โม่เทียนเกอรู้ว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับม่านพลังอยู่ตอนนี้ อย่างไรก็ตาม นางไม่สามารถเข้าใจได้ถึงม่านพลังนี้เลย
ในขณะนี้เพราะหลัวเฟิงเสวี่ยและเว่ยจยาซือต้องการพูดกันอย่างส่วนตัว นางทิ้งพวกเขาไว้และเดินออกมาตามทางของตัวเอง นางตั้งใจจะมองหาจุดที่ไม่ใกล้และไม่ไกลที่ซึ่งนางสามารถรอและคอยสังเกตการณ์ได้ในขณะเดียวกัน ทว่าสุดท้ายแล้วนางก็ติดเข้ามาอยู่ในขอบเขตของม่านพลังโดยบังเอิญ
นี่ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือถึงแม้ว่านางจะมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับม่านพลัง นางก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะไม่สามารถรู้ได้ว่านี่คือม่านพลังประเภทไหน ไม่ต้องพูดถึงว่าจะต้องทำลายมันอย่างไรเลย นางเตรียมตัวที่จะเดินย้อนกลับไปหาทั้งสองอย่างหมดหนทาง แต่นางกลับติดเข้ามาด้านในของม่านพลังอย่างไม่คาดคิดและไม่สามารถออกไปได้
ด้านหน้านางเป็นสีขาวไร้ซึ่งจุดหมาย ประหนึ่งว่านางถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอก ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัดเจน หลังจากที่ครุ่นคิด โม่เทียนเกอจึงหยุดเคลื่อนไหว นางนั่งลงและปลดปล่อยจิตสัมผัสของนางแทน
ตั้งแต่ที่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง นางสามารถสำรวจพื้นที่บริเวณรอบๆ ด้วยจิตสัมผัสได้ในระยะหลายพันจั้ง ในเมื่อนี่คือม่านพลัง ระยะขนาดนี้น่าจะเพียงพอที่จะมองหาดวงตาของม่านพลัง
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นางปล่อยจิตสัมผัสเพื่อสำรวจสถานที่ หมอกรอบๆ ตัวนางก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ก่อเกิดเป็นฟองกระจายไปทั่วตั้งใจที่จะปิดกั้นจิตสัมผัสของนางไม่ให้เคลื่อนไหวไปที่ไหนได้
นางลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วแน่น
มีบางสิ่งผิดปกติ ม่านพลังนี้กล้าแข็งเกินไป มันไม่ได้ถูกวางไว้ด้วยสัตว์ปีศาจอย่างแน่นอน เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะมีศิษย์พี่ผู้เชี่ยวชาญซ่อนตัวอยู่ที่นี่
เพียงแค่ความคิดนี้โผล่ขึ้นมาในจิตใจ นางนึกถึงความเป็นไปได้อย่างอื่น นางได้ลองตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดัง “ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง! ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอยู่ที่นี่หรือไม่”
เสียงนางจางหายไปในกลุ่มหมอกหนาแน่น โม่เทียนเกอรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ยินการตอบกลับแต่อย่างใด
ข้าเดาผิดเช่นนั้นหรือ นางครุ่นคิดก่อนที่จะเคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างช้าๆ
โดยไม่คาดคิด หมอกดูเหมือนกับกลุ่มก้อนเมฆ มันช่างหนาจนนางสามารถสัมผัสมันด้วยมือ นางเดินต่อไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าวแต่นางก็รู้สึกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลัง เช่นเดียวกันกับด้านขวาและด้านซ้ายล้วนเหมือนกัน ประสาทสัมผัสในเรื่องเส้นทางของนางไม่ชัดเจน และนางก็ไม่มีเส้นทางที่จะเดินตามไป
ในขณะนั้นก็มีแสงสว่างวาบ โม่เทียนเกอหลบไปด้านข้างก่อนที่สายฟ้าจะผ่าลงไปตรงจุดที่นางเคยยืนอยู่ ทิ้งเอาไว้เป็นรอยไหม้สีดำขนาดใหญ่บนพื้นจากการระเบิด
โม่เทียนเกอตื่นกลัว นางมองไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง กระนั้นก็ไม่สามารถหาร่องรอยแห่งชีวิตใดๆ เจอได้เลย
โดยที่นางไม่รู้ตัว หมอกด้านหลังเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างของมนุษย์ซึ่งเดินมาทางนาง
โม่เทียนเกอสั่นเทาไปทั่วทั้งตัว แต่นางรีบหลบหนีในทันใด ในวินาทีต่อมากระบี่บินได้ก็ปักลงไปบนพื้น
จากเส้นทางที่กระบี่พุ่งออกมา นางหันกลับไปมอง อย่างไรก็ตามหลังจากที่นางทำเช่นนั้นนางก็ต้องพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ “ท่านอารอง!”
