา “เจ้าก็มันก็แค่วิญญาณที่ไร้ร่าง แถมเมื่อครู่เจ้าก็พึ่งผ่านศึกใหญ่มาหมาด ๆ จนความแข็งแกร่งลดลงไปอยู่ก็หลายส่วน”

“ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าได้มาลองดีกับพวกข้าในตอนนี้จะดีกว่า ส่วนหอการค้าเชื่อมสวรรค์ของเจ้า ก่อนหน้านี้มันก็เคยมีคนที่พวกเจ้าต้องยอมศิโรราบให้ไปแล้วไม่ใช่รึไง? ข้าจะบอกอะไรให้เอาบุญว่ามีผู้คนมากมายในโลกนี้ที่ไม่เกรงกลัวพวกเจ้าและสันเขาทรราชของข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น!”

จากความรู้สึกของลั่วหยุน เขารู้ได้ทันทีว่านี่เป็นจิตสำนึกของผู้อื่นที่พูดขึ้นผ่านเทียนหยูเฮง เขาถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเป็นใคร?”

“ข้าคือ เทียนเฟิง! แม้ว่านี่จะเป็นแค่เศษเสี้ยวจิตสำนึก แต่ข้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในขอบเขตที่สูงกว่าเจ้า” เทียนเฟิงพูดขึ้น “สำหรับเจ้าที่เหลือแค่เพียงดวงจิต เจ้าย่อมน่าจะรู้ว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าแน่นอน ข้าจะขอบอกกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์นี้ข้าต้องการมัน!”

ลั่วหยุนจ้องไปที่เทียนเฟิงด้วยสายตาเย็นชาพลางหัวเราะ “ถ้าเจ้าต้องการแย่งชิงมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์จากข้า เจ้าคิดผิดแล้ว เป้าหมายของข้าคือการกำจัดวิญญาณปีศาจเท่านั้น สำหรับส่วนแบ่งในมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์เจ้าคงจะต้องไปถามถามคนผู้นั้นแทน…!”

แม้ว่าเขาจะไม่ชอบคำข่มขู่ของเทียนเฟิง แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมถอย นี่เป็นเพราะตัวเขาเหลือเพียงแค่ดวงวิญญาณเท่านั้น ซึ่งตอนนี้มันยิ่งอ่อนแอมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีกหลังจากการสู้รบกับวิญญาณปีศาจ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกซะจากต้องโยนปัญหานี้ไปให้กับหลิงตู้ฉิงรับหน้าแทน

“ให้ข้ารับมือเองคงไม่ไหว!” ลั่วหยุนส่งข้อความทางโทรจิตไปหาหลิงตู้ฉิง

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดอย่างจนปัญญา “หากเจ้าต้องการปล้นมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์ของข้า อย่างน้อยเจ้าก็ต้องขุดโคตรบรรพบุรุษของเจ้าเองออกมา แต่ถึงแม้ว่าบรรพบุรุษของเจ้าจะมาเอง มันก็คงจะไม่มีประโยชน์อยู่ดีล่ะนะ”

“เอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้กล้ายโสโอหังต่อหน้าข้าขนาดนี้?” เทียนเฟิงหัวเราะเยาะ

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เจ้ามันก็เป็นแค่เศษเสี้ยวของจิตสำนึกเท่านั้น จงรีบไสหัวไปซะตั้งแต่ตอนนี้ที่ข้ากำลังอารมณ์ดี ข้ายังไม่อยากจะฆ่าใคร!”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงสะบัดมือเรียกกระบี่บินออกมาจากเรือนบนยอดเขาและควบคุมกระบี่บินทั้ง 49 เล่มให้กลายรูปแบบค่ายกลล้อมรอบสระหยูหลันเอาไว้ จากนั้นภายใต้การปกป้องของค่ายกลกระบี่เหินเมฆา หลิงตู้ฉิงก็เดินไปที่มวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์และค่อย ๆ เก็บพวกมันไว้

