ตอนที่ 112 บรรพบุรุษอีกท่าน

ลำนำสตรียอดเซียน

โม่เทียนเกออยู่ท่ามกลางความมืดมิด จิตวิญญาณเริ่มต้นของนางหยุดนิ่งอยู่ในทะเลแห่งความรู้ภายในตานเถียนของนาง ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น นางได้ยินเสียงคนสองคน 

 

 

“อาหลิง เด็กคนนี้มีรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดของเจ้าจริงๆ งั้นรึ” เสียงนี้เป็นเสียงของผู้ชาย สุ้มเสียงทุ้มต่ำ ฟังชัดเจน และเสนาะหู ฟังจากเสียงน่าจะไม่ได้แก่ชรามากนัก 

 

 

“เจ้าก็เห็นเองไม่ใช่รึ ทำไมจะต้องมาถามข้าอีก” เสียงนี้ค่อนข้างชัดเจนกว่าและคมกว่าเล็กน้อย นี่อาจจะเป็นชายที่อายุน้อยกว่าคนก่อนหน้านี้ เขาฟังดูค่อนข้างหงุดหงิด 

 

 

เมื่อได้ยินคำตอบของเขา ชายคนแรกกล่าวว่า “ข้าก็แค่ถามดู…”  

 

 

ชายคนที่ถูกเรียกว่า “อาหลิง” ส่งเสียงฮึ่ม ในไม่ช้าโม่เทียนเกอก็รู้สึกถึงสายใยของพลังที่น่าเกรงขามพุ่งเข้าสู่เส้นลมปราณของนาง 

 

 

นางอดร้องครวญครางไม่ได้ มิใช่เพราะนางรู้สึกเจ็บทว่าเป็นเพราะนางรู้สึกชาต่างหาก พลังนั้นมีกำลังมาก ขณะที่มันพุ่งเข้าสู่เส้นลมปราณของนาง นางรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมเส้นลมปราณของนางได้ กระนั้นก็ตาม พลังนั้นก็มีความอบอุ่นมากเช่นกันซึ่งทำให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกสบาย 

 

 

“รากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด ร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ อนิจจา… ข้าไม่อาจรู้ได้เลยว่านางโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่” อาหลิงพึมพำเบาๆ  

 

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าโชคดีหรือโชคร้าย” ชายคนแรกถามอย่างสงสัย 

 

 

อาหลิงตอบว่า “ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้เกี่ยวกับวิธีการฝึกตนที่ใช้โดยคนที่มีรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดอยู่แล้ว มีสองคำที่สำคัญนั่นคือความสมดุลและความอมตะ ร่างกายถูกมองว่าเป็นเสมือนจักรวาลที่ธาตุทั้งห้าหมุนเวียนกันและหยินหยางสมดุลกันในวงโคจรที่ไม่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ พวกเขามีแค่หยินในร่างกาย ไร้ซึ่งหยาง เป็นตัวอย่างของหลักการที่ว่า ‘พลังหยินเพียงอย่างเดียวเติบโตไม่ได้ และพลังหยางเพียงอย่างเดียวมีชีวิตอยู่ไม่ได้!’  

 

 

“เช่นนั้นก็หมายความว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดของเด็กน้อยคนนี้ไร้ค่าอย่างนั้นหรือ”  

 

 

“ไม่เชิง ร่างกายที่มีหยินบริสุทธิ์ถูกแบ่งออกเป็นห้าธาตุ นางสามารถจดจ่ออยู่กับการฝึกตนได้จนกระทั่งนางทำให้ธาตุทั้งห้าของหยินบริสุทธิ์ของนางสมดุลได้สำเร็จก่อน และค่อยกังวลเกี่ยวกับเรื่องอื่นทีหลัง”  

 

 

“โอ้ เจ้าอยากจะส่งต่อศาสตร์แห่งต้นกำเนิดให้กับนางงั้นหรือ”  

 

 

“ในเมื่อนางเป็นผู้สืบสกุลของข้า โดยปกติแล้วข้าควรจะดูแลเอาใจใส่นางมากอีกสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดของข้าด้วย แล้วข้าจะเมินเฉยนางได้อย่างไร”  

 

 

“ฮ่า! ข้าเกรงว่าเหตุผลที่แท้จริงคือแม่นางเหยาชิงผู้ทรงเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้ของเจ้าต่างหาก หรือไม่ใช่”  

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดจัดจ้านเช่นนั้น อาหลิงก็รู้สึกโกรธเคืองขึ้นมาในทันใด “ไม่ว่าจะดีหรือร้าย นางก็ได้ให้ผู้สืบสกุลกับข้ามา เจ้ามอบลูกให้ข้าได้หรือไม่ล่ะ! หากเจ้าให้กำเนิดลูกข้าได้ ข้าจะโยนเด็กคนนี้ทิ้งไปเสียเดี๋ยวนี้!”  