ในกลุ่มหมอกห่างจากนางหลายจั้ง ชายชราในชุดคลุมสีดำเครายาวยืนอยู่ ดูเหมือนสภาพของเยี่ยเจียงก่อนที่เขาจะบาดเจ็บ!
แต่เพียงเสี้ยววินาทีโม่เทียนเกอก็ระวังตัวมากกว่าเดิม นางรู้ดีว่าท่านอารองได้ตายไปแล้ว สิ่งที่อยู่ตรงหน้านางไม่ใช่ท่านอารองอย่างแน่นอน หรือว่ากลุ่มหมอกเหล่านี้จะสามารถสร้างรูปร่างออกมาจากจิตใจของนางได้
นางไม่มีเวลาคิดมากนัก เยี่ยเจียงคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของนางยกมือขึ้น แผ่นหยกลอยออกมาจากที่ไหนไม่รู้ได้
เมื่อเห็นแผ่นหยก ทั่วทั้งร่างของโม่เทียนเกอก็เย็นไปด้วยเหงื่อที่ออกท่วม
แผ่นหยกนี้เป็นแผ่นปฐพีหนาทึบของท่านอารอง มันถูกทำให้บริสุทธิ์โดยพ่อของนางหลังจากที่เขาก่อขุมพลังและมันก็มีพลังอย่างมหาศาล น่าเสียดายตอนพวกนางหนีจากเขาอวิ๋นอู้และท่านอารองถูกบังคับให้ต้องสู้ มันได้สลายเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว
นางยิ่งแน่ใจว่านี่เป็นรูปร่างที่สร้างขึ้นจากความคิดของนาง ความจริงที่ว่าม่านพลังนี้สามารถสร้างรูปร่างจากความคิดของนางและสร้างเครื่องมือเวทมนตร์ได้นั้นพิสูจน์ให้รู้ได้ว่าม่านพลังนี้มีพลังมากมายทีเดียว กระบี่บินได้เมื่อครู่นี้เหมือนจะมีพลังแฝงอยู่จริงเช่นกัน!
ถึงแม้ว่าหน้าผากของนางจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ โม่เทียนเกอก็ไม่มีเวลาที่จะเช็ดมัน ด้วยการโบกมือของนาง นางปล่อยกระสวยอัปสราออกไป
ถ้าหุ่นลวงตาของท่านอารองนี้มีพลังเหมือนกับตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่จริง ถ้านางประมาทเพียงแค่เล็กน้อยก็ดูเหมือนว่าจะสามารถฆ่านางได้ในทันที
แผ่นหยกลอยอยู่ในอากาศ สีหน้าเยี่ยเจียงไร้ซึ่งความรู้สึก เขากุมมือในท่ามุทราในขณะที่ร่ายเวทคาถา สอดแทรกพลังวิญญาณไปที่แผ่นหยกส่งผลให้มันขยายขนาดจนเทียบเท่ากับแผ่นเสื่อขนาดใหญ่
โม่เทียนเกอรู้ถึงจุดอ่อนของแผ่นหยกปฐพีหนาทึบ มันเรียกว่าแผ่นหยกปฐพีหนาทึบดังนั้นโดยธรรมชาติของมันแล้ว มันมีคุณสมบัติของดินผสมอยู่ ชั้นของผืนดินจะต้องทำให้หนา หากนางรอจนเขาแทรกพลังวิญญาณเข้าไปในแผ่นหยกจนเสร็จสิ้น แผ่นหยกจะต้องจู่โจมนางและจะต้องทำให้นางทรมานแสนสาหัสอย่างแน่นอน ในเมื่อสิ่งนี้จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อสะสมพลัง ถ้านางใช้ช่วงจังหวะอันตรายจู่โจมก่อน นางก็อาจจะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของมันไปได้ ดังนั้นกระสวยอัปสราของนางจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นกรงทองที่ลอยพุ่งตรงเข้าหาหุ่นเชิดนั้น
