ตอนที่ 504 คณะกรรมการของงานชุมนุม

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

สำหรับบรรดาคณะกรรมการ ผู้ที่นั่งในตำแหน่งตรงกลางคือผู้ที่มีความสัมพันธ์เป็นปฏิปักษ์กับฉินอวี้โม่ เขาคือหลงจื้อผู้อาวุโสใหญ่แห่งนิกายหงส์มังกร

ในเวลานี้พลังของหลงจื้อยากเกินหยั่งถึงยิ่งกว่าตอนที่ฉินอวี้โม่ประจันหน้ากับเขาครั้งยังอยู่ในดินแดนหวนหลิงเสียอีก แม้ตอนนี้นางจะเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดแล้ว แต่นางก็มิอาจสัมผัสถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้เลย

จากสิ่งนี้เพียงอย่างเดียวก็เห็นได้ชัดว่าหลงจื้อมีพลังอย่างน้อยอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดและเป็นยอดฝีมือที่แกร่งกล้าอย่างแน่นอน

ซ้ายมือของหลงจื้อคืออู่ซิงผู้ซึ่งสีหน้าไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใด เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และสมาชิกเรือนเฟิงเสวี่ยเดินเข้ามาในบริเวณลานจัตุรัส เขาก็คลี่ยิ้มทักทายด้วยท่าทางเป็นมิตร

ส่วนขวามือของหลงจื้อคือเซิ่งเซียวจากอารามโชติช่วงผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนอบอุ่นประดับบนใบหน้าซึ่งสมกับชื่อของ ‘อารามโชติช่วง’ ที่บ่งบอกถึงความอบอุ่นสว่างไสว อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่รู้จักอารามโชติช่วงเป็นอย่างดีและทราบดีว่าชื่อนั้นขัดกับลักษณะนิสัยของพวกเขาอย่างแท้จริง

เซิ่งเซียวเป็นบุรุษหนุ่มที่ดูมีอายุไม่เกินช่วงวัยสามสิบปีซึ่งถือว่าอายุยังน้อยและมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร เมื่อฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มาถึง สีหน้าของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เมื่อมองแวบแรก เขาดูเป็นคนที่ยากเกินหยั่งถึง ทว่ามีรูปเป็นทรัพย์และชวนมองอย่างยิ่ง เพียงเขานั่งอยู่บนแท่นสูงนั้น สตรีมากมายในดินแดนทางเหนือต่างก็มองไปที่เขาอย่างมิอาจละสายตาด้วยความหลงใหลและสนใจอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากคนเหล่านั้น บนแท่นยกสูงดังกล่าวยังมีอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหน้า คนผู้นั้นคืออานเหยียน—เจ้าภาพผู้จัดงานชุมนุมดินแดนเหนือนี้ขึ้นมาและเป็นเจ้าเมืองผู้ปกครองของเมืองฉางอาน

ด้านหน้าสุดของแท่นยกสูงคือที่นั่งของหุบเขากรุ่นกำยาน นิกายเพลิงแดงเดือดและนิกายอู่ซานตามลำดับ ขวาสุดของบริเวณนั้นคือที่ว่างที่ไม่มีผู้ใดจับจอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตำแหน่งเหล่านั้นคือที่นั่งของฉินอวี้โม่และคณะเดินทางของนางอย่างแน่นอน

“ฮ่า ๆ ๆ เรือนเฟิงเสวี่ยช่างไร้มารยาทจริงๆ ไม่คาดคิดว่าจะปล่อยให้ท่านผู้มีเกียรติทั้งสามต้องรอนานเช่นนี้”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก้าวเข้ามา เฝินชวี่—นายน้อยแห่งหุบเขากรุ่นกำยานก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวอย่างดูหมิ่นทันที

“ดูเหมือนว่าจะมิได้มีกำหนดระยะเวลาไว้ว่าจะต้องมาก่อนเมื่อใด มันอาจเป็นเพราะเจ้ามาก่อนเวลาก็เป็นได้”

ฉินเฟิงตอบกลับไปอย่างสบาย ๆ โดยไม่ใส่ใจวาจาดูหมิ่นและใบหน้าเย้ยหยันของเฝินชวี่แม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินวาจาตอบโต้อย่างไม่สะทกสะท้านของฉินเฟิง เฝินชวี่ก็ยิ้มเย็นและกล่าวต่อ “เหอะ แม้ว่าจะไม่มีการกำหนดเวลาที่แน่ชัด ทุกคนในเรือนเฟิงเสวี่ยก็น่าจะรู้จักการให้เกียรติผู้อื่น หรือว่าผู้นำของพวกเจ้าที่แข็งแกร่งนักจะไม่รู้ว่าควรมาก่อนเวลาเพื่อแสดงถึงมารยาทและให้เกียรติผู้ร่วมงาน ?”

