“แม่นางอวี้โม่ ในที่สุดท่านก็มา”
น้ำเสียงของอู่ซิงแสดงถึงความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด พวกเขาเฝ้ารอให้ฉินอวี้โม่เดินทางมาที่ดินแดนเทพมายาแห่งนี้มาเป็นระยะเวลานาน และในที่สุดก็ได้ข่าวคราวของนาง
“ฮ่า ๆ ๆ ข้ามาถึงได้เพียงไม่นาน เป็นเพราะพรมแดนทางเหนืออยู่ไกลจากภูมิภาคกลางของดินแดนเทพมายา ข้าจึงตั้งใจที่จะพัฒนาพลังและขุมกำลังของตัวเองที่นี่ก่อน”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ นางเองก็มีความสุขมากเมื่อพบกับอู่ซิงครานี้ ยิ่งไปกว่านั้น การได้พบกับเขาหมายความว่านางสามารถสืบถามข่าวคราวเกี่ยวกับมู่อวิ๋นและญาติสนิทมิตรสหายของตน แล้วนางจะไม่มีความสุขได้อย่างไร ?
“พี่อู่ซิง สหายทั้งหลายของข้า พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามในสิ่งที่กังวลใจมากที่สุดออกไป ในงานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้ นางไม่มีเวลากล่าวสิ่งใดให้มากความ เพราะเหตุนั้นนางจึงได้เพียงถามในสิ่งที่อยากทราบมากที่สุดก่อนและเรื่องอื่น ๆ ที่เหลือนั้นสามารถรอจนกระทั่งจบงานและค่อยถามรายละเอียดอย่างครอบคลุมอีกครา
“ไม่ต้องห่วง พวกเขาสบายดี ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้การปกครองของจอมยุทธ์มู่อวิ๋น พวกเขาก็ได้ก่อตั้งขุมกำลังที่สามารถเทียบชั้นกับขุมกำลังของพวกเราได้และเรียกมันว่า ‘นครล่าฝัน’ ข้าเชื่อว่าตราบใดที่ท่านสืบหาข่าว ท่านจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขามาไม่ยาก”
อู่ซิงยิ้มและไม่เอ่ยถามสิ่งใด เขาเพียงเล่าสรุปเหตุการณ์อย่างคร่าว ๆ เกี่ยวกับมู่อวิ๋นและคนอื่น ๆ ที่ติดตามเขามาที่นี่
ฉินอวี้โม่โล่งใจลงเล็กน้อยเมื่อทราบว่าคนอื่น ๆ สบายดีและรอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของนาง
แม้ไม่ได้พบเหล่ามิตรสหายจากดินแดนหวนหลิงมานานหลายปี ทว่าตำแหน่งของพวกเขาในหัวใจของนางก็ยังไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย
“ไว้เราพูดคุยกันอีกคราหลังจากที่จบงานชุมนุมดินแดนเหนือ ข้ามีคำถามมากมายที่ต้องการให้ท่านช่วยตอบ”
ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉินอวี้โม่ต้องการถาม ทว่าตอนนี้งานชุมนุมดินแดนเหนือเริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว นางจึงไม่มีเวลาถามสิ่งใดและได้เพียงนัดแนะกับเขาเช่นนี้ก่อน
“เข้าใจแล้ว ข้าจะรอพบท่านหลังจากที่จบงานชุมนุมดินแดนเหนือนี้”
อู่ซิงพยักศีรษะตอบตกลงโดยไม่ลังเล
แม้ว่าหลงจื้อจะฉงนสงสัยเล็กน้อย เขาก็มิอาจรับรู้ถึงการสื่อสารทางกระแสจิตของคนทั้งสองได้ เขาเพียงชำเลืองมองอู่ซิงก่อนเลื่อนสายตาไปยังฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่มิอาจทราบได้ว่ากำลังคิดสิ่งใด
อานเหยียน—เจ้าเมืองฉางอานก็กล่าวอธิบายจุดมุ่งหมายและกฎเกณฑ์ของงานชุมนุมเพื่อชิงความเป็นใหญ่ของดินแดนทางเหนืออย่างรวดเร็วขณะกวาดสายตามองผู้เข้าร่วมทุกคนด้วยความตื่นเต้น
หากทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้ งานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้จะนำไปสู่การผลึกกำลังของดินแดนทางเหนือได้อย่างสมบูรณ์และมันถือเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง ด้วยผู้ปกครองที่ทรงพลัง ความแข็งแกร่งของดินแดนทางเหนือจะพัฒนาขึ้นมากและเกียรติยศของพวกเขาจะรุ่งเรืองมากกว่าก่อนอย่างแน่นอน อีกทั้งพวกเขาจะแกร่งกล้าพอที่จะประจันหน้ากับขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายาได้
“เจ้าเมืองอาน จากที่ท่านกล่าวมา นั่นก็คืองานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้จะใช้วิธีการเสนอรายชื่อและตัดสินตามเสียงข้างมาก อย่างไรก็ตาม หากไม่มีเกียรติยศชื่อเสียงและความแข็งแกร่ง เกรงว่าคงยากที่จะโน้มน้าวใจผู้คนได้”