 

 

“เอ้~” ชายคนนั้นยอมแพ้ “ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น อย่าโกรธไปหน่อยเลย…”  

 

 

“ฮึ่ม!”  

 

 

ทั้งสองคนเงียบไป หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง อาหลิงพูดขึ้นมา “พื้นฐานของนางในศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ค่อนข้างแข็งแกร่ง คงจะน่าเสียดายที่จะเลิกใช้มัน ต่อให้ข้าส่งต่อบันทึกไทหยวนของข้าให้นางตอนนี้ ข้าคิดว่าการเข้าถึงสภาวะการฝึกตนในอุดมคติสำเร็จก็ยังยากสำหรับนางอยู่ดี… อนิจจา ถ้านางสามารถฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับชายที่มีร่างกายแห่งพลังหยางบริสุทธิ์ บางทีนางอาจจะสามารถสร้างความสมดุลเทียมระหว่างหยินและหยางของนางได้…”  

 

 

ทันทีหลังจากที่อาหลิงพูดเช่นนั้น ชายอีกคนรีบพูดว่า “อย่ามองข้า ในตอนนั้นแม้แต่แม่นางเหยาชิงของเจ้าก็ยังไม่เข้าตาข้าเลย ไม่ต้องพูดถึงแม่หนูน้อยผู้ไร้เดียงสาคนนี้เลย! อีกอย่างนะ เด็กคนนี้เป็นผู้สืบสกุลของเจ้า… มันผิดหลักศีลธรรมเกินไป!”  

 

 

อาหลิงโมโหขึ้นมาอีกครั้ง เขาพูดว่า “ไปไกลๆ เลยไป! เจ้าคิดว่าบนโลกนี้ไม่มีคนอื่นที่มีร่างกายแห่งพลังหยางบริสุทธิ์นอกเหนือจากเจ้าแล้วอย่างนั้นรึไง! ในสมองเจ้ามีเรื่องโสมมอะไรอยู่บ้าง!”  

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีเสียงดังเกิดขึ้นที่ฟังดูเหมือนเสียงภูเขากำลังแตกออกจากกัน โม่เทียนเกออยากจะตื่นขึ้นมา แต่จิตวิญญาณเริ่มต้นของนางดูเหมือนจะเหือดหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่จิตวิญญาณเริ่มต้นของนางไม่ตอบสนองใดๆ แต่แม้แต่สติของนางก็ไม่ชัดเจน ในท้ายที่สุด นางตกสู่ภวังค์แห่งการหลับลึกอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

เมื่อได้สติคืนมา นางก็รีบนั่งตัวตรงทันที 

 

 

ตอนนี้นางเห็นห้องไม้ขนาดเล็ก เตียงไม้ โต๊ะไม้ เก้าอี้ไม้ไผ่ และแก้วไม้ไผ่ แม้ว่านางจะไม่รู้ว่ามันทำมาจากพืชวิญญาณชนิดไหน ทว่าทุกสิ่งล้วนเต็มไปด้วยพลังวิญญาณอย่างไม่น่าเชื่อ เปี่ยมล้นมากเสียจนแทบจะมองเห็นพลังวิญญาณได้ด้วยตาเปล่า! ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากพลังวิญญาณจะมีมากเหลือล้นแล้ว มันยังหนาแน่นกว่าในถ้ำของนางบนเขาไท่กังมากหลายเท่าอีกด้วย 

 

 

ที่นี่ที่ไหนกัน 

 

 

นางก้มลงเพื่อสำรวจตัวเอง ร่างกายนางยังอยู่ในสภาพดี แม้แต่หลังของนางซึ่งถูกเผาในการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจตัวนั้นก็ไม่เจ็บอีกต่อไป สำหรับพลังวิญญาณภายในร่างกายนาง ไม่เพียงแค่มันจะฟื้นคืนมาได้จนหมด แต่ดูเหมือนว่ามันจะแข็งแกร่งมากกว่าก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ 

 

 

ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ถึงเสียงสองเสียงที่นางได้ยินในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นของนาง 

 

 

“อาหลิง” “รากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด” “เหยาชิง” “ผู้สืบสกุล” ! เมื่อนางเชื่อมโยงคำพวกนี้เข้าหากันได้ คำตอบนั้นก็ยิ่งกว่าชัดเจน 

 

 

นั่นคือบรรพบุรุษอีกท่านของนางที่บรรพบุรุษแห่งตระกูลโม่ โม่เหยาชิงเคยพูดถึง!  