“อ๊า!” หุ่นลวงตาร้องออกมาเมื่อถูกกรงทองหุ้มไว้ เมื่อนางเห็นท่าทางหุ่นอารองเจ็บปวดทรมาน มือของโม่เทียนเกอสั่นโดยที่ไม่รู้ตัว
การโจมตีนี้ทำให้นางรู้ว่าถึงแม้ว่าหุ่นลวงตาจะไม่ได้มีการตอบสนองที่ความรวดเร็วเหมือนคน แต่ก็ดูคล้ายท่านอารองจริงๆ นางรู้ว่าเขาเป็นสิ่งจำลองของท่านอารอง ทว่าเขาก็ดูเหมือนจริงเกินไปจนนางก็ไม่กล้าโจมตี
แววตาที่มุ่งร้ายฉายออกมาที่หุ่นลวงตาทันใด เขาเปลี่ยนท่าทางของมือและแผ่นปฐพีหนาทึบที่ขยายใหญ่ยิ่งขึ้นก็พุ่งตรงหานางในทันที
โม่เทียนเกอหลบหลีก ทันใดนั้นด้วยระยะห่างหลายจั้งนางประกบมือเข้าหากัน เสียงกรีดร้องได้ยินไปทั่ว เข็มทองคำของนางพุ่งไปที่เป้าหมาย ท่านอารองตรงหน้านางค่อยๆ เลือนหายไป ทีละเล็กทีละน้อยรอยแตกปรากฏให้เห็นที่แผ่นปฐพีหนาทึบจนในที่สุดก็แตกและสลายหายไปในอากาศที่เบาบาง
นางปาดเหงื่อบนหน้าผากในขณะที่สงบจิตใจ ในที่สุดของปลอมก็เป็นของปลอม ท่านอารองจะไม่มีทางมองนางด้วยสายตาแบบนั้นและที่สำคัญที่สุดจะไม่มีวันทำร้ายนาง
นางหันหลังกลับและเดินไปไม่กี่ก้าวเมื่อนางต้องตกตะลึงอีกครั้ง
ชายคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากนาง ชายผู้นั้นหล่อเหล่าแต่ดูเย็นชาและขึงขัง นั่นคือรูปลักษณ์ของฉินซี!
ในเสี้ยววินาที โม่เทียนปล่อยกระสวยอัปสราของนางออกมา ไม่เหมือนกับหุ่นลวงตาท่านอารอง หุ่นฉินซีนี้ไม่ตอบโต้เลยและดูไม่มีทีท่าว่าจะโจมตีนางด้วย เขาเพียงแค่ยกมือขึ้น ทำให้เข็มทองคำมาบรรจบรวมกันเป็นรูปร่างของกระสวยอัปสราก่อนหน้าพร้อมตกลงไปอยู่บนมือของเขา
โม่เทียนเกอตะลึงงัน ตั้งแต่ที่นางได้มันมานางได้เรียนรู้เกี่ยวกับพลังของมัน มันสามารถกระจายและกลายเป็นม่านพลัง มันสามารถรวมตัวกันและกลายเป็นเข็ม มันมีลักษณะแบบนามธรรมแต่ไม่มีรูปร่างตัวตน มันสามารถฆ่าคนได้โดยที่มองไม่เห็น อีกอย่างนางสามารถควบคุมม่านพลังที่ใช้สั่งการได้อย่างสมบูรณ์และใช้เวลามากในการทำให้มันบริสุทธิ์อีกครั้ง แล้วคนอื่นจะขโมยมันไปง่ายๆ ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงความคิดชั่วครู่ที่โผล่เข้ามาในหัวนาง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ นางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเอกภพเพื่อหาบางสิ่งบางอย่าง ครู่ต่อมานางก็หยิบกระบี่บินได้และมีดบินได้เล็กๆ ออกมา