หลังจากฟังรายละเอียดจากเจ้าเมืองอานเหยียน เฝินเมี่ยเทียนก็กล่าวความคิดของตน
เมื่อครู่นี้อานเหยียนกล่าวว่างานชุมนุมดินแดนทางเหนือในครานี้จะไม่มีการปะทะหรือสงครามการต่อสู้ขนาดใหญ่ ทว่าเลือกใช้วิธีการเสนอรายชื่อและตัดสินตามเสียงข้างมาก
แน่นอนว่าเฝินเมี่ยเทียนก็ตระหนักได้ว่าตัวแทนจากขุมกำลังในภูมิภาคกลางกำลังจับจ้องพวกเขาอยู่ หากเริ่มทำสงครามการต่อสู้อย่างวู่วาม มันมีแต่จะส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งโดยรวมของดินแดนทางเหนือและนั่นมิใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก เพราะฉะนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว วิธีนี้ถือว่าดีกว่ามาก
เพียงแต่หุบเขากรุ่นกำยานมีชื่อเสียงที่เสื่อมเสียมาเสมอและเฝินเมี่ยเทียนตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าเรือนเฟิงเสวี่ยและนิกายเพลิงแดงเดือดร่วมมือกันแล้ว แม้เขาเคยเข้าไปเจรจากับนิกายอู่ซานมาก่อน อู่หลิวเฟิง—ผู้นำนิกายอู่ซานก็เงียบหายไปไม่ตอบกลับและดูจะไม่ความสนใจที่จะร่วมมือกับเขาอย่างจริงจัง เพราะเหตุนั้น วิธีการเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อหุบเขากรุ่นกำยานของเขาอย่างหนักและทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ
“ฮ่า ๆ ๆ สิ่งที่ท่านผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานกล่าวมาก็สมเหตุสมผล สำหรับผู้ที่จะเป็นผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือ แน่นอนว่าเราต้องการผู้ที่มีพลังแกร่งกล้าควบคู่กับเกียรติยศและทักษะเชิงกลยุทธ์ที่เหนือชั้น ฉะนั้นหากทุกท่านเสนอกันอย่างจริงใจ ข้าเชื่อว่าเราจะสามารถเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุดได้”
อานเหยียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มสุขุมนุ่มลึก แม้ว่าเขาจะเป็นถึงเจ้าเมืองฉางอานซึ่งถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนทางเหนือ เขาก็ไม่คิดที่จะตั้งตนเป็นผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือแห่งนี้ แม้ไม่กล่าวถึงทั้งสามขุมกำลังใหญ่และขุมกำลังกำเนิดใหม่อย่างเรือนเฟิงเสวี่ย ขุมกำลังเล็ก ๆ ทั้งหลายของดินแดนทางเหนือก็ไม่ได้อ่อนแอเลย
ต่อให้เขาเลือกที่จะเป็นผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือ การพยายามโน้มน้าวใจทุกคนก็มิใช่เรื่องง่าย
แทนที่จะเป็นผู้นำของขุมกำลังขนาดใหญ่เช่นนั้น อานเหยียนต้องการเป็นเพียงเจ้าเมืองฉางอานซึ่งไม่ต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบมากมายเพียงนั้น อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ผู้ถูกเลือกทุ่มเทและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาดินแดนทางเหนืออย่างจริงจัง เขาก็จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เช่นกัน
“เจ้าเมืองอานพูดถูก ตราบใดที่ทุกคนเสนอรายชื่อด้วยความจริงใจ ผู้ที่ถูกเลือกจะเป็นคนที่เหมาะสมอย่างแน่นอน”
ผู้นำของขุมกำลังหนึ่งที่อ่อนแอกว่าสามขุมกำลังและเรือนเฟิงเสวี่ยกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าขอเสนอผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย แม้ว่าเรือนเฟิงเสวี่ยจะเป็นขุมกำลังใหม่ในดินแดนทางเหนือ ทว่าความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของผู้นำขุมกำลังก็ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งนางก็ยังเป็นถึงช่างหลอมระดับสูง ข้าเชื่อว่าหากอยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย การพัฒนาของดินแดนทางเหนือของเราจะดำเนินไปด้วยดีอย่างแน่นอน”
คนผู้หนึ่งเสนอชื่อฉินอวี้โม่อย่างไม่ลังเล เห็นได้ชัดว่าเขาคาดหวังไว้ว่าฉินอวี้โม่จะได้เป็นผู้นำของดินแดนทางเหนือ
อย่างไรก็ตาม เขาก็มีแนวความคิดของตนเองเช่นกัน