 

 

โม่เทียนเกอกุมหัวของนางด้วยสองมือ สงสัยว่านางแค่ฝันไปหรือไม่ โม่เหยาชิงบอกว่านางมีชีวิตอยู่หลายพันปีมาแล้วและสุดท้ายต้องตายเพราะอายุขัยของนางหมดสิ้น ในเมื่อโม่เหยาชิงเป็นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ ชายทั้งสองคนนั้นก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่านางตั้งหลายพันปี!  

 

 

นอกเสียจากว่า… พวกเขาเป็นผี หรือบางทีอาจจะเป็นการมีตัวตนอยู่บางอย่างที่ยังไม่เป็นที่รู้กันในหมู่มนุษย์ 

 

 

นางลุกจากเตียงพร้อมกับตบหัวตัวเองเบาๆ จากนั้นก็ผลักประตูเปิดเดินออกจากกระท่อมไป 

 

 

ภูเขาเขียวขจีงดงามดั่งภาพวาดแผ่ขยายไปไกลแสนไกล รอบตัวนางคือสวนสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม กระท่อมไม้หลายหลัง บ่อน้ำ และชายสองคน ช่างเป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงามเสียจริง 

 

 

ในขณะที่นางกำลังงุนงง ชายทั้งสองคนที่กำลังเล่นหมากรุกกันอยู่ใต้ต้นไม้หันหน้ามาหานาง 

 

 

“เด็กน้อย เจ้าตื่นแล้วหรือ มานั่งตรงนี้สิ”  

 

 

โม่เทียนเกอมองพวกเขา ชายคนที่พูดกับนางคือชายหน้าตาหล่อเหลา สามชุดนักพรตเต๋า ตอนนี้กำลังถือตัวหมากเล่นและยิ้มสดใสให้นาง อีกคนหนึ่งที่นั่งตรงหน้าเขาเป็นชายที่ยังหนุ่มเช่นเดียวกัน แต่ดูค่อนข้างอ่อนวัยกว่าคนแรก ใบหน้าของเขายังคงมีความไร้เดียงสาในวัยหนุ่ม เขาดูสง่างามและบริสุทธิ์ 

 

 

เมื่อนางจ้องพวกเขา ก็รู้สึกว่าพวกเขานั้นยากจะหยั่งถึงราวกับทะเลลึก ระดับการฝึกตนของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ด้วยแรงเคลื่อนไหวขนาดนี้ พวกเขาต้องเป็นผู้อาวุโสระดับผู้เยี่ยมยุทธอย่างแน่นอน 

 

 

โม่เทียนเกอไม่กล้าจะทำตัวดูงี่เง่า นางจึงเดินอย่างว่าง่ายไปหาพวกเขาและทักทาย “ข้าน้อยโม่เทียนเกอขอคารวะศิษย์พี่ทั้งสอง”  

 

 

“โม่เทียนเกอหรือ” ชายคนที่พูดกับนางก่อนหน้านี้หันหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามเขาและบอกว่า “นางมีแซ่ ‘โม่’ จริงด้วยสิ ดูเหมือนว่านางจะเป็นผู้สืบสกุลของแม่นางเหยาชิง”  

 

 

พอได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดโม่เทียนเกอก็รู้ว่าสิ่งที่นางพบเจอในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นไม่ใช่ความฝัน นางตวัดสายตาไปทางชายหนุ่มอีกคนทันที ชายผู้นี้… เขาคือ ‘อาหลิง’ บรรพบุรุษอีกท่านที่โม่เหยาชิงเคยพูดถึงใช่หรือไม่ 

 

 

ชายหนุ่มดูเหมือนจะกำลังคิดใคร่ครวญอย่างหนัก เขาจ้องมองนางอยู่นานก่อนที่สุดท้ายจะพูดว่า “ทายาทตัวน้อย อย่างแรกช่วยเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของเจ้าหน่อย”  

 

 

