ราชันเร้นลับ 597 : แผนของไคลน์

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 597 : แผนของไคลน์ โดย Ink Stone_Fantasy

ลาเนวุสคงเป็นลำดับ 8 ‘นักต้มตุ๋น’ บนเส้นทางนักจารกรรม จึงเข้าใจได้ไม่ยากหากจะมี ‘ตั๋ว’ เข้าร่วมชุมนุมลับดังกล่าวในครอบครอง…

ค่อนข้างสมเหตุสมผล… หากเป็นสมบัติวิเศษที่สามารถขโมยพลัง ชุมนุมผู้สันโดษแห่งชะตาน่าจะหาซื้อได้ง่ายกว่าใคร… นี่คือสิ่งที่วิล·อัสติน อสรพิษแห่งชะตา พยายามบอกเรา…

ไคลน์นั่งบนขอบเตียงนอน ในใจค่อนข้างมีความสุข

มันเริ่มประกอบพิธีกรรม ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก นำเข็มกลัดขนาดเท่าดวงตากลับมายังโลกจริง

หลังจากสำรวจเข็มกลัดที่สลักเครื่องหมาย ‘ชะตา’ และ ‘การปกปิด’ อย่างละเอียด ด้านหลังมีภาษาเฮอร์มิสโบราณเขียนว่า :

‘สามารถเข้าร่วมได้ถ้ามีสิ่งนี้’

ไคลน์เตรียมถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป เพื่อกระตุ้นกลไกการทำงานของเข็มกลัดและรอรับข้อมูลการชุมนุมครั้งถัดไป ทั้งเวลาและสถานที่

แต่จู่ ๆ กลับชะงักมือกลางคัน

ประมาทเกินไปแล้ว! เราลืมทำนายยืนยันระดับอันตรายได้ยังไง… หากมีครึ่งเทพที่รู้จักกับลาเนวุสอยู่ในชุมนุมด้วย อีกฝ่ายอาจระบุตำแหน่งของเราได้ทันที หลังจากนั้นคงมีแต่ความฉิบหายตามมา อะไรก็เกิดขึ้นได้ แม้แต่พลเรือโทโรคภัย·เทรซี่ก็ยังมีครึ่งเทพคอยปกป้องไม่ห่างกาย เราไม่ควรประมาท…

เกิดเป็นชาย ต้องรู้จักจังหวะใช้ความกล้าและความปอดแหกให้เป็นประโยชน์!

ไคลน์ตบหน้าผากตัวเองหนึ่งฉาด กลับไปยังมิติเหนือสายหมอกด้วยความไม่ประมาท ทำนายยืนยันอันตรายครั้งที่สองด้วยเทคนิคลูกตุ้มวิญญาณ

หลังจากยืนยันว่าปราศจากอันตราย มันเริ่มหายใจทั่วท้อง ออกจากมิติหมอก นั่งลงบนเก้าอี้เอนหลังภายในห้องโรงแรม

ด้วยการถ่ายเทพลังวิญญาณ ผิวเข็มกลัดเริ่มปรากฏชั้นลำแสงเคลือบปกคลุม ก่อนจะรวมตัวกลายเป็นเสาลำแสงไร้เสียง ยิงขึ้นไปในอากาศ

ไม่นานหลังจากนั้น แสงลักษณะเดียวกันส่องย้อนกลับมา ฉายภาพมายาขนาดเท่าฝ่ามือลงบนพื้น เป็นข้อความเขียนด้วยอักษรฟุซัคโบราณ

“6 มิถุนายน 1350 สามทุ่มตรง ปากแม่น้ำทัสซอค”

อีกสี่เดือน… ด้วยเวลานานขนาดนั้น หากใช้วิธีการปรกติ เราคงรวบรวมวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘นักเชิดหุ่น’ ได้ครบหมดแล้ว ไม่ต้องเสียเวลารอช่วงชิงจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลังให้วุ่นวาย… ติดแค่เรื่องเดียวตรงที่มีเงินไม่พอ… แต่ถ้าจะทำจริง ๆ ก็ไม่ยากเกินกำลัง ตอนนี้เรามีเงินพร้อมใช้ 6,945 ปอนด์ อีกทั้งยังสามารถขายตะกอนพลังพิเศษได้อีกหนึ่งถึงสองก้อน…

ไม่เพียงเท่านั้น บนท้องทะเลยังเต็มไปด้วยเงินค่าหัวลอยน้ำ ไม่สิ เราไม่ควรโอหังเกินไป คงต้องตัดสี่ราชาโจรสลัดกับเจ็ดพลเรือโจรสลัดออกไปก่อน… วิล·อัสตินมอบเบาะแสประสาอะไรกัน ทำไมเราต้องรอนานถึงสี่เดือน? หมอนั่นเป็นอสรพิษแห่งชะตาจริงหรือ?