สามขุมกำลังใหญ่ยืนหยัดในดินแดนทางเหนือมาอย่างมั่นคงโดยตลอด หากหนึ่งในนั้นได้กลายเป็นผู้ปกครองของดินแดนเหนือ ไม่เพียงแต่อีกสองขุมกำลังจะไม่พอใจเท่านั้น ทว่ามันจะก่อให้เกิดความขัดแย้งและเป็นอุปสรรคในการพัฒนาของดินแดนทางเหนือได้
แม้ว่าเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นขุมกำลังที่เพิ่งถือกำเนิดได้เพียงไม่นาน ทว่าด้วยพรสวรรค์และลักษณะนิสัยของฉินอวี้โม่ ทุกคนในดินแดนทางเหนือต่างก็ยอมรับในตัวนาง
กอปรกับการได้พบแม้เพียงแวบเดียวในโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้ ความงามของฉินอวี้โม่ก็ดึงดูดใจและโน้มน้าวผู้คนได้มากทีเดียว
เมื่อเปรียบเทียบกัน พวกเขาต้องการให้ฉินอวี้โม่เป็นผู้นำดินแดนทางเหนือมากกว่า และด้วยผู้นำที่งดงามชวนมองเช่นนี้ ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
“พวกเราเห็นด้วย”
ทันทีที่สิ้นเสียงของคนผู้นั้น หลายคนจากขุมกำลังอื่น ๆ ก็กล่าวแสดงความเห็นด้วยเช่นกัน
“เหอะ เรือนเฟิงเสวี่ยเป็นเพียงขุมกำลังใหม่ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นไม่นาน ผู้นำของพวกเขายังเยาว์วัยนัก เกรงว่าคงยากที่นางจะโน้มน้าวใจผู้คนได้ ยิ่งไปกว่านั้น พลังในปัจจุบันของผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยก็อยู่เพียงขอบเขตเซียนขั้นเก้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้นำหุบเขากรุ่นกำยาน ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดและผู้นำนิกายอู่ซาน หรือแม้กระทั่งผู้น้อยหลายคนก็ยังมีพลังที่เหนือกว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยด้วยซ้ำ หากผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยได้เป็นผู้ปกครองดินแดนเหนือของเรา เมื่อถึงคราวคับขันหรือเกิดเรื่องขึ้นมา เกรงว่าคงยากที่นางจะจัดการอะไรได้”
ใครคนหนึ่งแค่นเสียงอย่างเย็นชาและกล่าวความคิดเห็นของตน เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของหุบเขากรุ่นกำยาน เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่สนับสนุนฉินอวี้โม่
“ในมุมมองของข้า ในฐานะขุมกำลังเก่าแก่ของดินแดนทางเหนือ หุบเขากรุ่นกำยานมีความแข็งแกร่งที่มากกว่าขุมกำลังอื่น ๆ ผู้นำของหุบเขากรุ่นกำยานก็เป็นผู้ที่ได้รับความเคารพจากผู้คนอย่างมากและพลังของเขาก็จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของดินแดนทางเหนือ หากเขากลายเป็นผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือ มันจะไม่เกิดปัญหาใด ๆ ขึ้นอย่างแน่นอน ฉะนั้นข้าจึงขอเสนอชื่อและสนับสนุนผู้นำหุบเขากรุ่นกำยาน”
เมื่อได้ยินวาจาของคนผู้นั้นที่กล่าวว่าผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานได้รับความเคารพอย่างสูง ทุกคนก็อดหัวเราะเบา ๆ ออกมาไม่ได้
“นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดที่ข้าเคยได้ยิน ทุกคนทราบดีว่าผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานเป็นคนอย่างไร การที่กล่าวว่าเขาได้รับความเคารพจากผู้คนเช่นนี้ เจ้าถูกตีหัวจนสติฟั่นเฟือนหรืออย่างไรกัน ?”
ใครคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงถากถางอย่างชัดเจน ชื่อเสียงของหุบเขากรุ่นกำยานนั้นดังกระฉ่อนไปทั่วและผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานก็ขึ้นเชื่อในด้านที่ไม่ดีนัก การที่มีคนกล่าวว่าเขาเป็นที่เคารพถือเป็นเรื่องตลกจนหลายคนแทบหัวเราะพรืดออกมา
คนอื่น ๆ ก็กล่าวแสดงความเห็นตามกันซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้หุบเขากรุ่นกำยานไม่ได้เป็นที่เคารพนับถือในดินแดนทางเหนือแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินวาจาของฝูงชน อานเหยียนก็ชำเลืองมองทั้งสามขุมกำลังใหญ่และเรือนเฟิงเสวี่ยที่ยังไม่เอ่ยปากกล่าวตอบโต้ขณะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่ทราบว่าพวกท่านมีความคิดเห็นกันอย่างไร ?”
