บทที่ 334
ทวงความยุติธรรมให้เธอ
“ข้าได้ข่าวมาแล้ว” แม่นมมองไปรอบๆอยู่ชั่วขณะแล้วเอาหูไปแนบกับประตูและที่เตียง หลังจากที่เงียบไปนาน เมื่อเธอมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครแอบฟังอยู่ เธอก็เดินกลับมาที่เสี่ยวโหรว
“เร็วเข้าสิ เกิดอะไรขึ้น?” องค์หญิงโหรวร้องถามอย่างเป็นกังวล มือถือผ้าเช็ดหน้าแน่น
“สำเร็จ ข้าเพิ่งเห็นองครักษ์ขององค์ราชาอยู่ที่ตำหนักหิมะพร้อมกับดาบในมือด้วย องค์ชายเองก็รีบเร่งไปที่นั่นด้วย บางทีเรื่องนี้อาจจะสำเร็จก็ได้” แม่นมพูดพร้อมรอยยิ้มไร้ความปรานี
“เชื่อถือได้หรือเปล่า?” ฟางเสี่ยวโหรวยังกังวลอยู่นิดหน่อยจึงถามออกมาอีก
“เชื่อถือได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีใครรู้แน่ว่าเป็นพวกเรา”
“ดีแล้ว ดีแล้ว!” ฟางเสี่ยวโหรวดูเหมือนจะโล่งใจแล้วมือที่กำผ้าเช็ดหน้าแน่นก็ค่อยๆคลายลง
จะโทษเธอไม่ได้นะ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษมู่เทียนที่ทำตัวอวดดี ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในวังเลยด้วยซ้ำ กล้าดียังไงมาอวดดีกับเธอขนาดนี้
อีกอย่างตั้งแต่ที่มู่เทียนเข้ามา นางก็ไม่เคยไว้หน้าพวกเธอเลย แล้วแบบนี้เธอจะญาติดีด้วยได้ยังไง เธอเฝ้ามองที่จะได้ครองตำแหน่งพระมเหสีของจักรพรรดิมาตลอด เธอไม่กล้าที่จะชะล่าใจเลยสักครั้งแต่ก็ไม่คิดว่าอยู่ดีๆจะมีเด็กสาวที่ไหนไม่รู้มาแย่งตำแหน่งไปจากเธอ เธอจะยอมได้ยังไง
“แม่นม ท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าอยากที่จะอยู่คนเดียว” ฟางเสี่ยวโหรวนวดไปที่ขมับ ขมวดคิ้วและพูดออกมา
แม่นมมองไปที่เสี่ยวโหรวแล้วจึงโค้งคำนับอย่างเคารพ
ในห้องเหลือเพียงฟางเสี่ยวโหรว ตอนที่เธอยังเด็ก เธอได้เห็นท่านแม่ทำเรื่องที่เลวร้ายมามากเพื่อที่ท่านแม่จะได้อยู่ในตำแหน่งอย่างมั่นคง
เธอไม่ผิด เธอเพียงแค่เฝ้ารอสิ่งที่เป็นของเธอเอง เธอไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิด โลกนี้ก็เหมือนกับป่า มีเพียงคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะรอดไปได้
ที่ตำหนักหิมะ
สาวใช้ที่นำซุปเม็ดบัวมาส่งก่อนหน้านี้ถูกนำตัวเข้ามา รวมทั้งทุกคนที่อยู่ในครัวด้วย พวกเขาทุกคนต่างถูกพาตัวมาที่สนามของตำหนักหิมะ รอคำสั่งจากหวังฉิง
ครั้งนี้หวังฉิงกอดมู่เทียนไว้แน่นและคำอ้อนวอนขอความเมตตาของเหล่าสาวใช้ที่ด้านนอกไม่ทำให้เขารู้สึกอะไรได้เลย
ถ้ามู่หรงเสวี่ยไม่ฟื้น ทุกคนจะต้องถูกฝังไปพร้อมกับนาง หมอหลวงทั้งสองก็คุกเข่าอยู่ด้วยและต่างก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรทั้งนั้น มีเพียงเสี่ยวฉิงเท่านั้นที่นั่งร้องไห้อยู่เงียบๆ
เธอไม่คิดว่าถ้วยซุปเม็ดบัวจะมีอะไรที่ผิดปกติ เธอรู้สึกว่าเธอน่าจะลองชิมก่อน
เสี่ยวฉิงคิดเพียงแค่ว่าตราบใดที่เข็มเงินตรวจไม่พบ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ไม่คิดเลยว่าจะยังมียาพิษที่สามารถรอดพ้นการตรวจสอบของเข็มเงินไปได้ นายหญิงมู่เป็นคนที่ดีมาก ทำไมถึงมีคนที่โหดเหี้ยมจนอยากที่จะฆ่านายหญิงมู่ได้ สมองของเสี่ยวฉิงยังแวบนึกถึงสีหน้าของเสี่ยวโหรวแต่แล้วก็สละความคิดนี้ทิ้งไปทันที
เธอไม่กล้าที่จะสงสัยคนอื่นโดยไม่มีหลักฐาน เธอหวังให้นายหญิงมู่ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว เธออยากที่จะเชื่อคำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือของหมอหลวงมากกว่าจะมองไปที่หมาที่นอนกองอยู่กับพื้น
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ
ทุกคนหายใจอย่างเงียบเชียบเมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมขององค์ชาย ราวกับกลัวว่าลมหายใจจะไปปลุกปีศาจที่หลับใหลขึ้นมา
“อื่ม” มู่หรงเสวี่ยกระซิบ
มือของหวังฉิงสั่นเทิ้มขึ้นมาทันทีแล้วจึงมองไปที่มู่เทียนที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หมอหวู่และหมอหลินแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ พวกเขาไม่ต้องตายแล้ว หยาดน้ำตาของเสี่ยวฉิงยิ่งไหลออกมามากกว่าเดิม เธอประกบมือพร้อมด้วยสายตาที่รู้สึกของคุณสวรรค์อย่างมาก
“มู่เทียน” หวังฉิงร้องเรียกออกมาอย่างอ่อนโยน ไม่กล้าที่จะเปล่งเสียงดังออกมา แต่ก็ตื่นเต้นกับการฟื้นตัวอย่างมาก
ดวงตาที่ดูสับสนของมู่หรงค่อยๆลืมขึ้นและว่างเปล่าไปชั่วขณะ เธอมองไปที่กลุ่มคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ในห้องพร้อมทั้งกะพริบตา น้ำเสียงแหบแห้งเปล่งออกมา “มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”
หวังฉิงพูดอะไรไม่ออก เขากอดมู่เทียนแน่น “ดีจริงๆ เจ้าฟื้นแล้ว ข้ากลัวแทบตาย” ในน้ำเสียงเขามีความสั่นผสมอยู่
ทุกคนต่างก็ได้ยินน้ำเสียงที่เป็นห่วงและเป็นกังวลของเขา
เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา มู่หรงก็ตอบโต้กลับมา “ปล่อย ข้าหายใจไม่ออก”
หวังฉิงออกแรงมากไปหน่อย ถึงแม้เธอจะรู้สึกได้ถึงอาการสั่นเพราะความกลัวของเขาก็ตาม
เมื่อหวังฉิงได้ยินคำพูดของมู่หรง เขาก็รีบปล่อยเธอทันที “ข้าขอโทษ เจ้าเจ็บหรือเปล่า?”
มู่หรงเสวี่ยตะลึง นี่เป็นตัวปลอมหรือเปล่า?
เพียงชั่วขณะ ความคิดมากมายก็แวบเข้ามาในสมองของเธอ แล้วเธอก็ดูจะซีดเผือดมากขึ้นกว่าเดิม สีหน้าดูอ่อนล้า “ข้าอยากจะพัก เจ้าปล่อยข้าก่อน”
“ได้ ได้ ข้าไม่เถียงกับเจ้าแล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะนะ” ไม่ว่าอะไรเขาก็อยากที่จะมอบให้เธอทั้งหมด
เขาค่อยๆวางเธอลงแล้วก็ห่มผ้าให้เธออย่างระวัง
“ออกไป” หวังฉิงหันกลับไปมองเย็นชาพร้อมทั้งพูดกับหมอหลวงและสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น
“เดี๋ยวก่อน ให้เสี่ยวฉิงอยู่” มู่หรงพูดเสียงเรียบ เธอไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้อยู่ที่พื้นมานานแค่ไหนแล้วและเมื่อเห็นดวงตาที่แดงบวมของนาง เธอคิดว่าเรื่องนี้คงจะทำให้นางกลัว
หวังฉิงบอกให้คนพวกนี้คุกเข่า ไม่รู้ว่าพวกเขาถูกลงโทษหรือเปล่า เธอไม่สนใจคนอื่นแต่เสี่ยวฉิงต้องได้รับการดูแลอย่างดี ในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะได้เจอใครที่ดีกับเราและมันก็เป็นเรื่องปกติที่จะขอบคุณเรื่องนี้
หวังฉิงมองไปที่เสี่ยวฉิงที่นั่งอยู่ที่พื้นแล้วประกายเย็นชาก็แวบเข้ามาในดวงตาของเขา
“ดูแลนายหญิงมู่ให้ดี เข้าใจไหม?! ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับมู่เทียน เจ้าจะเป็นคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบ” หวังฉิงส่งคำเตือนไปที่เสี่ยวฉิง
“ข้าทราบเจ้าค่ะ” ตราบใดที่ท่านหญิงฟื้น เธอก็มีความสุขที่สุดแล้ว
นายหญิงมู่เป็นคนที่มอบชีวิตให้กับครอบครัวของเธอ เสี่ยวฉิงไม่เคยพูดเรื่องนี้กับคนอื่น วันก่อนครอบครัวของเธอส่งข่าวมาว่าแม่ของเธอกำลังป่วยหนักและเกรงว่านางจะตายในไม่ช้านี้ เธอต้องหาเงิน 30 ตำลึงเพื่อมารักษาแม่ของเธอ
อย่างไรก็ตาม เธอเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยซึ่งไม่ได้มีเงินมากอะไร เธอกำลังยืนกำจดหมายพร้อมน้ำตาอาบแก้มตอนที่นายหญิงมู่เข้ามาเห็น นายหญิงมู่รีบถามเธอทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น?
เธอสะอื้นไห้ เดิมทีไม่อยากที่จะพูดอะไรเพราะยังไงซะก็ไม่มีนายคนไหนที่จะมาสนใจสาวใช้จนๆอย่างเธออยู่แล้ว
ไม่คิดเลยว่านายหญิงมู่ไม่เพียงมอบเงินให้เธอร้อยตำลึงแต่ยังให้เธอหยุดเพื่อไปเยี่ยมแม่ที่บ้านด้วย ตั้งแต่วันนั้นมา เธอก็ตัดสินใจเลยว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อนายหญิงมู่
มู่หรงไม่รู้เลยว่าการกระทำที่ไม่ได้คิดอะไรในวันนั้นของเธอจะทำให้เสี่ยวฉิงรู้สึกมากมายได้ขนาดนี้
หลังจากที่หวังฉิงออกไป มู่หรงเสวี่ยก็พูดออกมาเสียงเบา “ลุกขึ้นเถอะ เจ้านั่งคุกเข่ามาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย?” ในตอนนี้ เสี่ยวฉิงเองก็หน้าซีดเผือดไม่ต่างกัน
“นายหญิงมู่ ท่านทำให้ข้ากลัวแทบตาย” เสี่ยวฉิงลุกขึ้นและอดไม่ได้ที่จะเดินไปหามู่หรงเสวี่ยพร้อมกับร้องห่มร้องไห้
ในวินาทีนั้นมู่หรงเสวี่ยตกตะลึง เธอไม่รู้เลย เสี่ยวฉิงเป็นเด็กสาวที่บอบบางแต่เธอก็ไม่คิดว่านางจะร้องไห้
หลังจากเวลาผ่านไปนานมู่หรงก็มองไปที่สาวใช้ร่างเล็กและพูดออกมา “ไม่ต้องร้องแล้ว นี่เจ้าจะทำน้ำท่วมตำหนักหิมะหมดแล้วนะ”
สาวใช้ร่างเล็กค่อยๆหยุดร้องไห้แต่ก็ยังสะอื้นอยู่ ท่าทางดูน่าสงสารอยู่นิดหน่อย
“นายหญิงก็ อย่ามาล้อเล่นกับสาวใช้สิเจ้าคะ”
“ก็ได้ ข้าไม่เป็นไรแล้ว” มู่หรงพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เสี่ยวฉิงยังไม่ค่อยสบายใจ “หรือให้หมอหลวงเข้ามาตรวจท่านอีกรอบดีไหมเจ้าคะ? เมื่อกี้ใครๆก็เห็นว่าหมาตายไปจริงๆ”
หมาตายงั้นเหรอ?! นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?
สาวใช้ร่างเล็กไม่ได้พูดอะไรมากแต่เธอก็เข้าใจได้ตั้งแต่ประโยคแรก “ไม่เป็นไร ข้าเองก็เป็นหมอเหมือนกัน”
ทันใดนั้นจู่ๆเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าคุณมู่กินอะไรเข้าไปก่อนที่จะสลบหรือเปล่า?!
“นายหญิงเจ้าคะ ท่านถอนพิษตัวเองงั้นเหรอเจ้าคะ?” เสี่ยวฉิงถามด้วยความประหลาดใจ
มู่หรงลุกขึ้นนั่ง “ใช่ ไม่งั้น ข้าก็คงจะตายไปแล้ว” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ยังรู้สึกกลัวอยู่เลย โชคดีที่เธอหยิบยาถอนพิษออกมาได้ทัน ไม่งั้นเฟิงจือหลิงกับคนอื่นๆก็คงจะต้องติดอยู่ในมิติลับและก็คงไม่มีใครช่วยเธอได้จริงๆ
“นายหญิงเจ้าคะ ท่านยังมียานั่นอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ? ท่านแบ่งให้สาวใช้บ้างได้ไหมเจ้าคะ?” เสี่ยวฉิงถาม
มู่หรงเงียบอยู่สักพักแต่ก็ยังล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อแต่อันที่จริงคือมิติลับเพื่อจะหยิบขวดยาถอนพิษออกมา “เอ้านี่ ยานี่สามารถถอนพิษได้นับร้อยชนิด ข้ายกให้เจ้า”
เสี่ยวฉิงรับขวดยามาและดวงตาของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง
เธอตื้นตันมากที่นางไว้ใจเธอมากขนาดนี้จนมอบยาให้เธอโดยไม่ถามอะไรสักคำ แถมยาวิเศษนี่ก็สามารถที่จะถอนพิษได้นับร้อยชนิดด้วย ไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะล้ำค่ามากขนาดไหน นายหญิงมู่มอบให้เธอโดยไม่กะพริบตาเลยสักนิด
เธอถือขวดยาไว้แน่น เหตุผลที่เธออยากได้ยานี่ก็เพื่อใช้ป้องกันนายหญิงมู่เผื่อนางกินยาไม่ทันเวลา อย่างน้อยเธอก็ยังมียาอยู่ที่ตัว
“นายหญิงเจ้าคะ ต่อไปข้าจะดูแลยานี้อย่างดี” เสี่ยวฉิงพูดอย่างจริงจัง
มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าเสี่ยวฉิงขอยาไปก็เพื่อตัวเธอเอง เธออดที่จะรู้สึกตื้นตันไม่ได้แต่ก็ยังพูดออกไปว่า “ข้ามียาแบบนี้เยอะแยะ ถ้าเจ้าอยากจะเอาไปใช้ ก็ใช้ได้เลยไม่ต้องขอข้าหรอกนะ”
ที่ด้านนอกของตำหนักหิมะ
เหล่าสาวใช้และคนงานในครัวต่างก็ถูกเรียกตัว มีเสียงคร่ำครวญดังอย่างต่อเนื่อง
คนที่น่าสงสัยที่สุดก็ยังเป็นสาวใช้จากห้องยา แต่ยังไงซะในห้องเครื่องก็ยังมีคนอีกมากมายและอาหารแต่ละจานก็มีคนดูแลมากกว่าสองคน มีเพียงสาวใช้ที่เอาซุปมาส่งเท่านั้นที่อยู่คนเดียว
ในตอนนี้ สาวใช้ที่นำซุปเม็ดบัวมาส่งวันนี้ต้องถูกโทษประหารชีวิต มือทั้งสองข้างของนางเต็มไปด้วยเลือด เสื้อผ้าของนางก็ยุ่งเหยิง สีหน้าก็ซีดเผือด
ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ร้องอ้อนวอนขอความเมตตา
“ไว้ชีวิตข้าเถอะฝ่าบาท ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย!”
ในตอนนี้ฟางเสี่ยวโหรวเองก็พยายามเก็บอารมณ์และรีบไปรวมกับเหล่านางสนมทันที ในฐานะนางสนมของวัง เธอจะทำเหมือนไม่มีอะไรไม่ได้
ช่วงเวลาแบบนี้ยิ่งต้องทำตัวให้เป็นปกติ หวังฉิงเป็นคนที่ฉลาด ก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เธอตกนรกได้แล้ว
“ฝ่าบาท” ฟางเสวี่ยโหรวเดินนำทุกคนมาเข้าเฝ้า
“ลุกขึ้นแล้วหลบไปอยู่ข้างๆ” หวังฉิงพูดอย่างเย็นชา
นี่ก็ยุติธรรมดี ทั้งหมดเป็นความผิดของมู่เทียนคนเดียว สีหน้าของฟางเสวี่ยโหรวแวบประกายขึ้นมาแล้วก็รีบเก็บซ่อนไว้อย่างเร็ว
ตอนนี้เธอราวกับหญิงผู้บอบบาง ทุกการเคลื่อนไหวดูอ่อนโยนและสวยงาม แล้วเธอก็ไปยืนในตำแหน่งด้านหลัง องค์ราชาอย่างเงียบๆ
ส่วนนางสนมคนอื่นๆก็ไปยืนด้านหลังอย่างเชื่อฟัง ไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไร พวกเธอจะกล้าทำเรื่องผิดพลาดได้ยังไงกัน