ตอนที่ 4 จุดอ่อน โดย Ink Stone_Fantasy
ชายชราอาภรณ์สีแดงและคนชุดดำทั้งสิบสองที่นอนอยู่บนพื้นต่างก็รอคอยให้ประมุขวังของตนมาช่วยเหลือด้วยความร้อนรน แล้วค่อยให้ยอดฝีมือชุดขาวผู้นี้สำนึกเสียใจและร้องขอชีวิต!
“ตงป๋อเสวี่ยอิง”
ประมุขวังเนตรทมิฬย่ำไปในอากาศพลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไป กลิ่นอายชั่วร้ายเหนือผิวกายของเขาโหมซัดและแผ่กำจายไปทั่วทุกทิศ “นี่คือโลกทิพย์นิจนิรันดร์ คนจากโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราอย่างเจ้าคนหนึ่งกล้ามาเหิมเกริมที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์อย่างนั้นหรือ ทั้งยังกล้าทำลายธุระของข้า ช่างบังอาจเสียจริง”
“หนึ่งโลกทิพย์นิจนิรันดร์แบ่งเป็นสองส่วน นี่คือเขตแดนของบรรพชนโลกา มิใช่เขตแดนของบรรพชนทิพย์ เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องพวกนี้หรอกกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
“เฮอะ คิดว่าเป็นผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญแล้วข้าจะมิกล้าสังหารเจ้ารึ เจ้ามิเกรงกลัวสิ่งใดเลยหรือไร” ประมุขวังเนตรทมิฬยิ้มเย็น “ถูกต้อง ข้าจะไม่สังหารเจ้าหรอก ทว่าโทษตายละเว้นได้ โทษเป็นกลับยากจะหลบเลี่ยง ข้าจะชิงเอาสมบัติล้ำค่าของเจ้าไปให้หมด แล้วค่อยให้เจ้าลิ้มรสการลงโทษต่างๆ ที่ข้าคิดค้นขึ้นมา ท้ายที่สุดค่อยส่งเจ้าที่สมบูรณ์ดีกลับไปยังวังทวีสูญ คิดว่าวังทวีสูญคงจะว่าอะไรไม่ได้”
“เจ้ามั่นใจในตนเองมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ให้ข้าได้เห็นสักหน่อยเถิดว่าเจ้ามีความสามารถนี้หรือไม่ อ้อ ข้าจะจัดการพวกเขาเสียก่อน ในเมื่อเจ้ามาแล้ว จะเก็บพวกเขาเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีก”
พูดยังไม่ทันขาดคำ
ฟึ่บๆๆ…
ชายชราอาภรณ์สีแดงและคนชุดดำทั้งสิบสองคนต่างพากันเบิกตากว้างด้วยความหวาดหวั่น แต่จากนั้นกลิ่นอายก็จางลง วิญญาณของพวกเขาที่ถูกผนึกเอาไว้สูญสลายไปจนสิ้น ภายใต้อานุภาพของแผนภาพคลื่นจาน แม้แต่ร่างกายก็แหลกสลายกลายเป็นความว่างเปล่าตามไปติดๆ
ประมุขวังเนตรทมิฬเห็นเข้าม่านตาก็หดเล็กลง สีหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้นมาก เขาจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง ปากก็แสยะยิ้มกว้าง “ดีมาก ประเสริฐมาก เจ้าหนุ่มวัยเยาว์ที่แค่ศึกษาประมุขโลกอนธการศาสตร์ลับคนหนึ่งเท่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าข้ากลับกล้าอวดดีถึงเพียงนี้ ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่า…การบำเพ็ญระบบทิพย์มิใช่ฝูงมารผลาญทำลายของเจดีย์ดาวเหล่านั้นจะสามารถเทียบด้วยได้”
“ฟิ้วๆๆ”
นัยน์ตาทั้งสองของประมุขวังเนตรทมิฬพลันมีอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นปะทุออกมา นัยน์ตาของเขาพลันมีกระแสอากาศสีดำสองสายแผ่ออกมา หากมองดูให้ละเอียด ก็จะพบว่าภายในกระแสอากาศสีดำสองสายนั้นมีแมลงเกราะสีดำอันเล็กละเอียดอยู่ด้วย หลังจากแมลงเกราะสีดำกว่าร้อยตัวบินออกจากดวงตาของประมุขวังเนตรทมิฬแล้ว ก็บุกสังหารไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงทันที
หลังจากนั้นติดๆ ร่างกายของประมุขวังเนตรทมิฬก็พลันขยายขึ้นยกใหญ่ เขามีแขนงอกออกมาถึงหกข้าง ผิวหนังทั้งร่างกลายเป็นสีเทา เหนือแขนสีเทาเปล่าเปลือยที่โผล่ออกมาแต่ละข้างล้วนแต่มีสัญลักษณ์ดวงตาอันแปลกพิสดารอยู่ รูปสัญลักษณ์ดวงตาแผ่คลุมไปทั่วร่าง กลิ่นอายชั่วร้ายสีดำจำนวนมากที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่กำจายออกมา
“ตายเสีย” ร่างกายของประมุขวังเนตรทมิฬขยับคราหนึ่งแล้วกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
แมลงสีดำกว่าร้อยตัวและประมุขวังเนตรทมิฬซึ่งปรากฏร่างทิพย์ออกมาทยอยบุกเข้ามา แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าแล้วกลับมองอย่างสงบโดยมิได้ขัดขวางแต่อย่างใด
“เอ”
ประมุขวังเนตรทมิฬเห็นเข้าก็งงงันไป
เดิมทีเขาก็เตรียมการอย่างอื่นไว้ก่อนแล้วเพื่อที่จะรับกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิง แม้ปากเขาจะพูดเหิมเกริม แต่ในใจของเขากลับเคารพเป็นอันมาก เพราะถึงอย่างไรอานุภาพของ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งใหญ่มากโดยแท้! แต่การที่ไม่ขัดขวางเลยแม้แต่น้อย ก็ทำให้ประมุขวังเนตรทมิฬงุนงง “ลำพองตนเกินไปแล้วกระมัง เฮอะๆ ระหว่างการต่อสู้ก็ไม่ทุ่มเทสุดกำลัง เช่นนั้นข้าก็จะยิ่งเอาชนะได้ง่ายขึ้นแล้ว”
ตามข้อมูลที่เขาเก็บรวบรวมมา ก็มีแผนการโดยละเอียดที่จะจัดการกับตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่แล้ว ในสายตาของเขา แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีการโจมตีที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่เพราะเยาว์วัยเกินไป ไม่มีเวลาเสริมจุดอ่อน ร่างกายจึงค่อนข้างอ่อนแอ ซึ่งคำว่าอ่อนแอนี้เป็นการเปรียบเทียบกับยอดฝีมือบางคนเช่นประมุขวังเนตรทมิฬหรือจอมมารดำ
ในความเป็นจริงแล้ว…
ก่อนหน้าที่จะฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง ลำพังแค่อาศัยระบบผู้ท่องอากาศก็ช่วยยกระดับร่างกายอยู่แล้ว ด้านร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นจุดอ่อนโดยแท้ เพราะเมื่อระบบผู้ท่องอากาศถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งและขั้นอลวนแล้วก็ไม่มีข้อได้เปรียบมากนักจริงๆ
ผู้ท่องอากาศ ช่วงแรกมีข้อได้เปรียบมาก พอถึงข่วงหลังก็ไม่มีข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดสักเท่าใดแล้ว หากจะพูดถึงข้อได้เปรียบจริงๆ…ก็คือ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ และการควบคุมอากาศ การรักษาชีวิตและการหนีเอาชีวิตรอดนั้นร้ายกาจ!
แต่หากพูดถึงร่างกายน่ะหรือ
โดยทั่วไปล้วนแต่เป็นศาสตร์โบราณและระบบพลรบที่แข็งแกร่งที่สุด การบำเพ็ญระบบทิพย์ที่เชี่ยวชาญยิ่งกว่า พวกเขาสามารถฝึกร่างกายจนถึงขั้นที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงจนยกระดับไปถึงเจดีย์ดาวชั้นที่หก ร่างกายของเขายกระดับขึ้นเป็นอย่างมากก็แล้วไปเถิด เกราะเกล็ดเหนือผิวกายกลับร้ายกาจยิ่งกว่ามันเพียงพอจะเทียบได้กับอาวุธเทพอากาศขั้นกลางเลยทีเดียว!
เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดเน้นด้านเขตลวงเป็นหลัก มีส่วนช่วยด้านวิญญาณ
เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงเน้นด้านการเข่นฆ่าเป็นหลัก มีส่วนช่วยด้านกายหยาบ
“ในการต่อสู้ก็ยังไม่ทุ่มเทสุดกำลัง ช่างโง่เง่าเสียจริง” รูปสัญลักษณ์ดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนเหนือผิวกายของประมุขวังเนตรทมิฬเริ่มค่อยๆ สว่างวาบขึ้นมา
ทันใดนั้น…
พลันมีเสียงร้องแหลมดังก้อง กระแสอากาศสีแดงพลันแผ่คลุมไปทั่วทุกทิศทุกทาง จึงย่อมปกคลุมแมลงเหล่านั้นและประมุขวังเนตรทมิฬที่รุกโจมตีเข้ามาใกล้แล้วด้วยเช่นกัน
“เอ๊ะ” ชายชราผมขาวท่าทางเรียบง่ายที่กำลังชมการต่อสู้อยู่กลางฟากฟ้าไกลออกไปจับตามองโดยละเอียด
ด้านหลังของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้มีสัตว์ปีกสีแดงชาดปรากฏขึ้น มันสยายปีกมหึมา กระแสอากาศสีแดงเพลิงแผ่กำจายออกมา
“เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดหรือ เคล็ดภาพลวงหรือ” ชายชราผมขาวท่าทางเรียบง่ายคลายใจ จะให้อานุภาพของเคล็ดภาพลวงเก่งกาจพอก็เป็นเรื่องยากนัก คิดจะรับมือคนระดับอย่างประมุขวังเนตรทมิฬก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ “เท่าที่ข้ารู้ เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดเมื่ออยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่งก็พอจะสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจของยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้กระมัง”
……
ความเป็นจริงกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ประมุขวังเนตรทมิฬพลันตกเข้าสู่เขตลวง เขาดิ้นรนอยู่ในเขตลวงด้วยความยากลำบาก เมื่อดิ้นรนออกมาได้อย่างหวุดหวิดก็ถูกเขตลวงลากกลับเข้าไปอีกครั้ง เมื่อจ้าวทะเลสาบชี่หูเผชิญหน้ากับเขตลวงปีศาจชาดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไร้ซึ่งแรงต้านทานใดๆ ทางด้านจิตใจ เมื่อประมุขวังเนตรทมิฬเทียบกับจ้าวทะเลสาบชี่หูก็ไม่มีข้อได้เปรียบอันใดจริงๆ เสียด้วย! ซ้ำยังอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง
เขาตกเข้าสู่เขตลวงจึงมิอาจควบคุมแมลงพิษเหล่านั้นได้ แมลงพิษไม่มีปัญญา ได้แต่รับการควบคุมจากเขาเท่านั้น! หากมีปัญญากลับอาจจะถูกศัตรูโจมตีเอาได้ง่ายๆ
“ฟึ่บๆๆ…” ระลอกคลื่นเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนพลันเข้าไปพันธนาการแมลงพิษเหล่านั้นเอาไว้ ขณะเดียวกันก็พันธนาการประมุขวังเนตรทมิฬเอาไว้ด้วย ก่อนจะแทรกซึมเข้าไปภายในร่างของประมุขวังเนตรทมิฬที่ไร้แรงต้านทานแม้แต่นิดเดียว และปิดผนึกวิญญาณของเขาเอาไว้
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เก็บงำกลิ่นอาย วิหคเทพปีศาจชาดด้านหลังก็ถูกเก็บซ่อนลงไปในกายเช่นเดียวกัน
ประมุขวังเนตรทมิฬถูกตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่งแล้วก็ล้มทรุดลงบนพื้นหญ้าด้านข้าง เขาก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
แพ้แล้วหรือ
ข้าแพ้เช่นนี้เองน่ะหรือ ข้ายังมีลูกไม้อื่นๆ ที่ยังมิได้สำแดงออกมาอีกนะ! พิษทิพย์ของข้ายังมิได้ให้ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ได้ลองลิ้มรสเลนก็แพ้เสียแล้วหรือนี่
“การต่อสู้มิได้มองแค่ด้านที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่ดูที่จุดอ่อนมากกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “สำหรับข้าแล้ว จิตใจของเจ้าก็คือจุดอ่อน!”
หากพูดอย่างจริงจังแล้ว
จิตใจของประมุขวังเนตรทมิฬมิได้นับว่าเป็นจุดอ่อนแต่อย่างใด ในบรรดายอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าก็นับว่าเป็นระดับที่ปกติมากแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งมีพรสวรรค์ด้านวิถีโลกเทียมสูงส่งอย่างยิ่ง และยกระดับเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดไปจนถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกได้ เขาต้านทานเขตลวงมิได้ จิตใจของเขาก็คือจุดอ่อน!