เมื่อเห็นการกระทำของหลิงตู้ฉิงเช่นนี้ เทียนเฟิงจึงโคจรพลังวิญญาณของตนเองเข้าไปในดาบยาวสีดำ ซึ่งเป็นอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิของเขาโดยไม่ลังเล

เมื่อได้รับพลังวิญญาณที่ผสมไปด้วยเจตจำนงของเทียนเฟิง ดาบยาวสีดำก็เริ่มเปล่งแสงรัศมีสีดำทมิฬของมันออกมาและในเวลาเดียวกับที่รัศมีสีดำปรากฎขึ้น ค่ายกลกระบี่ของหลิงตู้ฉิงก็เริ่มสั่นราวกับว่ามันจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ในอีกไม่กี่อึดใจ

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็ขมวดคิ้วพลางสะบัดมืออีกครั้งเพื่อควบคุมให้เหล่ากระบี่บินเปลี่ยนรูปแบบให้มารวมตัวประกอบกัน จากนั้นกระบี่ยาว 4 ฟุตที่ไม่มีด้ามก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิงตู้ฉิง

หลิงตู้ฉิงพูดอย่างเฉยเมย “เจ้าคิดว่าจิตสำนึกของเจ้าจะไร้เทียมทานจริง ๆ งั้นเหรอ? ถ้าเจ้ากำลังคิดเช่นนั้นอยู่ล่ะก็เจ้าคิดผิดแล้ว! ต่อให้เจ้าจะใช้อาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิของเจ้ามันก็ไม่สามารถที่จะต้านทานค่ายกลของข้าได้หรอก!”

เมื่อจบคำพูด กระบี่ยาว 4 ฟุตก็ปล่อยลำแสงสีขาวเงินออกมาจากปลายกระบี่พุ่งทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้าคล้ายกับเป็นเสาแสงสีขาวที่คอยค้ำยันพื้นปฐพีและท้องฟ้าไว้ไม่ให้แยกจากกัน

เมื่อเสาแสงสีขาวเงินนี้ปรากฏขึ้น ทันใดนั้นดาวสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเช่นกันพร้อมกับส่องประกายรัศมีสีแดงเหมือนโลหิต

หลังจากที่ดาวสีแดงเข้มปรากฏขึ้น มันก็เหมือนกับว่ามันเชื่อมต่อกับเสาแสงสีขาวเงิน

ส่งผลให้แสงที่เปล่งประกายออกมาจากเสาเริ่มเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นส่วนผสมของสีแดงเข้มและสีขาวเงิน

เมื่อแสงของทั้งเสาเปลี่ยนเป็นสีขาวเงินสลับแดงจนหมด เสาแสงนี้ก็แผ่ขยายออกอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นอาณาเขตสีแดงเข้มและสีขาวเงินปกคลุมสระหยูหลันและบริเวณใกล้เคียงทั้งหมด

“ถ้าเจ้ากล้าก็ลองขยับดู” หลิงตู้ฉิงส่งยิ้มให้เทียนเฟิง และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

“วิชาดาราโลหิตประสานกระบี่!” ร่างของเทียนหยูเฮงสั่นเป็นเจ้าเข้า

ส่วนทางด้านของเทียนเฟิง เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับร่างของเทียนหยูเฮงแม้แต่น้อย เขารู้สึกได้ทันทีว่าสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบกายของเขาในตอนนี้มันเต็มไปด้วยเจตจำนงแห่งกระบี่ สัญชาตญาณของเขาเตือนเขาทันทีว่าถ้าหากเขาเคลื่อนไหว เจตจำนงแห่งกระบี่ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขาจะรุมเข้าสังหารเขาทันที

ด้วยอำนาจของมันที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงที่ตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวจิตสำนึก ต่อให้นี่คือจิตสำนึกเต็มสิบส่วนของเขา เขาก็ไม่สามารถต้านทานมันได้ ต้องเป็นร่างจริงของเขามาด้วยตัวเองเท่านั้น เขาถึงจะสามารถบุกทะลวงผ่านเจตจำนงแห่งกระบี่เหล่านี้ออกไปได้