“โอ้ แสดงถึงมารยาทและให้เกียรติงั้นรึ ? มันสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้ ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากขณะเดินไปยังตำแหน่งว่างของเรือนเฟิงเสวี่ยและนั่งลงอย่างไม่เห็นหัวเฝินชวี่แม้แต่น้อย

“โอ้ เหตุใดวันนี้ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยจึงสวมผ้าคลุมบดบังใบหน้า ? หรือว่าจะอับอายและไม่กล้าสู้หน้าผู้คน ?”

เฝินชวี่อดกล่าวเย้ยการแต่งกายของฉินอวี้โม่ไม่ได้ เขายังคงชิงชังและเคียดแค้นที่นางฉกฉวยม้วนกระดาษลึกลับที่เขาประมูลมาในราคาแพง รวมถึงการที่ทำให้เขาอับอายขายขี้หน้ามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าก็แค่เกรงว่าจะทำให้พวกเจ้าตกตะลึงจนตาบอดน่ะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเยาะกล่าววาจาตอบโต้ การกล่าววาจาของเฝินชวี่กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเขาเสียหน้าเสียเอง

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของเฝินชวี่ก็แดงก่ำอย่างรวดเร็วและบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด เขาเคียดแค้นจนมิอาจสรรหาคำพูดตอบโต้ออกไป เขาทำได้เพียงมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเขม็งและเกลียดชังอย่างชัดเจน

“ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยช่างยโสโอหังจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้จะไม่ไว้หน้าหุบเขากรุ่นกำยานของเราและดูหมิ่นเหยียดหยามเราครั้งแล้วครั้งเล่า”

ในที่สุดเฝินเมี่ยเทียน—ผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นจนน่าขนลุก แรงกดดันอันทรงพลังจากร่างของเขาแผ่ตรงมาหมายจะกดข่มฉินอวี้โม่ไว้

“ท่านผู้นำหุบเขากรุ่นกำยาน บุตรชายของท่านเคยกล่าวไว้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพ เพราะฉะนั้นข้าก็อาจจะไม่โอหังอย่างที่ท่านกล่าว”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเย็นและไม่สะทกสะท้านต่อแรงกดดันของเฝินเมี่ยเทียนแม้แต่น้อย ด้วยพลังของกายเทพมายาของนาง แม้แต่แรงกดดันจากจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดก็มิอาจกดข่มหรือทำให้นางรู้สึกถูกกดดันได้เลย

เมื่อตระหนักว่าแรงกดดันของตนไม่มีผลต่ออีกฝ่าย เฝินเมี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่าพลังของฉินอวี้โม่อยู่ในขอบเขตเซียนขั้นเก้าเท่านั้น ทว่าการที่แรงกดดันของเขาไม่ส่งผลใด ๆ ต่อนางเช่นนี้ทำให้เขาฉงนสงสัยเป็นที่สุด

อย่างไรก็ตาม หลังจากพิจารณาครู่หนึ่ง เขาก็โล่งใจลงเล็กน้อย เขาเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วว่าฉินอวี้โม่มีอสูรมายาทรงพลังจำนวนมากและอสูรเหล่านั้นอาจเป็นสิ่งที่ช่วยนางต้านทานแรงกดดันครานี้

“ฮ่า ๆ ๆ กล่าวกันว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยมีอสูรมายาทรงพลังอยู่ไม่น้อย เห็นทีคำกล่าวเหล่านั้นจะเป็นเรื่องจริง”

หลังจากถอนแรงกดดันกลับมา เฝินเมี่ยเทียนก็กล่าวขึ้นเบา ๆ และน้ำเสียงแสดงถึงความถากถางอย่างไม่ปกปิด

“การมีอสูรมายาทรงพลังหลายตัวก็ถือว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง เกรงว่าบางคนที่ต้องการครอบครองอสูรที่ทรงพลังเพียงแค่ไม่กี่ตัวก็ยังไม่มีแม้แต่โอกาสนั้น”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นและนางเข้าใจดีว่าเฝินเมี่ยเทียนกำลังกล่าวว่านางพึ่งพาอาศัยพลังของอสูรมายาในการต่อต้านแรงกดดันจากเขา อย่างไรก็ตาม นางไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย

อสูรมายาก็เป็นเครื่องบ่งชี้ความแข็งแกร่งของผู้เป็นนาย การที่ผู้ใดสามารถครอบครองอสูรมายาที่ทรงพลังได้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น