หลังจากกวาดสายตามองผู้นำขุมกำลังทั้งสาม สายตาของอานเหยียนก็เลื่อนไปหยุดลงที่ฉินอวี้โม่และมองนางด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าก็สนับสนุนผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยให้เป็นผู้นำของดินแดนทางเหนือเช่นกัน แม้ว่าพลังของผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยในตอนนี้ยังคงอ่อนแออยู่เล็กน้อย ทว่านางก็เยาว์วัยและมีพรสวรรค์ที่เหนือชั้นกว่าทุกคนในที่นี้นับร้อยเท่า ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เราต่างก็ได้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยทำอะไรไปบ้าง หากได้ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นผู้นำสูงสุดของดินแดนทางเหนือ พวกเราจะสนับสนุนอย่างเต็มที่และไม่คัดค้านสิ่งใด”
ฮั่วชิงซานยิ้มและกล่าวด้วยความจริงใจ
แม้ว่าเขาจะได้ปฏิสัมพันธ์กับฉินอวี้โม่เพียงในเวลาสั้น ๆ ทว่ามันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมุมมองทัศนคติที่เขามีต่อนางเลย
เขาเชื่อว่าด้วยการปกครองของฉินอวี้โม่ ดินแดนทางเหนือจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วและทัดเทียมกับขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของภูมิภาคกลางได้อย่างแน่นอน
ไม่น่าเชื่อเลยว่าฮั่วชิงซานจะแสดงทัศนคติออกมาอย่างชัดเจนเช่นนี้ ซึ่งทำให้ทุกคนอดตกตะลึงไม่ได้
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินข่าวมาว่านิกายเพลิงแดงเดือดและเรือนเฟิงเสวี่ยเหมือนจะร่วมมือกันแล้ว ทว่าข้าก็ยังไม่ได้เชื่อตามนั้น เมื่อได้ฟังมุมมองของผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าเขายอมรับและร่วมมือกับเรือนเฟิงเสวี่ยแล้วอย่างแท้จริง”
ใครคนหนึ่งกระซิบกระซาบเบา ๆ สำหรับเรื่องที่นิกายเพลิงแดงเดือดและเรือนเฟิงเสวี่ยร่วมมือกันนั้น พวกเขาต่างก็เคยได้ยินข่าวนี้กันมาแล้ว ทว่าไม่เคยมีข้อพิสูจน์ให้เชื่ออย่างแน่ชัด ครานี้เมื่อได้เห็นทัศนคติที่ชัดเจนของฮั่วชิงซานที่มีต่อฉินอวี้โม่ พวกเขาก็เชื่อมั่นอย่างไร้ข้อกังขา อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของฮั่วชิงซานในตอนนี้ มันก็ไม่เหมือนกับว่านิกายเพลิงแดงเดือดและเรือนเฟิงเสวี่ยจะร่วมมือกันอย่างเท่าเทียม ทว่าเป็นการที่นิกายเพลิงแดงเดือดยอมจำนนต่อเรือนเฟิงเสวี่ยเสียมากกว่า
“มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดยอมจำนนได้ ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น สหายคนหนึ่งของข้าในเรือนเฟิงเสวี่ยกล่าวว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยปฏิบัติต่อพวกเขาทุกคนเป็นอย่างดีจนแทบเหมือนกับสหายที่เท่าเทียมกัน หากมีบุคคลเช่นนี้เป็นผู้นำ มันจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับดินแดนทางเหนือของเราอย่างแน่นอน”
ใครอีกคนกล่าวขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชื่นชม
“ข้าก็ได้ยินว่าเรือนเฟิงเสวี่ยมีระบบรางวัลและการลงโทษที่ชัดเจน ซึ่งรางวัลก็เป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากมาย หากผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นผู้นำของดินแดนทางเหนือ พวกเราที่ไม่เคยได้รับสิ่งตอบแทนเท่าที่ควรก็อาจจะมีโอกาสในการแสดงฝีมือได้”
บุรุษอีกคนกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบกระซาบกันของผู้คนและตระหนักถึงความประทับใจที่พวกเขามีต่อฉินอวี้โม่ ซึ่งโอกาสการคว้าชัยชนะก็ค่อย ๆ เอนเอียงไปทางฉินอวี้โม่อย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของเฝินเมี่ยเทียนก็บูดบึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ สายตาของเขาเลื่อนไปที่อู่หลิวเฟิงโดยอัตโนมัติขณะรอคำตอบของผู้นำนิกายอู่ซาน
.