ไคลน์โน้มตัวไปด้านหน้า ประสานสองมือ ภายในใจเค้นสมองครุ่นคิดอย่างหนัก

ทันใดนั้น เมื่อไตร่ตรองเกี่ยวกับชุมนุมผู้สันโดษแห่งชะตาอย่างละเอียด ไคลน์พลันนึกถึงชายคนหนึ่ง

เลียวนาร์ด·มิเชล!

นักกวีและอดีตพวกพ้องคนนี้เคยเข้าร่วมชุมนุมผู้สันโดษแห่งชะตาในลำธารหุบเขาบาบูร์!

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เป็นงานส่วนตัวหรืองานราชการ แต่ชายคนนั้นสามารถตามหาสมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังได้ง่ายกว่าเราแน่นอน… มีสิทธิ์ยืมหรือซื้อต่อจากหมอนั่นได้…

นี่คือเบาะแสที่แท้จริงจากวิล·อัสติน?

ไคลน์เริ่มกระฉับกระเฉง รีบวางแผนอนาคตอย่างคร่าวทันที

“ขั้นแรก ต้องวางเครื่องรับโทรเลขไปไว้บนมิติหมอกเพื่อให้ออร่าปนเปื้อน ขั้นที่สอง รอให้ผ่านไปสองสามวัน ใช้เครื่องรับสัญญาณโทรเลขดังกล่าวติดต่อกับกระจกวิเศษอาโรเดส ขั้นที่สาม ถามว่าเราจะหาสมบัติวิเศษที่มีพลังช่วงชิงได้จากที่ไหนง่าย ๆ บ้าง หากคำตอบชัดเจน ขั้นที่สี่คือการวางแผนครอบครองตามข้อมูลดังกล่าว บรรลุเป้าหมายอย่างเรียบง่าย… แต่ถ้าคำตอบคลุมเครือหรือเต็มไปด้วยอันตราย ขั้นที่สี่จะกลายเป็นการถามว่าเพื่อนรักนักกวีของเราอยู่ที่ไหน ขั้นที่ห้า ให้สหายเอ็มลิน·ไวท์นำเข็มกลัดชิ้นนี้ไปหาเพื่อนรักนักกวี สอบถามว่าอีกฝ่ายมีสิ่งที่เราต้องการหรือไม่ หากมี พร้อมขายไหม… เราจะไม่โผล่หน้าไปเองเด็ดขาด เพราะอาจถูกจำหน้าได้หากทำพลาดแม้เพียงเล็กน้อย นั่นจะทำให้เกิดปัญหาตามมานับไม่ถ้วน… และเหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้เอ็มลินกลายเป็นคนของโบสถ์พระแม่ธรณีไปแล้ว ไม่สิ ต้องเรียกว่า ‘ผี’ ของโบสถ์พระแม่ธรณี การให้หมอนั่นติดต่องานแทนเรา ถึงจะโชคร้ายถูกเพื่อนรักนักกวีไปแจ้งกับเบื้องบน หรือถูกจับกุมตัวทันทีในฐานะผู้วิเศษเถื่อน แต่เรื่องราวก็จะไม่ลุกลามบานปลายแน่นอน”

เมื่อวางแผนอนาคตพร้อมด้วยรายละเอียดเสร็จสิ้น ไคลน์รู้สึกสดชื่นทันที อารมณ์แจ่มใสจนอยากออกไปหาปลาย่างสูตรเมืองบายัมด้านนอกโรงแรมกินให้หนำใจ