เสียงของเขาเป็นเสียงเดียวกับของ “อาหลิง” คนนั้น ความคิดหลากหลายอย่างแล่นผ่านจิตใจของนาง แต่หลังจากคิดอยู่เพียงแค่วินาทีเดียวนางก็พูดว่า “หนึ่งในบรรพบุรุษของข้าน้อยมีชื่อว่าเหยาชิงจริง โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยที่ต้องถาม แต่ศิษย์พี่… ศิษย์พี่เป็นบรรพบุรุษอีกคนของข้าใช่หรือไม่”  

 

 

ชายทั้งสองคนเหลือบมองกัน จากนั้นคนหนุ่มจึงพูดช้าๆ ว่า “เมื่อเจ้าเดินเข้าสู่ม่านพลังมายานภา ข้ารู้ว่าเจ้าคือผู้สืบสกุลของข้าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย หากเจ้ามีบรรพบุรุษที่ชื่อโม่เหยาชิง นั่นก็เป็นหลักฐานแล้ว”  

 

 

เมื่อได้ยินคำยืนยันของเขา หัวใจของโม่เทียนเกอสั่นไหว นางรีบปัดแขนเสื้อทันที คุกเข่าหน้าผากแตะพื้นแล้วพูดว่า “โม่เทียนเกอขอคารวะท่านบรรพบุรุษ ก่อนหน้านี้ข้าน้อยไม่ทันรู้ตัวจึงไม่ได้แสดงความเคารพท่านบรรพบุรุษให้เหมาะสม หวังว่าท่านบรรพบุรุษจะอภัยให้ข้าน้อยได้ ท่านบรรพบุรุษพอจะกรุณาบอกชื่อของท่านให้ข้าน้อยทราบได้หรือไม่เจ้าคะ”  

 

 

ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มน้อยๆ เขาม้วนแขนเสื้อเล็กน้อย ทันใดนั้น พลังอันน่าเกรงขามก็พยุงตัวโม่เทียนเกอขึ้นมา ชายคนนั้นพูดว่า “ชื่อจริงของข้าคือจงมู่หลิง ส่วนชื่อเต๋าของข้าคือฉือหลิง ข้าคือบรรพบุรุษของเจ้า ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ขัดอะไรกับการแสดงความเคารพของเจ้าในครั้งนี้ แต่เนื่องจากข้าไม่เคยได้ดูแลเจ้ามาก่อน เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องนอบน้อมมากนักก็ได้”  

 

 

เมื่อจงมู่หลิงพูดจบ ชายที่นั่งตรงข้ามเขาหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เด็กน้อยคนนี้มีมารยาทดี”  

 

 

โม่เทียนเกอหันไปและถามเขา “ศิษย์พี่กรุณาบอกข้าน้อยได้หรือไม่ว่าข้าน้อยควรเรียกท่านด้วยชื่ออะไร”  

 

 

ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม “ชื่อข้าคือหยวนเป่า เจ้าเรียกชื่อเต็มข้าได้ แต่ขอร้องละ โปรดอย่าเรียกข้าว่าศิษย์พี่หยวน”  

 

 

“ศิษย์พี่คือศิษย์พี่หยวนเป่านั่นเอง ในเมื่อศิษย์พี่เป็นสหายสนิทของท่านบรรพบุรุษของข้าน้อย ศิษย์พี่จึงเป็นผู้อาวุโสของข้าน้อยเช่นกัน” โม่เทียนเกอพูดพร้อมกับก้มหัวคำนับเขา 

 

 

ท่าทางของนางสร้างความประทับใจที่ดีให้กับหยวนเป่าซึ่งยิ้มและพูดว่า “เอาละ ในฐานะทายาทของอาหลิง เจ้ามีข้อได้เปรียบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องสุภาพขนาดนี้หรอก มาสิ มานั่ง”  

 

 

โม่เทียนเกอมองที่จงมู่หลิง หลังจากที่นางเห็นเขาพยักหน้านางถึงนั่งลงบนเก้าอี้หิน 

 

 

ขณะนั้นเอง โม่เทียนเกอคิดว่าความสงสัยที่น่ากลัวของนางอาจจะกลายเป็นจริง โม่เหยาชิงผู้ที่อยู่ในดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้ตายจากไปนานนับหลายพันปีแล้ว แต่กระนั้น สองคนนี้ที่มาจากยุคเดียวกันกับนางกลับยังมีชีวิตอยู่ โดยสรุปก็คือระดับการฝึกตนของทั้งสองคนนี้มีแนวโน้มว่าจะอยู่ในดินแดนที่สูงกว่าดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ นั่นก็จะเป็น… ดินแดนแห่งเทพ!  

 

 

หยวนเป่าที่มองดูนางมาตลอดพูดกับจงมู่หลิงด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กน้อยคนนี้ค่อนข้างหลักแหลม เห็นได้ชัดว่านางรู้ดินแดนการฝึกตนของพวกเราเข้าแล้ว”  

 

 

มุมปากจงมู่หลิงเผยอขึ้นขณะที่เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ “ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นทายาทของข้านี่ นางจะเป็นคนโง่ได้อย่างไรเล่า แม่หนู ข้าจากโลกนี้ไปนานหลายต่อหลายปี ข้ากลับมาบ้างบางครั้ง ดังนั้นข้าจึงรู้ว่าเจ้าและคนอื่นๆ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตระกูลโม่ อย่างไรก็ตาม เจ้ายังเด็กมาก ข้าจึงไม่ได้พบเจ้าเมื่อครั้งล่าสุดที่ข้ากลับมา ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าในเวลาหลายสิบปี ทายาทที่ครอบครองรากวิญญาณและยังเดินบนเส้นทางแห่งการฝึกตนจะปรากฏตัวขึ้น ข้าเดาว่าตอนนี้เจ้าคงอยู่ในช่วงอายุยี่สิบสินะ จากเสื้อผ้าของเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าโรงเรียนเสวียนชิงด้วยเช่นกันใช่หรือไม่”  

 

 

ท่านบรรพบุรุษท่านนี้คอยดูแลตระกูลโม่มาโดยตลอดงั้นหรือ ความคิดนี้แล่นผ่านจิตใจนาง จากนั้นนางจึงตอบอย่างระมัดระวัง “ท่านบรรพบุรุษ ข้าอายุยี่สิบสี่ปี เป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิงเจ้าค่ะ”  

 

 

“อืม ศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ของเจ้าถูกส่งต่อมาโดยโม่เหยาชิงใช่หรือไม่ ข้าว่าก่อนอื่นเจ้าควรเล่าให้ข้าฟังก่อนดีกว่าว่าเจ้าเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียนได้อย่างไร”  

 

 

ขณะที่นางฟังจงมู่หลิงพูด นางอดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่ามีบางอย่างแปลก จากบทสนทนาระหว่างตัวเขาและหยวนเป่า เช่นเดียวกับบทสนทนาของนางกับโม่เหยาชิงเมื่อหลายปีก่อน จงมู่หลิงและโม่เหยาชิงควรจะมีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากัน แต่ทำไมเขาถึงพูดถึงโม่เหยาชิงอย่างสบายๆ ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกตามปกติที่สามีและภรรยารู้สึกต่อกันอย่างนั้นล่ะ 

 

 

ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลก นางก็ไม่ได้ถามเขา นางเพียงตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ เมื่อตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าบังเอิญเข้าไปในโถงบรรพบุรุษของตระกูลโม่ กระตุ้นกำแพงอาคมให้เปิดออก และได้รับศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์มาเป็นมรดก…”  

 

 

นางเริ่มเล่าจากเมื่อนางอายุเจ็ดขวบ พูดเกี่ยวกับเรื่องที่นางเริ่มฝึกตนได้อย่างไร ถูกหลอก มาถึงที่คุนอู๋ ท่องเที่ยวไปทั่วกับท่านอาของนาง เข้าสู่สำนักอวิ๋นอู้ ไปที่โรงเรียนเสวียนชิงหลังจากการตายของท่านอา สร้างฐานแห่งพลัง มีส่วนร่วมในการปราบจลาจลของสัตว์ปีศาจ… นางบรรยายทุกอย่างที่นางประสบพบเจอมาอย่างละเอียดโดยไม่ข้ามเรื่องไหน 

 

 

เมื่อนางเล่าทุกสิ่งจนเสร็จสิ้นในที่สุด จงมู่หลิงและหยวนเป่าดูตกใจ 

 

 

หลังจากผ่านไปนาน จงมู่หลิงจึงพูดว่า “ตัวข้าจงมู่หลิงจะยอมให้ทายาทของข้าต้องโดนรังแกได้อย่างไร!” จากนั้นเขาหันไปทางโม่เทียนเกอและบอก “ส่งจี้หยกที่เจ้าใช้เพื่อซ่อนร่างกายของเจ้ามาให้ข้า”  

 

 

โม่เทียนเกอตอบ “เจ้าค่ะ” ล้วงมือไปที่คอเพื่อเอาจี้หยกออกมาและส่งให้เขา 

 

 

“โอ้! นี่เป็นจี้ซ่อนวิญญาณอย่างดีเลิศ” นักพรตเต๋าหยวนเป่าอุทานด้วยความประหลาดใจ 

 

 

จงมู่หลิงพยักหน้าและพูดว่า “ไม่ง่ายเลยสำหรับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่จะสามารถขัดเกลาอาวุธวิเศษประเภทนี้ได้ อันที่จริงนี่ทำให้ข้าคิดถึงไอ้เด็กนั่นที่ติดอยู่ในม่านพลังมายานภาเมื่อไม่กี่วันก่อน”  

 

 

“… จริงสิ! คนนั้นก็ใส่ชุดเครื่องแบบโรงเรียนเสวียนชิงเช่นกัน เขาน่าจะเป็นเจ้าชินโส่วจิ้งที่ว่ากัน! อายุร้อยสี่สิบปีแต่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว… ในสมัยนั้น ข้าเองก็สร้างขุมพลังในช่วงอายุร้อยปีเหมือนกัน แต่ข้าทำเช่นนั้นได้ก็เพราะความสามารถของข้านั้นดีกว่าเขามากนัก”  

 

 

จงมู่หลิงกล่าว “เจ้าทั้งสองคนแตกต่างกัน ไอ้เด็กนั่นมีลูกประคำวิญญาณพลังหยางภายในร่างเขา อีกอย่าง ในเมื่อเขาไม่ได้กังวลใจตอนที่ติดอยู่ในม่านพลังมายานภา เจ้าสามารถเห็นได้ชัดเลยว่าเขามีความตั้งใจที่แน่วแน่ คงจะแปลกถ้าการฝึกตนของเขาไม่พัฒนาได้อย่างไว เดี๋ยวก่อน ลูกประคำวิญญาณพลังหยาง!”  

 

 

หลังจากเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน จงมู่หลิงเหลือบตามองไปทางหยวนเป่า ทั้งคู่ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง 

 

 

โม่เทียนเกอไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าพวกเขาพูดกันถึงเรื่องอะไร อย่างไรก็ตาม จากบทสนทนาของพวกเขาดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้บังเอิญเจอเข้ากับอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง นางจึงถามอย่างระวัง “ท่านบรรพบุรุษ ศิษย์พี่หยวนเป่า ท่านได้เจอกับอาจารย์ลุงโซวจริงงั้นหรือเจ้าคะ เขาเป็นอะไรหรือเปล่า”  

 

 

จงมู่หลิงพยักหน้าให้นางและกล่าวว่า “ชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นอาจารย์ลุงโส่วจิ้งของเจ้า ประมาณครึ่งเดือนก่อน เขาบังเอิญเข้าไปสู่ม่านพลังมายานภาขณะที่บาดเจ็บอยู่ อย่างไรก็ตาม หลายวันต่อมา เขาก็ฟื้นตัวและออกไปแล้ว” เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็โมโหขึ้นมาอีกครั้งและพูดว่า “การที่ใช้ม่านพลังมายานภาเป็นที่สำหรับพักฟื้นนี่… ฮึ่ม!”  

 

 

หยวนเป่าหัวเราะหึๆ และพูดว่า “นั่นก็เพราะเขามีความกล้าอย่างไรล่ะ เขาเชื่ออย่างมั่นใจว่าเราไม่มีเจตนาไม่ดี”  

 

 

แน่นอน ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งไม่เป็นอะไร โม่เทียนเกอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนนางจะถามออกมาอีกคำถาม “เช่นนั้น… มีชายหนุ่มอยู่กับเขาด้วยหรือไม่เจ้าคะ ชายหนุ่มที่ดูคล้ายกันกับเขา อายุประมาณยี่สิบ และอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเจ้าค่ะ”  

 

 

“ไม่มีคนอย่างนั้นอยู่กับเขาหรอก” จงมู่หลิงพูดทันทีพร้อมกับส่ายหน้า ครั้นแล้วก็บอกว่า “ถ้าเช่นนั้น อย่างแรก เขียนศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ของเจ้าให้ข้าดูหน่อย และอีกอย่างหนึ่ง ทิ้งจี้ซ่อนวิญญาณไว้ที่นี่ ข้าจะดูว่าข้าสามารถหลอมละลายมันและเกลามันขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้หรือไม่”