มีดบินได้เหล่านี้คือฟันของจระเข้เขี้ยวเหล็ก หลังจากที่นางสร้างฐานแห่งพลังเสร็จ นางก็นำฟันไปที่ร้านขัดเกลาเครื่องมือของโรงเรียนเสวียนชิงและขอให้ช่วยขัดเกลามันให้กลายเป็นเครื่องมือเวทมนตร์ มันอาจจะไม่ได้มีพลังมากนักแต่มันมีประโยชน์สำหรับการลอบโจมตี
กระบี่บินได้ของนางตรงเข้าสู่ส่วนหัวของคู่ต่อสู้ในขณะที่มีดบินได้พยายามที่จะซุ่มโจมตีจากทางด้านหลัง แทนที่จะใช้กระสวยอัปสราในมือของเขา ฉินซีหยิบกระบี่ออกมา มันคือกระบี่ที่มีพลังน่าเกรงขามเล่มเดียวกันกับที่โม่เทียนเกอเคยเห็น ใบมีดของกระบี่นั้นเป็นสีทองและห่อหุ้มด้วยไฟอันร้อนแรง
เขาเพียงแค่แกว่งเบาๆ แต่กระบี่บินได้ของนางก็ถูกกระแทกจนหล่นลงสู่พื้นในทันที เขายกมันขึ้นและมีดบินได้ของนางก็ถูกพัดกระเด็นไป
โม่เทียนเกอตกตะลึง นางยังคงมีเครื่องมือเวทมนตร์อย่างอื่นแต่ไม่มีชิ้นไหนเลยที่ได้ทำการขัดเกลามา ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหาเครื่องรางป้องกันที่หลากหลายและติดมันไว้บนตัวของนาง นางยังคงหยิบเครื่องรางแห่งลมและโยนออกไปด้านหน้าเช่นกัน
เมื่อนางจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น กระบี่ของฉินซีก็ได้เข้ามาถึงตัวนางแล้ว อย่างไรก็ตาม ภายในชั่วพริบตากระบี่นั้นได้แยกออกเป็นสองเล่ม และแยกอีกเท่าตัวเป็นสี่เล่ม สี่เป็นแปด และโจมตีนางจากทุกทิศทางในเวลาเดียวกัน
นางช้าเกินไป โม่เทียนเกอได้เพียงแต่มองอย่างสิ้นหวังเมื่อกระบี่เหล่านั้นได้แทงเข้ามาที่ร่างของนาง
แต่นางกลับไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด ในทางกลับกันร่างกายของนางเบาหวิว พลังของกระบี่นั้นสลายหายไปในพริบตา หุ่นลวงตาของฉินซีที่อยู่ตรงหน้านางค่อยๆ เลือนหายไป สุดท้ายแล้วกระสวยอัปสราของนางก็ตกลงที่พื้น
ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะตัวสั่นเทา หลังจากที่ครุ่นคิดครู่หนึ่งนางก็เข้าใจได้ในที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น คนเหล่านั้นเป็นของปลอมและสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวนางก็เป็นของปลอม ดังนั้นการโจมตีก็จะต้องเป็นของปลอมด้วยเช่นกัน ม่านพลังนี้จะขึ้นอยู่กับความผันผวนของพลังวิญญาณเพื่อสร้างให้คนเห็นภาพหลอน
ตอนนี้เมื่อนางเข้าใจแล้ว นางเรียกของทุกอย่างกลับคืน รวมถึงกระบี่บินได้และกระสวยอัปสราของนางด้วย นางนั่งขัดสมาธิและเริ่มฟื้นคืนพลังวิญญาณของตัวเองอย่างช้าๆ
ในขณะนี้ อีกรูปร่างหนึ่งปรากฏออกมาอยู่ทางด้านหน้าของนาง มันเป็นรูปร่างของคนที่ตายไปแล้ว สวีจิ้งจือ!