เขตลวง…
มุ่งไปที่วิญญาณโดยเฉพาะ ไม่ต้องสนใจว่าเจ้ามีลูกไม้มากมายเพียงใด ไม่ต้องสนใจว่าร่างกายแข็งแกร่งเพียงไหน ท่าไม้ตายการโจมตีเก่งกาจสักเท่าไหร่ หากต้านทานเขตลวงเอาไว้ไม่ได้แล้วร่วงลงไปในนั้น จะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับการควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว
“เคล็ดภาพลวง เป็นไปได้อย่างไรกัน” จวบจนบัดนี้ ประมุขวังเนตรทมิฬก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะแพ้ให้กับเคล็ดภาพลวง นอกจากนี้คู่ต่อสู้ยังเป็นแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเช่นเดียวกันอีกต่างหาก
“นับถือๆ” ชายชราผมขาวท่าทางเรียบง่ายที่อยู่ห่างออกไปกล่าว “เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดเมื่ออยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่งคงจะไม่มีอานุภาพแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เจ้ากลับสามารถทำให้อานุภาพของเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดก้าวหน้าไปอีกขั้น พูดถึงเคล็ดภาพลวงแล้ว…ตอนนี้ในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งของโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน เจ้าจัดเป็นอันดับหนึ่ง”
ขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับเจดีย์ดาว…
เดิมทีก็น้อยอย่างยิ่งอยู่แล้ว
ก่อนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรุ่งโรจน์ขึ้นมานั้น วังทวีสูญยุคนี้ก็ไม่มีระดับนี้อยู่ บัดนี้ โลกทิพย์ทั้งห้ารวมกับอากาศอันสับสนอลหม่าน เท่าที่ทราบรู้กัน ขั้นรวมเป็นหนึ่งซึ่งมีพลังถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกได้มีเพียงไม่เกินสิบคนเท่านั้น! ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเพียงคนเดียวในจำนวนนั้นที่มีเขตลวงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เขาเป็นอันดับหนึ่งในขั้นรวมเป็นหนึ่งด้านเคล็ดภาพลวง เขามีคุณสมบัติพอจริงๆ
“เมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขเจดีย์อสนี ลูกไม้เล็กน้อยเท่านี้ก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ
ประมุขเจดีย์อสนี
มีนามว่า ‘อสนีโรจน์’ ชื่อเสียงของเขาภายในอากาศอันสับสนอลหม่านและโลกทิพย์นั้นโด่งดังกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมากนัก ในโลกทิพย์ทั้งสาม ได้แก่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา โลกทิพย์กิเลนบูรพาและโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกนับรวมตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยแล้วก็มีทั้งหมดเพียงห้าคนเท่านั้น ส่วนอสนีโรจน์นั้นคือผู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในโลกทิพย์ทั้งสามมาตลอดคืนวันอันยาวนานก่อนหน้านี้ว่าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุด และเคยประมือกับร่างจริงของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนมาก่อน การลงมือหลายครั้งในประวัติศาสตร์ ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นพลังของเขาแล้ว
“นี่มิใช่ลูกไม้เล็กน้อยเลย แม้แต่ข้าเองก็ยังช่วยศิษย์น้องของข้าคนนี้ไม่ทัน” ประมุขเจดีย์อสนีส่ายหน้า “ทว่าศิษย์น้องข้าก็เป็นคนในสำนักของบรรพชนทิพย์ ผู้อาวุโสตงป๋อจะสังหารเขามิได้”
“แน่นอนว่าข้าต้องรู้อยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
โลกทิพย์ทั้งสามร่วมมือกันต่อกรกับสองลัทธิใหญ่ ภายในก็มีการสัญญากันว่า ต่อให้บุคคลระดับสูงแห่งขุมอำนาจใหญ่ของโลกทิพย์ทั้งสามทำผิดใหญ่หลวง ก็มิอาจสังหารได้ในทันที หากแต่จะต้องให้สองขุมอำนาจใหญ่เข้าแทรกแซงแล้วตัดสินโทษ
ผู้อื่นมิกล้าสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงตรงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิกล้าสังหารประมุขวังเนตรทมิฬโดยตรงเช่นเดียวกัน
หากเขาทำเช่นนี้…
ทำลายกฎเกณฑ์ของโลกทิพย์ทั้งสาม วังทวีสูญก็มิอาจปกป้องเขาได้ เขาเองก็ต้องชดใช้! แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีทางโง่งมถึงเพียงนั้น
“ข้าจะไม่สังหารเขาหรอก เหมือนกับที่เขาพูดเองนั่นแหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแสยะยิ้ม “โทษตายละเว้นได้ โทษเป็นกลับยากจะหลบเลี่ยง ข้าก็จะชิงเอาสมบัติล้ำค่าทั้งหมดของเขาไป ให้เขาลิ้มรสการลงโทษของตำหนักลงทัณฑ์แห่งวังทวีสูญของข้าดูบ้าง สุดท้ายค่อยนำตัวเขาที่สมบูรณ์ดีส่งกลับไป”
……………………………….