เหนือท้องทะเลสีน้ำเงินเข้ม ฝันทองคำ นาวาร่วมสมัยที่ผิวฉาบด้วยแสงสะท้อนสีทองอร่ามจากดวงอาทิตย์ กำลังแล่นไปบนคลื่นทะเลอย่างเงียบเชียบ

เมื่อเดนิสถูกกัปตันเรือเรียกพบ ท่ามกลางสายตาริษยาจากทุกทิศ มันเดินเชิดคางเข้าไปในห้องของเอ็ดวิน่าอย่างหยิ่งทระนง

สภาพภายใน เกือบทั้งหมดของกำแพงคือชั้นหนังสือ ทุกชั้นเต็มไปด้วยหนังสือวางแน่นขนัด

พลเรือโทรธารน้ำแข็ง·เอ็ดวิน่ากำลังยืนใกล้โต๊ะทำงาน ถือปากกาหมึกซึมสีดำ เขียนข้อความอย่างคล่องแคล่ว :

“ดิฉันไม่มีสมบัติวิเศษที่คุณต้องหาร เช่นเดียวกันกับโจเดอร์สัน เขาบอกว่าจะช่วยจับตามองให้ แต่คุณจำเป็นต้องมีโชคอย่างมากจึงจะได้ครอบครอง”

เอ็ดวิน่าเงยหน้า ดวงตาสีฟ้าครามราวกับน้ำพุกำลังจ้องมาทางเดนิส

“คุณต้องเป็นคนประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์”

“ผม…?” เดนิสครุ่นคิดมาตลอดทางว่าตนจะได้รับรางวัลใดจากกัปตัน แต่เมื่อเผชิญกับคำสั่งเหนือความคาดหมาย จึงเลื่อนนิ้วขึ้นมาชี้หน้าตัวเองอย่างประหลาดใจ

“ถูกต้อง” เอ็ดวิน่าพับกระดาษใส่ซอง เหยียดตัวตรง พยักหน้าแผ่วเบา “การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับพิธีกรรมที่คล้ายคลึงกัน ในอนาคต ฉันจะสอบพวกคุณในหัวข้อนี้ด้วย”

“ครับ…” เดนิสสลัดความผิดหวัง ทำหน้านึกเกี่ยวกับรายละเอียดของพิธีกรรม

ผ่านไปอย่างเชื่องช้า เพลิงพิโรธจัดตั้งแท่นบูชาที่มีเทียนไขหนึ่งเล่มเสร็จ

ท้ายที่สุด ภายใต้การจับจ้องจากเอ็ดวิน่า โจรสลัดหนุ่มล้วงหยิบเหรียญทองปอนด์โลเอ็นออกมาวางยังกึ่งกลางแท่น

รับซองจดหมาย เดนิสซ้อมท่องคาถาในใจสองหนก่อนจะเริ่มปฏิบัติจริง

มันก้าวถอยหลัง เปล่งเสียงเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ

“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามของข้า! สัตว์วิญญาณผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่เพียงผู้เดียว!”

ฟ้าว!

เกิดลมหมุนกระโชกภายในกำแพงวิญญาณ ส่งผลให้เส้นผมเหลืองเพลิงของเดนิสชี้ขึ้นไปในอากาศอย่างไม่เป็นทรง

เปลวไฟบนเทียนไขเพียงเล่มเดียวเริ่มขยายตัวจนมีขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ สีของไฟซีดเซียวประหนึ่งซองจดหมายในมือเดนิส

เพียงพริบตา เดนิสเห็นเส้นผมยาวสลวยสีทองอ่อน ดวงตาแดงก่ำเหมือนเลือด โผล่ออกมาจากเปลวไฟเทียนไขอย่างเชื่องช้า ตามด้วยใบหน้าใบหน้าสุดแสนงดงาม

หืม… ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ช่างไม่ธรรมดา ทำไมสัตว์วิญญาณถึงมีหน้าตาเหมือนกับมนุษย์ได้? แถมยังงดงามเป็นรองกัปตันแค่นิดเดียวเท่านั้น…

ครุ่นคิดยังไม่ทันขาดคำ เดนิสพลันสะดุ้งโหยง เนื่องจากมันพบว่าศีรษะของหญิงสาวลอยออกมาอย่างเปลือยเปล่าโดยไม่ช่วงคอรองรับ แต่ถูกหิ้วด้วยฝ่ามือสีขาวในท่าดึงผม