ใบหน้าของเฝินเมี่ยเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อฉินอวี้โม่สาดวาจาโต้กลับอย่างไม่ไว้หน้า

“ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยช่างมีวาจาสำบัดสำนวนจริงเชียว มิอาจทราบได้ว่าเราจะได้เป็นคู่ต่อสู้กันรึไม่ในงานชุมนุมครานี้ หากเราโชคดีพอที่จะได้พบกัน หวังว่าฝีมือในการต่อสู้ของผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยจะได้สักครึ่งหนึ่งของฝีปาก”

หลังจากปรับอารมณ์ของตนเองให้สงบลง เฝินเมี่ยเทียนก็ตัดสินใจที่จะไม่โต้เถียงกับฉินอวี้โม่อีกต่อไป เมื่อชำเลืองมองไปยังหลงจื้อและเซิ่งเซียวบนแท่นสูงก่อนเลื่อนไปยังอู่หลิวเฟิงซึ่งไม่เอ่ยวาจาใด ๆ เฝินเมี่ยเทียนก็เผยรอยยิ้มมั่นใจ เขาเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้วและงานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้จะเป็นจุดจบของฉินอวี้โม่

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าเกรงว่าจะฉีกหน้าผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ท่านก็มีอายุมากแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็คงจะรู้สึกผิดไม่น้อย”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวทิ้งท้ายโดยไม่คิดจะตอบโต้ให้ยืดยาวอีก ต่อให้สาดวาจาต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ การตัดสินแท้จริงขึ้นอยู่กับการประชันฝีมือที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เมื่อถึงตอนนั้น นางจะแสดงให้ทุกคนประจักษ์ว่าผู้ใดคือผู้คว้าชัยที่แท้จริง

ฮั่วชิงซานและฮั่วหลินยิ้มให้กับฉินอวี้โม่เบา ๆ ที่นั่งของพวกเขาอยู่ไกลจากบริเวณของนางและคนอื่น ๆ พอสมควร ทว่าพวกเขาก็ยังต้องการยิ้มทักทาย

ในขณะเดียวกัน อู่ถงและอู่หลิวเฟิงที่นั่งอยู่ถัดจากคนของเรือนเฟิงเสวี่ยเพียงยิ้มอย่างวางท่าและกล่าวทักทาย

“ฮ่า ๆ ๆ ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมานาน โชคดีจริง ๆ ที่ได้พบกันวันนี้”

อู่หลิวเฟิงแสร้งแสดงว่าเพิ่งพบกับฉินอวี้โม่เป็นครั้งแรกและยิ้มทักทายอย่างกระตือรือร้น

“ข้าเองก็ได้ยินมาว่าผู้นำนิกายอู่ซานชื่นชอบกระบี่ดุจดั่งชีวิตและเป็นเซียนกระบี่ฝีมือเยี่ยม หากมีโอกาสหลังจากนี้ หวังว่าข้าจะได้เรียนรู้จากท่าน”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและพยักศีรษะพร้อมกล่าวทักทาย

หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธี เจ้าเมืองฉางอานซึ่งอยู่บนแท่นสูงก็เดินออกมาข้างหน้าและกวาดสายตามองผู้เข้าร่วมทุกคนก่อนกล่าว “บัดนี้ขุมกำลังใหญ่ของดินแดนทางเหนือมากันพร้อมหน้าแล้ว เช่นนั้นก็ได้เวลาเริ่มงานชุมนุมดินแดนเหนืออย่างเป็นทางการ ทว่าก่อนที่จะเริ่มต้น ข้าขอแนะนำกรรมการผู้ตัดสินของงานครานี้เสียก่อน…”

“บุรุษท่านนี้คือผู้อาวุโสใหญ่แห่งนิกายหงส์มังกร—หลงจื้อ เขาเป็นหัวหน้ากรรมการตัดสินในงานชุมนุมดินแดนเหนือประจำปีนี้ของเรา…”

หลังจากกล่าวแนะนำหลงจื้อเป็นคนแรก เจ้าตัวก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ และยิ้มทักทายทุกคน

เมื่อสายตาของเขาบรรจบลงที่ฉินอวี้โม่ หลงจื้อก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายของฉินอวี้โม่มีกลิ่นอายความรู้สึกบางอย่างที่เขาคุ้นเคย ทว่าเขาก็นึกไม่ออกว่าความรู้สึกนั้นมาจากที่ใด

“ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นกรรมการผู้ตัดสินในงานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้ ข้าหวังว่าจะได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของทุกท่านและได้เห็นผู้แกร่งกล้ามากฝีมือของดินแดนทางเหนือนี้”