สวีจิ้งจือถูกฆ่าตายไปตอนทดสอบเพื่อครอบครองยาสร้างฐานแห่งพลัง หลังจากงานนั้นโม่เทียนเกอได้พบเจอปัญหาที่หลากหลาย ดังนั้นนางจึงยังไม่เคยได้ระลึกถึงเขา เมื่อเห็นเขาตอนนี้ทำให้หัวใจของนางรู้สึกกระวนกระวายอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่วินาทีถัดมานางสงบจิตลง หลับตาและตั้งสมาธิในการปรับลมหายใจ โดยไม่คำนึงถึงเครื่องรางที่สวีจิ้งจือโยนหานาง นางยังคงนั่งนิ่ง นางอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว การโจมตีของสวีจิ้งจือผู้ซึ่งอยู่ในดินแดนหลอมรวมพลังวิญญาณนั้นยิ่งกว่าอ่อนเสียอีก
เมื่อเครื่องรางสัมผัสที่ตัวของนาง มันก็สั่นและหายไปพร้อมกันกับสวีจิ้งจือ
หลังจากนั้นก็ มู่หรงเยียน ศิษย์พี่โจว หลัวเฟิงเสวี่ย และคนอื่นๆ ปรากฏตัวขึ้นต่อๆ มา ในเมื่อโม่เทียนเกอได้รับรู้ถึงเล่ห์กลของม่านพลังแล้ว นางจึงแสร้งทำเป็นเหมือนไม่เห็นและทำสมาธิต่อไปอย่างเงียบๆ
ครั้นนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพเบื้องหน้านางก็กลับไม่ใช่กลุ่มหมอกและก้อนเมฆหนาแล้ว หากแต่เป็นทะเลทรายกว้างพร้อมด้วยแสงแดดแผดเผาอยู่บนท้องฟ้า
โม่เทียนเกอครุ่นคิดหลังจากนั้นจึงยืนขึ้นและมองไปรอบๆ
ทรายสีเหลืองทอดยาวไร้จุดสิ้นสุด พระอาทิตย์ขึ้นสูงในท้องฟ้า ลมที่พัดอย่างรุนแรง… สถานที่นี้ดูคล้ายกับทะเลทรายทางทิศตะวันตกของขั้วแห่งท้องฟ้า
นางปล่อยจิตสัมผัสของนางอีกครั้ง กระนั้นก็ตามครั้งนี้นางพบว่าไม่มีสิ่งใดกีดขวางมัน
โม่เทียนเกอประหลาดใจปนตื่นเต้น นางรีบหลับตาและมุ่งมั่นในการสำรวจรอบๆ ตัวนางด้วยจิตสัมผัส
หลังจากนั้นไม่นานรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้านาง ดวงตาของม่านพลัง! นางพบดวงตาของม่านพลังแล้ว!
หลังจากที่กำหนดจุดดวงตาแห่งม่านพลังเรียบร้อยแล้ว โม่เทียนเกอจึงลืมตาและมุ่งตรงไปยังเส้นทางที่นางต้องเข้าไป
จากจิตสัมผัสของนาง ดวงตาของม่านพลังอยู่ห่างออกไปราวๆ ร้อยจั้ง ด้วยระยะทางขนาดนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผล ถ้านางสามารถทำลายมันลงได้ นางก็จะสามารถออกไปจากการติดกับนี้
ทรายสีเหลืองใต้เท้าของนางอ่อนยวบ เมื่อนางเหยียบลงไปก็จมลงไปจนถึงเข่าของนาง ประดุจการเดินบนหิมะ ทุกก้าวย่างนั้นช่างท้าทาย นางพยายามที่จะลอยตัวแต่นางก็รับรู้ว่าไม่สามารถลอยตัวได้ในสถานที่แห่งนี้ นางทำได้เพียงกล้ำกลืนความขุ่นเคืองและมุ่งหน้าต่อไป ทีละก้าวๆ
ลมพัดทรายปลิวไปทั่วอย่างแรงและต่อเนื่องด้วยเสียง “วิ้ววว” พัดกระแทกใบหน้านางอย่างหนักจนนางรู้สึกเจ็บปวดมาก
ในขณะที่พระอาทิตย์ก็สาดส่องร้อนแรงจนนางรู้สึกเหมือนกับถูกย่างทั้งเป็น
ในขณะที่นางสัมผัสกับประสบการณ์นี้ โม่เทียนเกอสะดุ้งขึ้นมาทันที นางเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ดังนั้นนางก็ไม่น่าที่จะได้รับผลกระทบใดๆ จากความร้อนและความเย็น ทำไมนางถึงรู้สึกทนไม่ได้ภายใต้แสงอาทิตย์แผดเผาและทำไมนางถึงรู้สึกเจ็บปวดเมื่อลมพัดทรายใส่?
เมื่อนึกได้ถึงเรื่องนี้ นางพยายามที่จะให้พลังวิญญาณภายในร่างกายของนางสร้างกำแพงป้องกันออกมา อย่างไรก็ตามนางก็ต้องมึนงง ร่างกายของนางนั้นว่างเปล่าไม่ว่าจะเป็นตานเถียนหรือเส้นลมปราณของนาง มันไม่มีพลังวิญญาณเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย!