ลั่วหยุนรู้สึกประหลาดใจและส่งข้อความทางโทรจิตไปยังหลิงตู้ฉิง “วิชาดาราโลหิตประสานกระบี่? ทำไมท่านถึงมีวิชาสังหารที่สูญหายมาอีกอย่างแล้ว นี่ท่านเป็นใครกันแน่? ตอนแรกก็ห้วงนิทราแห่งราชันย์ ต่อมาก็คัมภีร์มัตตัย แล้วตอนนี้ก็มาเป็นวิชากระบี่ที่ไร้เทียมทานวิชานี้อีก…”

หลิงตู้ฉิงไม่สนใจลั่วหยุนและยังคงรวบรวมมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์ต่อไปโดยการควบแน่นมวลพลังเหล่านี้ให้กลายเป็นผลึกสีดำ เพื่อที่เขาจะได้จัดเก็บหรือใช้มันได้ง่ายยิ่งขึ้น

เมื่อเห็นว่าตอนนี้เขาคงไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป เทียนเฟิงจึงค่อย ๆ ถอนจิตสำนึกของเขาออกจากร่างของเทียนหยูเฮง ซึ่งแม้แต่การถอนจิตสำนึกออกเขายังต้องค่อย ๆ ถอนออกไปอย่างช้า ๆ ไม่กล้าที่จะถอนเร็วเกินไปเพราะกลัวว่าหลิงตู้ฉิงอาจจะเข้าใจผิดและส่งเจตจำนงแห่งกระบี่ที่อยู่รอบ ๆ ถล่มเขา

หลังจากที่เทียนหยูเฮงได้กลับมาควบคุมร่างกายของตัวเองอีกครั้ง เขาเองก็ไม่กล้าที่จะขยับเช่นกัน

ในด้านของคนอื่น ๆ ที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ที่แม้แต่ผู้คนของสันเขาทรราชยังไม่กล้าขยับ พวกเขาเองก็พากันไม่กล้าขยับตามไปด้วยเช่นกัน

หนานกงซ่งหยวน ในตอนนี้ก็ส่งสัญญาณด้วยสายตาไปยังคนของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ของเขาทุกคนเช่นกันให้ทุกคนอย่าพึ่งเคลื่อนไหว

ในตอนนี้ทุกคนต่างเข้าใจตรงกันว่าตราบใดที่พวกเขาอยู่ภายใต้อำนาจของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ มันก็เหมือนกับมีกระบี่พาดอยู่บนคอและสามารถปลิดชีวิตพวกเขาได้ทุกเมื่อ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ใครจะไปกล้าเคลื่อนไหวกัน?

ภายใต้การจับตามองของฝูงชน หลิงตู้ฉิงก็รวบรวมมวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์ไปเรื่อย ๆ

จากนั้นเขามองไปที่เทียนหยูเฮงและพูดว่า “เนื่องจากพวกเจ้าสันเขาทรราชกล้าที่จะสร้างความรำคาญให้ข้า ดังนั้นคนของเจ้าทุกคนจะต้องทิ้งวัสดุที่อยู่ในระดับเดียวกับระดับการบ่มเพาะของพวกเขาเอาไว้ก่อนที่จะจากไป ส่วนเจ้า! เจ้าจงอย่าลืมว่าในร่างของเจ้ามีจิตสำนึกระดับจักรพรรดิอยู่ ดังนั้นเจ้าจะต้องจ่ายวัสดุระดับจักรพรรดิเพิ่มมาด้วยอีก 1 ชิ้น ซึ่งการที่ข้าให้เจ้าจ่ายแค่วัสดุระดับจักรพรรดิแลกกับการให้ข้าปล่อยเจ้าไปมันถือว่าคุ้มค่ามาก”

ใบหน้าของเทียนหยูเฮงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที พวกเขามาที่นี่เพื่อปล้นไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงถูกปล้นเสียเอง?

อย่างไรก็ตาม เขาทำได้เพียงแค่ยอมตกลงตามคำพูดของหลิงตู้ฉิงเพียงเท่านั้นและหลังจากที่คนของสันเขาทรราชมอบวัสดุให้จนครบ พวกเขาก็รีบจากไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว