ตอนที่ 3 ประมุขวังพันเนตร โดย Ink Stone_Fantasy
“เจ้ารีบปล่อยพวกเราเสีย ตอนนี้หนีเอาชีวิตรอดยังทันอยู่ มิเช่นนั้นแล้ว…” ชายชราอาภรณ์สีแดงคิดจะขู่ขวัญต่อ แต่จากนั้นเขาก็เบิกตาโพลง ปากก็พูดอะไรไม่ออกอีกแม้แต่คำเดียว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง
ตนผนึกพลังของพวกเขาเอาไว้แล้ว บัดนี้พวกเขาพูดอะไรไม่ออกย่อมเป็นเรื่องง่ายมาก ด้วยนิสัยของตน อย่างมารร้ายที่ช่วงชิงเอาชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนไปตามอำเภอใจพรรค์นี้ ก็ต้องสังหารโดยทันที ส่วนคนชุดดำพวกนั้น เพื่อที่จะประจบประแจงชายชราอาภรณ์สีแดงผู้นี้ ยังจะออกไปจับผู้ที่อ่อนแอและบริสุทธิ์คนอื่นๆ มาอีก
พวกเขาล้วนสมควรตาย! ทว่าตอนนี้เขายังไม่รีบร้อนสังหาร เพราะยังต้องอาศัยพวกเขาดึงดูดประมุขวังที่อยู่เบื้องหลังคนนั้นออกมาอีก!
“ข้าจะดูสิว่าเจ้ามีสถานะอันใดกันแน่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ก็ล่อลวงให้คนชุดดำทั้งสิบสองเข้าไปในโลกเขตลวงทันที และสามารถชี้นำพวกเขาภายในโลกเขตลวงให้บอกตัวตนของประมุขวังออกมาได้อย่างง่ายดาย! เพราะนี่ก็มิได้นับว่าเป็นความลับสำคัญยิ่งยวดอะไรนัก ประมุขวังผู้นั้นก็มิได้มีวิธีห้ามเอาไว้ เมื่อคนชุดดำอยู่ในโลกเขตลวงจึงพูดทุกสิ่งออกมาแต่โดยดี
“ที่แท้แล้วเป็นเขาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดด้วยเสียงเย็นชา “นับเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งจริงๆ เสียด้วย”
…
ผ่านไปชั่วขณะ
คนชุดดำทั้งสิบสองและชายชราอาภรณ์สีแดงก็ล้มลงบนพื้นโดยมิอาจขยับเขยื้อนได้ วัตถุต่างๆ ที่พวกเขาพกติดตัวมาล้วนถูกช่วงชิงเอาไป ที่เก็บวัตถุล้ำค่าและอื่นๆ ล้วนถูกยึดไป ชายชราอาภรณ์สีแดงเห็นเข้าก็เคืองแค้นแต่กลับพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงลอบพึมพำว่า “รอท่านประมุขวังมาถึง สิ่งที่เขาเอาไปล้วนต้องคายออกมาจนเกลี้ยง แม้แต่สิ่งที่เขานำติดตัวมาก็ต้องถูกสังเวยด้วยเช่นกัน!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับโบกมือคราหนึ่ง ที่เก็บวัตถุล้ำค่าจำนวนหนึ่งถูกหลอมแปรอย่างรวดเร็ว จากนั้นป้ายอักขระสีดำอันแล้วอันเล่าก็ลอยออกมา
“ป้ายอักขระสิบสองอัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ชาวเผ่าหลายแสนคนของชนเผ่านี้ถูกลอบโจมตี ภายในวิญญาณของชาวเผ่าแต่ละคนล้วนถูกหมอกดำแทรกซึมเข้าไป ตามปกติแล้ว ตนต้องขับหมอกดำในวิญญาณของชาวเผ่าแต่ละคนออกมาอย่างยากลำบาก ซึ่งเรื่องนี้ต้องใส่ใจเป็นอย่างมาก และชาวเผ่าตั้งหลายแสนคน จะต้องใช้เวลานานเท่าใดกัน
เมื่อเขาตรวจสอบก็ทราบทันทีว่า คนชุดดำทั้งสิบสองนี้มีวิธีควบคุมหมอกดำนี้
“วิธีอันแปลกพิสดารของการบำเพ็ญระบบทิพย์เหล่านี้ช่างมีมากมายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงแบ่งสมาธิออกไปใช้เป็นสิบสองส่วน แล้วควบคุมป้ายอักขระสีดำสิบสองก้อนพร้อมกัน
ตู้มมมม…
ป้ายอักขระสีดำสิบสองก้อนที่ล่องลอยอยู่ตรงหน้าเขาพลันกระตุ้นค่ายกลขึ้นมา แล้วเกิดปฏิกิริยากับหมอกดำภายในร่างกายของคนหลายแสนคนซึ่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่
“ออกมาให้หมดเถอะ” เพียงชั่วความคิดหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิง หมอกดำสายแล้วสายเล่าพลันลอยออกมาจากร่างของชาวเผ่าแต่ละคน หมอกดำจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันเป็นเมฆดำขนาดมหึมา จากนั้นเมฆดำมหึมานี้ก็สลายหายไปกลางอากาศในทันที
“ขยับได้แล้ว”
“ข้าขยับได้แล้ว” ชาวเผ่าทั้งหลายทยอยลุกขึ้นทีละคน เด็กน้อยทั้งหลายปีนป่ายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ชาวเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนภายในชนเผ่าล้วนรู้สึกซาบซึ้งยินดี แต่พวกเขาก็ยังคงมองดูทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตื่นเต้นอยู่ห่างๆ ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เฝ้ามองทุกอย่างที่เกิดขึ้น และรู้ว่าหนุ่มน้อยยอดฝีมือชุดขาวผู้นี้ช่วยพวกเขาเอาไว้ แต่พวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งของชายชราอาภรณ์สีแดงด้วย…เห็นได้ชัดว่าเบื้องหลังชายชราอาภรณ์สีแดงยังมียอดฝีมือตัวฉกาจที่เก่งกาจอย่างยิ่งอยู่อีกคนด้วย
สวบๆๆ
เงาร่างสิบกว่าสายบินมาอย่างรวดเร็วลงมาตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงก่อนจะพากันทำความเคารพ
“ผู้อาวุโสช่วยพสกเราทั้งเผ่าเอาไว้ บุญคุณใหญ่หลวงครั้งนี้ พวกเราทั้งหลายไม่รู้ว่าควรจะทดแทนเช่นใดดี” ดวงตาของหัวหน้าเผ่ารื้นไปด้วยน้ำตา เขามิกล้าคิดเลยว่าหากมิใช่หนุ่มน้อยยอดฝีมือชุดขาวปรากฏกายขึ้นแล้ว ชาวเผ่าทั้งหมดในเผ่าของตนกลายเป็นร่างทดลองของการบำเพ็ญระบบทิพย์ที่ชั่วร้าย เช่นนั้นจะเกิดผลที่น่าหวาดหวั่นเพียงไร หากแต่ละคนถูกทดลอง ถึงไม่ตาย ก็ต้องถูกทดลองสิ่งต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทรมานกว่าถูกฆ่าให้ตายไปเลยเสียอีก
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะพลางพูดเสียงเรียบว่า “ใช้แรงเพียงยกฝ่ามือเท่านั้น”
ในเมื่อพลังแข็งแกร่ง ก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ สำหรับตนก็ใช้แรงเพียงยกฝ่ามือเท่านั้น แต่สำหรับชนเผ่านี้กลับเป็นการช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากหายนะใหญ่ครั้งหนึ่งไปได้
ยิ่งช่วยคนมากขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งสามารถรับรู้ข้อนี้ได้มากขึ้น
“ผู้อาวุโสท่านนั้นช่วยทั้งชนเผ่าของเราเอาไว้หรือ”
“ถูกต้อง หากไม่มีผู้อาวุโสท่านนั้น ชนเผ่าของพวกเราก็ต้องจบสิ้นไปแล้ว” หนุ่มน้อยคนหนึ่งกำลังถามมารดาอยู่ไกลออกไป หนุ่มน้อยยังมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตื่นเต้นและหัวใจที่เทิดทูน
ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในหลายบริเวณของชนเผ่า
บัดนี้เด็กน้อยและหนุ่มสาวจำนวนมากกำลังมองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวไกลออกไปด้วยความเคารพนบนอบหาใดเปรียบ ตลอดคืนวันอันยาวนานในภายหน้า พวกเขาย่อมไม่มีทางลืมเลือน นี่คือยอดฝีมือที่ยอดเยี่ยมผู้ช่วยเหลือชนเผ่าของพวกเขาเอาไว้ พวกเขาหวังว่าจะมีสักวันที่สามารถสำเร็จเป็นผู้แกร่งกล้าและมีคุณสมบัติพอจะไปยืนตรงหน้าผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตชนเผ่าของพวกเขาเอาไว้ นั่นจะเป็นเกียรติอย่างสุดซึ้งของพวกเขาเลยทีเดียว
“เด็กน้อยเหล่านี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มออกมา ผู้ใหญ่เหล่านั้น บางคนพบเห็นอะไรมามากจนมิกล้ามองตนตรงๆ ด้วยกลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินตงป๋อเสวี่ยอิง ส่วนเด็กและหนุ่มสาวเหล่านั้นยังไม่เข้าใจอะไรนัก
“ผู้อาวุโส”
หัวหน้าเผ่ามองดูชายชราอาภรณ์สีแดงและคนชุดดำทั้งสอบสองซึ่งกำลังนอนอยู่บนพื้นด้านข้างอย่างมิอาจขัดขืนได้ เขากล่าวว่า “เบื้องหลังการบำเพ็ญระบบทิพย์ที่ชั่วร้ายนี่เหมือนจะมีผู้แกร่งกล้าที่ร้ายกาจอย่างยิ่งอยู่คนหนึ่ง ผู้อาวุโสต้องระมัดระวังด้วยนะขอรับ”
“วางใจเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ “ข้ามั่นใจอยู่แล้ว นอกจากนี้ ท่านรีบพาชนเผ่าทั้งหมดของท่านอพยพไปเถิด ข้ากลัวว่าคนเบื้องหลังพวกเขาผู้นั้นจะยังมิกล้าปรากฏกาย รอจนข้าจากไปแล้ว จะมาระบายอารมณ์ที่พวกท่านแทน”
“ขอรับ”
หัวหน้าเผ่าสะดุ้ง เขารู้ว่าอีกไม่นานสถานที่แห่งนี้กำลังจะกลายเป็นสมรภูมิรบ เขามิกล้าให้ชาวเผ่ารั้งรออยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ผู้อาวุโสโปรดระมัดระวังด้วย ผู้แกร่งกล้าของการบำเพ็ญระบบทิพย์มีลูกไม้มากมายยิ่งนัก ยากที่จะป้องกันได้ ข้าและคนอื่นๆ ต้องขอหน้าหนาจากไปก่อนแล้ว”
“ไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ชนเผ่าผู้บำเพ็ญอพยพได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการเก็บชาวเผ่าทั้งหลายเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ จากนั้นหัวหน้าเผ่าก็เคลื่อนที่ในพริบตาจากไปอย่างรวดเร็วเพียงลำพัง
หากพูดอย่างจริงจังแล้ว สมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ก็นับว่าปลอดภัย แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเพียงโลกใบเล็กที่บุกเบิกขึ้นมา จึงมีส่วนช่วยผู้บำเพ็ญสู้จักรวาลแห่งหนึ่งมิได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเทียบกับโลกทิพย์เลย! ภายในโลกคูหาสวรรค์ มีเทพโลกาสักคนถือกำเนิดขึ้นมาได้ก็ไม่เลวแล้ว ส่วน ‘เทพแท้’ นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย! สำหรับโลกทิพย์แล้ว เทพแท้นั้นมีอยู่ทั่วไป เทพอากาศจึงพอจะนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือ
…
บนพื้นที่เขียวชอุ่มของทะเลทราย ชาวเผ่ามิได้ตั้งอยู่นานแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพัง คนชุดดำทั้งสิบสองและชายชราอาภรณ์สีแดงคนหนึ่งด้านข้างมิอาจขยับเขยื้อนได้
“มาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้นแล้วทอดสายตามองออกไปไกล