มันยืนจ้องศีรษะที่โผล่ออกจากเปลวเทียนหัวแล้วหัวเล่า จนกระทั่งเห็นร่างไร้ศีรษะที่สวมเดรสสีดำหรูหราลอยตามออกมาทีหลังสุด

นึกแล้วเชียว… สัตว์วิญญาณก็ยังคงเป็นสัตว์วิญญาณวันยังค่ำ! เดนิสเกิดความละอายใจที่เคยนำความสวยไปเปรียบเทียบกับเอ็ดวิน่า

สูดหายใจลึก เดนิสรีบยื่นซองจดหมายไปหาอีกฝ่าย และเห็นศีรษะอันงดงามข้างหนึ่งอ้าปากกว้าง ก่อนจะงับลงบนจดหมายอย่างอ่อนโยนด้วยฟันสีขาว

พร้อมกันนั้น อีกหนึ่งหัวของไรเน็ตต์หันไปงับเหรียญทองปอนด์กึ่งกลางแท่นบูชา

แต่เธอยังไม่กลับไปทันที ดวงตาสีแดงสดสี่ข้างของอีกสองหัวพลันกลอกพร้อมกัน มองไปทางเอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดที่ด้านนอกกำแพงวิญญาณ สำรวจหญิงสาวหัวจรดเท้าสองสามหน

เอ็ดวิน่ารู้สึกราวกับตนถูกอีกฝ่ายเก็บรายละเอียดอย่างทะลุปรุโปร่ง และเป็นการยากที่จะระดับความหวาดกลัวเจือจางซึ่งเริ่มก่อตัว

ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ถอนสายตากลับ ร่างกายที่คมชัดแปรเปลี่ยนเป็นมายา หายเข้าไปในเปลวไฟเทียนไขสีขาวซีดของพิธีกรรม

เปลวไฟเริ่มหดหัวลง กลับคืนสีสันตามธรรมชาติ ทุกสิ่งกลายเป็นปรกติอีกครั้ง

ขณะเดนิสสลายกำแพงวิญญาณ มันได้ยินเสียงกัปตันพึมพำแผ่วเบา :

“นั่นไม่ใช่สัตว์วิญญาณธรรมดา…”

ไม่ใช่สัตว์วิญญาณธรรมดา…? เดนิสถึงกับอึ้ง

มันย่อมทราบว่ากัปตันของตนคือนักวิจัยสัตว์วิญญาณมืออาชีพ หากเธอพูดว่าไม่ธรรมดา หมายความว่าจะต้องเป็นความไม่ธรรมดาระดับที่ไม่ธรรมดา เป็นความพิสดารที่เหนือจินตนาการตนไปอีกหลายขั้น!

ทำไมเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถึงเต็มไปด้วยปริศนามากเช่นนี้… เดนิสรำพัน

กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด

ฟอร์สพยายามอย่างสุดฝีมือ จนกระทั่งสามารถเอาชนะความเกียจคร้านอันเกิดจากความอบอุ่นของเตาผิง หญิงสาวเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเดรสสีน้ำเงินเข้ม หุ้มด้วยผ้าพันคอสีเทาอ่อน สวมหมวกสตรีอบอุ่น ออกจากบ้านเช่าไปเผชิญกับสภาพอากาศเย็น หมอกหนาทึบ แต่ยังไม่หนาวจนเกินไป ขึ้นรถม้าเช่านั่งไปลงถนนวิลเลียมส์

หญิงสาวสูดอากาศเย็นเข้าปอด พร่ำบอกกับตัวเองว่านี่เป็นเพียงกิจวัตรประจำวันของนักเขียนนิยาย ไม่ต้องกดดัน ไม่ต้องทำตัวผิดปรกติ

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฟอร์สเลี้ยวเข้าร้านกาแฟ นั่งลงริมหน้าต่าง ดื่มเครื่องดื่มอบอุ่นกลิ่นหอมฉุย พลางสำรวจผู้คนที่เดินผ่านไปมารอบร้าน

ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ ไม่มีแม้แต่การวิ่งราวหรือทะเลาะวิวาท… สมแล้วที่เป็นย่านคนรวย ระดับความปลอดภัยสูงกว่าฝั่งตะวันออกนับร้อยเท่า…

หืม… นั่นคือชาวฟุซัค สูงโปร่งแข็งแรง… เหมือนกับพวกหมีป่า… มักเดินด้วยกันเป็นกลุ่มสองสามคน… ฮะฮะ! นั่นต้องเป็นชาวอินทิสแน่! แต่งตัวได้โดดเด่นชะมัด คิดว่าตัวเองเล่นละครเวทีอยู่หรือไง… สมแล้วที่กรุงเบ็คลันด์คือมหานครแห่งนคร มีชาวต่างชาติเดินขวักไขว่เต็มไปหมด…

ฟอร์สเริ่มลืมจุดประสงค์ของตัวเองทีละนิด สมุดบันทึกถูกเปิดออกเพื่อจดไอเดียสำหรับเขียนนิยาย

ดื่มกาแฟเสร็จ หญิงสาวเดินวนรอบถนนวิลเลียมส์หนึ่งจบ และออกจากจุดดังกล่าวโดยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือแม้แต่สิ่งเดียว วางแผนกลับมาใหม่ในวันอังคาร

หลังจากไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์นำจดหมายของเอ็ดวิน่ามาส่ง ไคลน์จ้องมองผู้ส่งสารขอตนเลือนหายไป ยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่เรียกร้องเหรียญทองปอนด์เพิ่มเติม

หมายความว่า เราสามารถหลอกให้คนอื่นเข้าใจว่าเหรียญทองปอนด์เป็นเครื่องเซ่นในพิธีกรรม…

ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง เปิดซองจดหมายและคลี่อ่าน

เมื่อพบว่ายังไม่มีความคืบหน้า มันเตรียมออกไปเดินเล่นบนถนน มองหาโอกาสสวมรอยเป็นใครสักคนเพื่อให้โอสถย่อยไปจากเดิม

ทันใดนั้น ไคลน์ได้ยินเสียงเคาะประตู ผู้มาเยือนคือกัปตันไอร์แลนด์

“ผมกำลังตามหาคุณพอดี” ไคลน์เปิดประตูและทักทายอย่างใจเย็น

ไอร์แลนด์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องนั้นไม่จำเป็น ตราบใดที่คุณใช้ชื่อตัวเองเช็กอินห้องพัก ผมจะทราบทันทีว่าคุณอยู่ที่ไหน”

นายกเทศมนตรีกับกองทัพควบคุมข้อมูลของทุกโรงแรมไว้ในมือสินะ… ไคลน์พยักหน้า

ไอร์แลนด์หมุนตัวครึ่งรอบ ชี้ไปยังทางเดิน

“ผมจะพาคุณไปพบใครบางคน โมราขาวใกล้ถึงกำหนดกลับท่าเรือพริสต์แล้ว หากคุณต้องการความช่วยเหลือหรือแจ้งเบาะแส สามารถติดต่อเขาได้ทันที ในแง่การตกรางวัล พวกเราขึ้นชื่อว่าใจกว้างกว่าใคร”

นี่คือข้อตกลงที่ไคลน์เคยเสนอกับไอร์แลนด์ไปในการพบกันเมื่อคราวก่อน

“ไม่เลว” ไคลน์เหยียดแขนไปทางราวผ้า

หลังจากแต่งตัวเสร็จ ไอร์แลนด์เดินนำทางชายหนุ่มไปถึงผับใบไม้หอม จากนั้นก็ตรงไปยังมุมหนึ่งของร้าน

ณ ห้องใต้ดินของผับใบ้ไม้หอม

‘นักเจรจา’ มีซอร์·คิง จ้องไปยัง ‘ชายฉกรรจ์’ โอซิลฝั่งตรงข้ามพลางกล่าว

“ตกลงว่านายได้ข้อมูลล่าสุดของเพลิงพิโรธ·เดนิสมาหรือยัง?”

“เรียบร้อย” โอซิลตอบพลางยิ้ม “เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน เนตรสีฟ้า·มีธ ระบุว่ามันพบเพลิงพิโรธ·เดนิสพร้อมกับนักผจญภัยปริศนาคนหนึ่ง”

……………………