ราชันเร้นลับ 596 : เบาะแส โดย Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางวังหรูหราที่รายล้อมด้วยเสาหินต้นใหญ่มากมาย ไคลน์เอนกายพิงเก้าอี้สีดำพนักสูง ปลายนิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว ในใจกำลังตัดตัวเลือกที่พลเรือเอกดวงดาวเสนอออกไป
เหตุผลไม่ซับซ้อน มันแทบไม่มีความสัมพันธ์กับโบสถ์สุริยันเจิดจรัสเลย ยากจะติดต่อหาใครมาช่วยเหลือ ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ไคลน์เคลือบแคลงว่า ‘ผู้เจิดจรัส’ อาจไม่ทรงพลังพอที่จะขจัดจิตกัดกร่อนออกจาก ‘ดวงตาดำล้วน’ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เดอะเฮอร์มิทเสนอวิธีดังกล่าวโดยอ้างอิงจากตะกอนพลังที่ปนเปื้อนของผู้คลุ้มคลั่งทั่วไป มิใช่การถูกกัดกร่อนจากพระผู้สร้างแท้จริงโดยตรง
ในทางปฏิบัติ เราคงไม่สามารถหาเทวทูตหรือเทพแท้จริงมาช่วย ‘ทำลาย’ ตะกอนพลังให้แตกละเอียดได้…
ในทางทฤษฎี เราสามารถทำนายถึง ‘สุริยันเจิดจรัส’ บนมิติสายหมอก และอาศัยพลังตอบสนองของอีกฝ่ายเพื่อทำลายดวงตาดำล้วนให้กลายเป็นเศษผง…แต่ปัญหาคือ ทางนั้นเคยมีประสบการณ์กับมิติสายหมอกมาแล้ว หนนี้อาจถึงขั้นบุกรุกมิติเหนือสายหมอกสำเร็จ และช่วงชิงอำนาจการปกครองไปจากเรา…ผลลัพธ์ไม่คุ้มเสี่ยงเลยสักนิด…
หรือต่อให้อีกฝ่ายบุกรุกไม่สำเร็จ แต่เราก็ไม่มั่นใจว่าจะควบคุมพลังที่ตอบโต้กลับมาอย่างฉับพลันได้ทัน ยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าจะใช้วิธีใดเบี่ยงเบนความเสียหายไปยังดวงตาดำล้วนแทนตัวเรา…
อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ การทำนายถึงสุริยันเจิดจรัสไม่ใช่เรื่องง่าย เราเคยทำได้ในอดีตเพราะมีสื่อกลางอย่าง ‘ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยัน’ ที่บรรจุโลหิตเทพ เหมือนกับเมื่อครั้ง ‘ใบหูสีดำ’ ที่ถูกพระผู้สร้างแท้จริงกัดกร่อน ปัจจุบัน หากนับเฉพาะสื่อกลางในมือ เราจะติดต่อได้เพียง ‘มิสเตอร์ประตู’ และ ‘ปราชญ์เร้นลับ’ รายหนึ่งกระทำผ่านเสียงเพรียกขอความช่วยเหลือที่มิสเมจิกเชี่ยนได้ยิน ส่วนอีกรายกระทำผ่านพิธีกรรมที่พลเรือเอกดวงดาวพยายามไล่ล่าความรู้…
แต่ติดปัญหาเดียวกับข้อด้านบน เรายังไม่ทราบวิธีเบี่ยงเบนพลังตอบสนองไปยังดวงตาดำล้วน มิสเตอร์อะซิกยังฟื้นฟูพลังได้ไม่เต็มที่ วิล·อัสติน อสรพิษแห่งชะตา ยังไม่คลอดจากครรภ์มารดา เมื่อลองใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ไม่มีเทวทูตตนใดช่วยเหลือเราได้… เราเองก็ไม่ได้รู้จักครึ่งเทพสักเท่าไรอยู่แล้ว…จริงสิ…ยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกในระดับเทวทูต นั่นคือวิญญาณมารของราชาเทวทูต·เมดีซีที่ถูกผนึกในอาคารโบราณใต้ดินในกรุงเบ็คลันด์…
แต่จุดมุ่งหมายของมันยังเป็นปริศนา ไม่มีทางเดาได้เลยว่ากำลังวางแผนชั่วร้ายอะไรอยู่ หากไม่จนปัญญาอย่างแท้จริง เราไม่มีวันให้มันช่วยเด็ดขาด… ใช่แล้ว… เราไม่ควรนำชีวิตตัวเองไปเสี่ยงโดยเปล่าประโยชน์ หากจนปัญญา ก็แค่ยอมปล่อยวางจากดวงตาดำล้วน กลับไปหาซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘นักเชิดหุ่น’ ตามปรกติ ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นละอองของวิญญาณอาฆาต กับผลึกแก่นของกากอยล์หกปีก สำหรับชนิดแรก คงหาได้ไม่ยากในโลกแห่งความตาย ดูเหมือนว่า เราคงต้องหาซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถไปพลาง…
ขณะเดียวกันก็ต้องคอยสอดส่องมองหาสมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังพิเศษได้เหมือนกับ ‘เส้นเลือดหัวขโมย’ เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว ถ้าเราใช้วิธีนี้โดยมีมิติสายหมอกสนับสนุน ก็ไม่ต้องกังวลว่าพลังที่ช่วงชิงมาจะย้อนกลับไปหาดวงตาดำล้วน วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เมื่อการช่วงชิงจิตกัดกร่อนออกจากดวงตาดำล้วนสำเร็จ ก็แค่โยนวัตถุวิเศษทิ้งไว้บนมิติสายหมอก และประกอบพิธีกรรมนำดวงตาดำล้วนกลับมายังโลกจริง เพียงเท่านี้ วัตถุทั้งสองชนิดจะถูกกีดขวางในเชิงกายภาพโดยสมบูรณ์ จิตกัดกร่อนบนมิติสายหมอกจะมิอาจไหลย้อนมายังโลกความจริง แต่ปัญหาก็คือ เราจะหาวัตถุวิเศษชนิดดังกล่าวได้จากไหน… มิสเตอร์แฮงแมนมีท่าทีเงียบขรึมหลังจากได้อ่านข้อมูล…
เราอาจตีความได้ว่า ทางนั้นก็ไม่มีเบาะแสเหมือนกัน… ไว้ถึงชุมนุมทาโรต์ครั้งถัดไปเมื่อไร เราค่อยขอความช่วยเหลือจากเฮอร์มิท เดอะซัน จัสติส เอ็มลิน เมจิกเชี่ยน ให้พวกเขาสอบถามจากเครือข่ายส่วนตัว สำหรับสัปดาห์นี้ คงต้องพยายามด้วยตัวเองไปก่อน เริ่มจากการติดต่อพลเรือโทธารน้ำแข็ง ให้เธอสอบถามผู้ช่วยรองกัปตัน ‘หูกระต่ายบุปผา’ โจเดอร์สัน ผู้มีความสามารถช่วงชิงพลังพิเศษเป้าหมาย บางทีเขาอาจทราบเบาะแสของสมบัติวิเศษบนเส้นทางเดียวกัน…
ไคลน์ตกตะกอนความคิดอย่างใจเย็น วางแผนระยะใกล้ ระยะกลาง ระยะยาว
ชายหนุ่มทำนายยืนยันระดับอันตรายเป็นครั้งสุดท้าย ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง ออกจากสภาพที่กำลังเอนกายบนเก้าอี้นอนพร้อมกับถือแก้วเครื่องดื่มและอ่านหนังสือพิมพ์
ถัดมา แท่นบูชาถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว
พิธีกรรมยังคงใช้เทียนไขสามเล่ม แต่จุดประสงค์ของเทียนไขแตกต่างออกไปจากปรกติ กระดาษสำหรับวาดสัญลักษณ์ถูกเปลี่ยนตราศักดิ์สิทธิ์ของเทพปัญญาความรู้ เนตรแห่งปัญญาดวงหนึ่ง ซึ่งลอยเหนือหนังสือแนวนอนที่กำลังกางออก ไม่เพียงเท่านั้น กริชเงินของพิธีกรรมก็ยังถูกเปลี่ยนเป็นกริชทองเหลือง
ในเชิงศาสตร์เร้นลับ ดวงดาวที่เกี่ยวข้องกับเทพปัญญาความรู้คือดาวสีฟ้า โลหะที่อยู่ในขอบเขตของดาวสีฟ้าคือทองเหลืองและปรอท
ไคลน์เตรียมตัวติดต่อพลเรือโทธารน้ำแข็งมาสักพักแล้ว พิธีกรรมวิญญาณสถิตจึงถูกจัดขึ้นอย่างชำนาญโดยไม่ต้องเสียเวลาหาวัสดุ เมื่อเตรียมการพื้นฐานเสร็จ ผงสมุนไพรถูกเผาจนเกิดกลิ่น ตามด้วยการหยดลาเวนเดอร์ สะระแหน่ และน้ำค้างบริสุทธิ์ลงไป
กลิ่นลึกลับอันสดชื่น น่าหลงใหล และเงียบสงบลอยฟุ้ง ไคลน์ก้าวถอยหลัง ปากขยับพึมพำคาถาเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“ข้าวิงวอนขอพลังแห่งความรู้ ข้าวิงวอนขอพลังแห่งเหตุและผล ข้าวิงวอนขอความสนใจจากเทพปัญญาความรู้ ข้าปรารถนาที่จะสื่อสารทางวิญญาณกับอาจารย์ผู้แสวงหาความรู้ นักวิจัยสัตว์วิญญาณ พลเรือโทธารน้ำแข็งแห่งท้องทะเล เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดแห่งลุนด์เบิร์ก”
…
หลังจากเสียงไคลน์ก้องกังวานไปได้สักระยะ บรรยากาศภายในแท่นบูชาเริ่มเย็นขึ้น ไม่ว่าจะกริชทองเหลืองหรือวัสดุชนิดอื่น ๆ เริ่มลอยขึ้นไปในอากาศ
สำเร็จ…! ฝันทองคำยังอยู่ไม่ห่างจากเราเกินห้าร้อยไมล์ทะเล…
ไคลน์เริ่มตื่นเต้น จากนั้นก็เห็นเปลวไฟบนเทียนไขทั้งสามเล่มยืดยาวขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถูกย้อมด้วยสีเขียวซีด
ชายหนุ่มทราบหลักการของพิธีกรรมวิญญาณสถิตเป็นอย่างดี แก่นสำคัญคือการปล่อยสังขารตนเป็นอิสระ ยอมให้วิญญาณของเป้าหมายลงมาสถิตในสังขารแทน เกิดเป็นการเชื่อมต่อทางวิญญาณสมบูรณ์แบบที่ปราศจากการป้องกัน ในกรณีนี้ ไคลน์มีสิทธิ์ถูกอีกฝ่ายโจมตีได้ง่าย จึงต้องมีการทำนายถึงอันตรายล่วงหน้าไว้ก่อน โดยผลลัพธ์ระบุว่าไม่เลวร้ายนัก
เมื่อผนวกเข้ากับอุปนิสัยของพลเรือโทธารน้ำแข็งตามมุมมองของไคลน์ มันเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะมีเจตนาร้าย
ถึงจุดนี้ เสียงสายลมภายในกำแพงวิญญาณเริ่มหวีดร้องอย่างโศกเศร้า อากาศเย็นเฉียบที่มองไม่เห็นเริ่มรุกล้ำร่างกายอย่างท่วมท้น พยายามยึดครองสิทธิ์ในการควบคุมสังขาร
ทว่า ชายหนุ่มพลันประหลาดใจเมื่อพบว่าตนสามารถขัดขืนมิให้วิญญาณของเอ็ดวิน่าเข้ามาสิ่งร่าง และมีสิทธิ์จัดการกับดวงวิญญาณของเธอได้อย่างอิสระ
เกิดอะไรขึ้น…?
ขณะครุ่นคิด สายตาไคลน์เหลือบเห็นหมอกล่องหนอันเลือนรางรอบตัว
สำหรับหมอกล่องหนเหล่านี้ มันเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งสมัยเพิ่งเลื่อนลำดับเป็นผู้ไร้หน้าได้ไม่นาน เป็นหลักฐานยืนยันว่า มิติหมอกเริ่มส่งอิทธิพลกับโลกความจริงมากขึ้นทีละนิด
ชายหนุ่มรีบตัดสินใจโดยไม่ลังเล โบกแขนไปทางตู้เสื้อผ้าที่มีโค้ทยาวแขวนอยู่ โอนถ่ายพลังลึกลับและเย็นเฉียบตรงไปยังทิศทางดังกล่าว
ทันใดนั้น โค้ทสีดำตัวใหญ่ของไคลน์เริ่มเกิดการขยับเขยื้อน แขนเสื้อโบกขึ้นลงอย่างงุ่มง่ามประหนึ่งมีคนพยายามสวมใส่
ราวกับตรงนั้นมีมนุษย์ล่องหนยืนอยู่!
โค้ทดำที่ลอยตัวกลางอากาศเดินมาข้างหน้าราวสองก้าว จากนั้นก็หยุด
แขนเสื้อทั้งสองข้างไขว้กันเป็นรูปตัว ‘X’
หมายความว่ายังไง…?
ไคลน์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเข้าใจความนัยที่พลเรือโทธารน้ำแข็งต้องการจะสื่อ
ไม่มีปาก พูดไม่ได้ ไม่มีมือ เขียนไม่ได้
ให้ตายสิ…
ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบกลับฉะฉาน
“ผมต้องการสมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังพิเศษ ไม่ทราบว่าคุณมีหรือไม่ หากไม่มี รบกวนถามผู้ช่วยรองกัปตันให้หน่อยได้ไหม ผมหมายถึง ‘หูกระต่ายบุปผา’ มิสเตอร์โจเดอร์สัน ส่งคำตอบโดยการเขียนใส่จดหมายและอัญเชิญผู้ส่งสารของผม”
เสื้อโค้ทสีดำเริ่มคลายแขนลง กลับไปแนบชิดข้างลำตัวอย่างเรียบร้อยอีกครั้ง
ถัดมา ประหนึ่งวิญญาณล่องหนสลายไปกับความว่างเปล่า โค้ทสีดำของไคลน์หล่นลงพื้นโดยปราศจากแรงต้าน มิได้ตั้งตรงคงสภาพเหมือนเมื่อครู่
สรุปว่า ‘ตกลง’ ใช่ไหม?
ไคลน์ถอนหายใจเงียบ สิ้นสุดพิธีกรรม แขวนโค้ทสีดำกลับคืนราวผ้า ทำความสะอาดมันด้วยแปรงและผ้าเช็ดหน้า
ถัดมา ชายหนุ่มเขียนจดหมายถึงอะซิก สอบถามในประเด็นเดียวกัน
ไคลน์เป่านกหวีดทองแดง อัญเชิญผู้ส่งสาร หลังจากโครงกระดูกรับจดหมาย ชายหนุ่มพลันฉุกคิดถึงอีกหนึ่งช่องทางข้อมูลของตน
ไคลน์นำนกกระเรียนกระดาษออกจากกระเป๋าสตางค์ คลี่ออกอย่างระมัดระวัง เขียนด้วยดินสอ :
“ฉันจะหาสมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังพิเศษได้จากที่ไหน”
วางดินสอลง ไคลน์พับกระดาษกลับไปตามรอยเก่าจนคืนรูปทรงนกกระเรียน พลางชื่นชมฝีมือสุดแสนประณีตของตัวเองในใจ
…
ตกกลางคืน ไคลน์เข้ามิติหมอกไปตรวจสอบคำวิงวอนจากสาวกเทพสมุทร จากนั้นก็กลับสู่โลกความจริง เดินเข้าห้องน้ำและชำระล้างร่างกายด้วยน้ำอุ่นแสนสบาย
สิ่งนี้ช่วยให้ไคลน์หลับสนิททันทีเมื่อหัวถึงหมอน จนกระทั่ง ความฝันถูกใครบางคนบุกรุก
ภูมิประเทศในความฝันเป็นที่ราบ รกร้างว่างเปล่า และมียอดหอคอยสีดำเช่นเดิม ไคลน์เดินอย่างชำนาญผ่านประตูและกำแพงพิศวง จนมาถึงห้องลึกสุดด้านในหอคอย
ยังคงมีไพ่ทาโรต์วางกระจัดกระจายเช่นเคย ส่วนใหญ่ถูกกองรวมกันรอบพื้นยกสูงกลางห้อง ลักษณะคล้ายกำลังบอกใบ้บางสิ่ง
ในฐานะนักทำนาย มันตีความว่าสัญลักษณ์ดังกล่าวหมายถึงความสับสนและขัดแย้ง
เหนือพื้นยกสูง ข้อความสีเงินเปลี่ยนไปจากคราวก่อน หนนี้มีด้วยกันสามประโยค
ประโยคแรก :
“ข้าเป็นเพียงทารกที่ยังไม่คลอด”
ไคลน์พลันชะงัก รู้สึกราวกับได้ยินเสียงทารกร้องกระจองอแงว่า ‘ได้โปรดอย่ารบกวนข้าอีก การสื่อสารด้วยวิธีนี้ทำให้ข้าเหนื่อยมาก’