ตู้มมมม…
เรือบินอลวนลำหนึ่งบินออกมาจากทางเชื่อมมิติที่ถูกแหวกออก จากนั้นผิวเงาวับของเรือบินอลวนก็มีประตูเรือบานหนึ่งปรากฏขึ้น เงาร่างสองสายบินออกมาพร้อมกัน หนึ่งในนั้นคือบุรุษท่าทางเย็นชาซึ่งมีอาภรณ์สีเทาห่มคลุมเอาไว้ ร่างกายของเขามีกลิ่นอายชั่วร้ายแผ่ออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้ ขณะที่สายตาทั้งคู่ทอดมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง นัยน์ตาของเขาราวกับมีสัตว์ประหลาดที่น่าหวาดหวั่นตนหนึ่งสอดส่องตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“การบำเพ็ญระบบทิพย์ที่ชั่วร้ายพรรค์นี้ ปรับเปลี่ยนวิญญาณของตนอย่างสิ้นเชิง พลังไม่เลวเลยจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอบพึมพำ
บุรุษท่าทางเย็นชาผู้นี้มีนามว่า ‘ประมุขวังเนตรทมิฬ’
พลังเป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า ทั้งยังเป็นผู้ที่เยี่ยมยอดในหมู่คนเหล่านั้นด้วย ในฐานะการบำเพ็ญระบบทิพย์ที่ชั่วร้ายซึ่งค้นคว้าร่างกายและวิญญาณแล้วปรับปรุงร่างกายและวิญญาณจึงยากจะรับมือ หัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารร่วมมือกันก็ยังรับมือยากสู้คนผู้นี้มิได้!
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้เห็นอยู่ในสายตา จ้าวทะเลสาบชี่หู หนึ่งในหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารผู้มีการรักษาชีวิตแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าตนก็ยังไม่มีแรงต้านทานแม้แต่น้อย
“คนด้านข้างผู้นี้…” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นชายชราผู้หนึ่งซึ่งเดินออกมาพร้อมกับบุรุษอาภรณ์สีเทาท่าทางเย็นชา
ชายชราผมขาวผู้นี้มีใบหน้าอ่อนโยน ทั้งร่างสวมอาภรณ์เรียบง่าย เก็บงำกลิ่นอายไว้ภายในอย่างสิ้นเชิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสำรวจคนทั้งสอง ทั้งสองก็กำลังสำรวจตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดียวกัน พวกเขามีข้อมูลมากกว่าผู้ใต้บังคับบัญชามากนัก เพียงแวบเดียวก็จำตงป๋อเสวี่ยอิงที่มิได้แปลงกายได้แล้ว
“ตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งวังทวีสูญ” ชายชราผมขาวท่าทางเรียบง่ายเอ่ย “ศิษย์น้อง ว่ากันว่าเขามีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกเท่านั้น ที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ ของประมุขโลกอนธการ”
“ศิษย์พี่เหลย” ประมุขวังเนตรทมิฬกลับเอ่ยขึ้นอย่างถ่อมตน “สงครามจะดูแต่ด้านที่เชี่ยวชาญที่สุดมิได้ ต้องดูจุดอ่อนด้วยเช่นกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ก็แค่ได้ศาสตร์ลับของประมุขโลกอนธการมาเท่านั้นเอง เมื่อเผชิญหน้ากับตัวโง่งมอย่างจอมมารดำย่อมสามารถเอาชนะได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เฮอะๆ ศิษย์พี่เหลยรอสักครู่หนึ่งเถิด หากเขากล้าทำให้ธุระของข้าเสียหาย ข้าต้องให้บทเรียนกับเขาอย่างแน่นอน”
………………………..