หลงจื้อกล่าวด้วยวาจาสุภาพก่อนทิ้งตัวนั่งลงโดยไม่เหลือบสายตาไปมองอู่ซิงด้วยซ้ำ

ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและอู่ซิงเต็มไปด้วยความบาดหมางและความเป็นปฏิปักษ์ แน่นอนว่าเขาไม่เห็นอู่ซิงอยู่ในสายตาเลยสักนิด

“ส่วนท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสเซิ่งเซียวจากอารามโชติช่วง…”

อานเหยียนผายมือไปที่เซิ่งเซียวและกล่าวแนะนำพร้อมรอยยิ้ม

เซิ่งเซียวยืนขึ้นและพยักศีรษะทักทายทุกคนด้วยท่าทางสุภาพพร้อมกล่าวอย่างสุภาพน่าฟัง

“ฮ่า ๆ ๆ หลายท่านในที่นี้เป็นผู้ที่อาวุโสกว่าข้า แม้ครานี้ข้าได้รับเกียรติให้มาเป็นกรรมการผู้ตัดสินในงานชุมนุมดินแดนเหนือ ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการได้ออกมาเพื่อเรียนรู้และหาประสบการณ์ใหม่ ๆ หากข้าทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะสมลงไป หวังว่าทุกท่านจะไม่ถือสาและให้อภัยข้า”

ต้องกล่าวเลยว่าเซิ่งเซียวแสดงท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนได้อย่างสมบูรณ์แบบและวาจาของเขาก็รื่นหูน่าฟังสำหรับทุกคนขณะที่สีหน้าของเขาดูเป็นมิตรขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“คนจากอารามโชติช่วงช่างตรงไปตรงมาและอ่อนน้อมจริงเชียว”

ฉินอวี้โม่ได้ยินเสียงชมจากใครผู้หนึ่งข้างหลังของตน ทว่านางเพียงยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน

คนจากอารามโชติช่วงตรงไปตรงมาและอ่อนน้อมงั้นรึ ? นี่เป็นเรื่องตลกที่น่าขันที่สุดที่นางเคยได้ยิน

เซิ่งเซียวยิ้มให้กับทุกคนอีกคราก่อนนั่งลงตามเดิม

จากนั้น อานเหยียนก็ผายมือไปที่อู่ซิงและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “บุรุษท่านนี้ก็คือผู้อาวุโสสามแห่งวิหารทมิฬ—ผู้อาวุโสอู่ซิง”

อู่ซิงยืนขึ้นและยิ้มให้กับทุกคนโดยไม่เอ่ยวาจาแต่อย่างใด

เมื่อสายตาของเขามาบรรจบที่ฉินอวี้โม่ เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาสัมผัสถึงความคุ้นเคยบางอย่างแผ่มาจากผู้นำขุมกำลังลึกลับผู้นี้ ทว่านึกไม่ออกว่าเคยพบจากที่ใด

“พี่อู่ซิง…”

ขณะเขากำลังจะสลัดความคิดนั้นออกไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในความคิดของอู่ซิงและเขาก็ตกตะลึงไปทันที

“ไม่ได้พบกันนานหลายปี ความแข็งแกร่งของท่านพัฒนาขึ้นมากทีเดียว”

อีกประโยคหนึ่งทำให้อู่ซิงมีปฏิกิริยาตอบโต้และสายตาเลื่อนกลับมาในทิศทางของฉินอวี้โม่โดยอัตโนมัติ

แม้ไม่ได้ยินเสียงนี้มานานหลายปี แต่มันก็ยังเป็นเสียงที่คุ้นเคย เขาและคนอื่น ๆ เฝ้ารอคนผู้นี้มาเยือนดินแดนเทพมายานานหลายปี บัดนี้ในที่สุด ‘คนผู้นั้น’ ก็ปรากฏตัวแล้ว

“อู่ซิง มีอะไรรึ ?”

เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของอู่ซิง หลงจื้อก็ขมวดคิ้วมุ่น เขารู้สึกได้ว่าอู่ซิงค้นพบอะไรบางอย่างและสีหน้าบ่งบอกถึงความประหลาดใจอย่างชัดเจน ทว่าเขาไม่มั่นใจนักว่ามองผิดไปหรือไม่

“ไม่มีอะไร ข้าเพียงรู้สึกว่าดินแดนทางเหนือนี้ไม่ได้อ่อนแออย่างที่เคยคิดไว้”

อู่ซิงเรียกสติกลับคืนมาและเข้าใจดีว่าควรทำอย่างไร เขาเพียงเอ่ยตอบและนั่งลงตามเดิมทว่ายังคงสื่อสารกับฉินอวี้โม่ต่อไป