ประโยคที่สองสั้นกระชับ
“เบาะแสอยู่ในตัวเจ้า”
ประโยคที่สาม :
“อย่าได้ถามว่าเบาะแสคือสิ่งใด เพราะข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”
หรือก็คือ วิล·อัสติน อสรพิษแห่งชะตา มองเห็นเบาะแสบางอย่างในตัวเรา แต่เห็นไม่ชัดเจนว่าเป็นเบาะแสเกี่ยวกับอะไร… คำตอบเหมือนกับพวกนักต้มตุ๋น… ไม่สิ ไม่ควรนำนิสัยของตัวเองไปเทียบกับอสรพิษแห่งชะตา…
ไคลน์จดจำคำแนะนำ ออกจากความฝัน หลับสนิทอีกครั้งจนกระทั่งรุ่งสาง
เสร็จสิ้นอาหารเช้า มันเริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเพิ่งประสบในช่วงหลัง มองหาเบาะแสที่วิล·อัสตินกำลังหมายถึง
ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณพลันถูกกระตุ้น ชายหนุ่มรีบเปิดเนตรวิญญาณสอดส่อง
โครงกระดูกสีขาวยังคงตัวใหญ่เหมือนเคย แต่มีความแตกต่างจากครั้งก่อน ศีรษะของมันมิได้เลยทะลุเพดานขึ้นไปตามปรกติ
สาเหตุเพราะว่า ผู้ส่งสารเริ่มปรากฏตัวจากชั้นล่าง ทำให้ร่างกายครึ่งบนอยู่ระดับเดียวกับห้องพักของไคลน์
อีกฝ่ายสบตาชายหนุ่ม นำจดหมายวางลงบนฝ่ามืออย่างมีมารยาท
เมื่อเห็นผู้ส่งสารหล่นลงไปด้านล่างในลักษณะคล้ายกับน้ำตกโครงกระดูก ไคลน์ยืนเงียบงันราวสองวินาที พึมพำด้วยน้ำเสียงขบขันเจือความโกรธเคืองเล็กน้อย
“มารยาทดีขึ้นนี่… เริ่มรู้จักกาลเทศะบ้างแล้วหรือ นับตั้งแต่ทราบว่าจะไม่ถูกส่งมาเป็นผู้ส่งสารประจำตัวเรา มันก็เปลี่ยนไปมาก…”
ไคลน์ถอนสายตากลับ คลี่จดหมายอ่านคำตอบจากมิสเตอร์อะซิกอย่างใจเย็น
“การขโมยพลังพิเศษคือลักษณะเฉพาะของเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ หากเป็นในยุคสมัยที่สี่ เส้นทางดังกล่าวจะอยู่ในความควบคุมของตระกูลอามุนด์ ตระกูลโซโรอาสเตอร์ และตระกูลเจคอป… แต่หลังจากสงครามสี่จักรพรรดิจบลง พวกเขาก็แทบไม่ปรากฏตัวอีกเลย กล่าวกันว่า สมาชิกบางส่วนของตระกูลข้างต้นจัดตั้งพันธมิตรขึ้น เรียกตัวเองว่า ‘ผู้สันโดษแห่งชะตา’ ผมจำรายละเอียดได้แค่นี้ คุณสามารถเริ่มสืบจากทายาทของทั้งสามตระกูลดังกล่าว”
อามุนด์… เข้าใจแล้ว ฉายา ‘ผู้เย้ยเทพ’ ได้เพราะพลังนี้เองหรือ… ตระกูลเจคอปคือหนึ่งในห้าตระกูลเทวทูตแห่งราชวงศ์ทูดอร์ ร่วมกันกับอับราฮัม อามุนด์ อันทีโกนัส และทามาร่า… ส่วนตระกูลโซโรอาสเตอร์มาจากจักรวรรดิโซโลมอน…
ผู้สันโดษแห่งชะตา…ชะตา…ผู้สันโดษ…เบาะแสอยู่กับตัวเรา…
ทันใดนั้น ไคลน์พลันเหยียดหลังตรง ในใจหวนนึกถึงสิ่งของชิ้นหนึ่ง
มันคือเข็มกลัดปริศนาที่ได้จากการรื้อค้นศพลาเนวุส ผิวเข็มกลัดสลักสัญลักษณ์ของ ‘ชะตา’ และ ‘การปกปิด’ ไว้อย่างชัดเจน!
……………………