โม่เทียนเกอยืนนิ่งเป็นเวลานานขณะที่เหงื่อไหลย้อยทั่วใบหน้า ม่านพลังนี้ได้เปลี่ยนนางให้กลายเป็นมนุษย์! นางเช็ดเหงื่อบนหน้าออกและหยิบกระเป๋าเอกภพของนางออกมา… ช่างไร้ประโยชน์! พลังวิญญาณถึงแม้ว่าจะเพียงน้อยนิด นางก็ต้องใช้มันในการเปิดกระเป๋าเอกภพ ตอนนี้นางไม่มีแม้กระทั่งเศษเสี้ยวของพลังวิญญาณเหลืออยู่เลย!
ในเมื่อนางไม่สามารถเปิดกระเป๋าเอกภพได้ นางก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว อีกอย่างหากขาดซึ่งพลังวิญญาณนางก็ไม่สามารถเสกเวทใดๆ ได้ สิ่งเดียวที่นางใช้ได้ในตอนนี้คือจิตสัมผัสของนาง แต่ก็เหมือนกัน วิชาหลอมจิตวิญญาณของนางไม่สามารถสร้างพลังได้และมันก็เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์จริงๆ
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางสงบจิตใจลงและมุ่งหน้าต่อไปยังดวงตาของม่านพลัง ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ถ้านางสามารถหาจุดนั้นได้ สถานการณ์ของนางจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน
หลังจากที่ยอมรับต่อโชคชะตาและเดินไปช่วงเวลาหนึ่ง โม่เทียนเกอก็หันกลับไปมองยังเส้นทางที่นางเดินมา ลมได้พัดทรายให้ค่อยๆ กลบรอยเท้าของนาง นางจึงหลับตาเพื่อตรวจสอบถึงตำแหน่งของตัวเอง หลังจากที่นางทำ นางก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง ระยะทางของนางระหว่างดวงตาของม่านพลังไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย!
นางรีบคิด หรือนางจะไม่ได้ก้าวออกจากจุดเดิมที่ยืนอยู่เลย รอยเท้านางเป็นของจริงนี่ เช่นนั้นตำแหน่งของดวงตาเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้นหรือ
เมื่อความคิดเช่นนี้เข้ามาในหัวนาง นางหน้าซีดลงอย่างช่วยไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว นางก๋ไม่มีความสามารถใดๆ เลยในการที่จะต่อกรด้วย!
ใจเย็น! ใจเย็น! โม่เทียนเกอพูดพึมพำภายในใจ นางข่มความโกรธลงและเริ่มคิด
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าม่านพลังนี้คือม่านพลังมายา แต่ความจริงในตอนนี้คือนางไม่มีพลังวิญญาณเหลืออยู่ แล้วนางจะทำลายม่านพลังนี้ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะไม่มีสิ่งที่มุ่งร้ายรอบๆ ตัวนาง แต่ความร้อนแรงของพระอาทิตย์ ทะเลทรายสีเหลือง และลมล้วนเป็นอุปสรรค ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการทำให้คนติดกับหรือทดสอบความตั้งใจของคน…
ท้ายที่สุดนางก็กัดฟันมุ่งหน้าต่อไป หากนางอยู่นิ่งเฉย ก็จะถูกกลืนกินด้วยความรู้สึกติดกับ ถ้านางเคลื่อนที่นางยังอาจจะมีโอกาสอยู่รอด!
นางเคลื่อนที่ต่อไปเรื่อยๆ ทีละก้าวๆ นางไม่รู้ได้เลยว่าเดินมานานแค่ไหนแล้วจนนางค่อยๆ สัมผัสได้ว่าภาพเบื้องหน้าค่อยๆ เลือนราง แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่โม่เทียนเกอก็ยังคงกัดฟันและพยายามไปต่อ
มือของนางเจ็บจนทนแทบไม่ไหวและนางก็แทบจะไม่สามารถยกเท้าขึ้นมาได้อีกแล้ว ลมพัดโหมกระหน่ำรุนแรงมากกว่าเดิม พระอาทิตย์ก็ฉายแสงร้อนแรงมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดนางก็ได้สูญเสียพลังเฮือกสุดท้ายของนางไปก่อนจะหมดสติล้มอยู่ตรงนั้น
เป็นเวลานานหลังจากนั้น มีช่องว่างเกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหมือนกับว่าจะแยกมันออกจากกัน ชายในชุดนักพรตเต๋าลอยผ่านช่องว่างและบ่นพึมพำเบาๆ “เด็กคนนี้ไม่เลวเลย นางเพียรพยายามอย่างยาวนาน อาหลิงด้วยความเคารพต่อเจ้า ข้าจะไม่ทำให้นางต้องลำบาก…”