บทที่ 333
การวางยาพิษ
เธอหลับตาและน้ำตาสองสายก็ไหลลงมาอาบสองแก้ม
สีหน้าที่ดื้อดึงเริ่มที่จะคลายลงและกลายเป็นสีหน้าที่อ่อนโยนขึ้นเพราะท่าทางของเธอ
หวิงฉิงขมวดคิ้ว นี่เขาเข้าใจเธอผิดหรือเปล่า?! มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อนึกถึงท่าทางที่ไร้ที่ติของฟางเสี่ยวโหรวก่อนหน้านี้
เขาขมวดคิ้วและกระซิบเสียงเบา “ลุกขึ้น ข้าจะสืบให้รู้ ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าไม่ใช่คนโง่”
ฟางเสี่ยวโหรวลืมตาขึ้น ดวงตาที่กลอกอยู่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งความรัก เธอไม่ได้พูดอะไรและรู้สึกว่าหวังฉิงเองก็เชื่อเธออยู่นิดหน่อย
หวังฉิงลุกขึ้นและพูดออกมา “เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้ามีอย่างอื่นที่ต้องทำอีก ข้าไปก่อนล่ะ”
หลังจากที่หวังฉิงออกไปแล้ว ฟางเสี่ยวโหรวยังนั่งอยู่ที่พื้นร่างกายยังสั่นเทิ้ม เธอทนไม่ได้ที่องค์ชายมองเธอด้วยสายตารังเกียจแบบนั้น เธอรักหวังฉิงมากกว่าใครอื่น
ฟางเสี่ยวโหรวลุกขึ้นและเดินกลับไปที่ห้องแต่งตัว เปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบกล่องออกมา
สีหน้าของแม่นมเปลี่ยนไปและเดินไปยืนข้างๆ ฟางเสี่ยวโหรว “องค์หญิงโหรว นี่ท่านจะทำอะไร?”
ฟางเสี่ยวโหรวมองไปที่แม่นมด้วยสายตาเย็นชา “เข้าใจใช่ไหมว่าเรื่องไหนที่ควรพูด เรื่องไหนไม่ควรพูด?”
“แม่นม” เธอพูด
“แม่นม ท่านเป็นคนเดียวที่ข้าเชื่อใจ” ฟางเสี่ยวโหรวพูดเสียงเรียบ
“เชื่อใจข้าเถอะ” แม่นมพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ฟางเสี่ยวโหรวพยักหน้าและวางกล่องใส่ในมือของนาง
ทั้งสองต่างก็มองหน้ากันและกัน มีเพียงพวกนางเท่านั้นที่เข้าใจความหมายในดวงตาของกันและกัน
เช้าวันต่อมา เป็นเช้าที่สดใส
มู่หรงบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วก็ลืมเรื่องที่จะออกไปข้างนอก ถึงแม้จะอยู่ในตำหนักมาแค่อาทิตย์เดียวแต่ มู่หรงเสวี่ยกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเฉาตาย
ผู้หญิงยุคนี้ไม่มีอะไรสนุกเลยจริงๆ มีข้อจำกัดมากมายที่ไม่ต้องพูดถึงเลย ทำได้แค่เพียงเชื่อฟังคำสั่งสามีและคอยอบรมลูกๆเท่านั้น ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่อจริงๆ
เวลานี้ในห้องครัว
“โอ้ รอเดี๋ยว เจ้าทำเงินตกนะ” แม่นมของฟางเสี่ยวโหรวพูดกับสาวใช้ที่กำลังถือซุปเม็ดบัว
เมื่อได้ยินดังนั้น สาวใช้ก็รีบก้มหัวทันทีและเห็นเหรียญเงินเปล่งประกายอยู่
นางรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันทีแต่เพราะในมือถือซุปเม็ดบัวอยู่
ในตอนนี้แม่นมเดินตรงเข้ามา “ข้าถือให้เอง”
“ขอบคุณนะเจ้าคะแม่นม” สาวใช้ร่างเล็กพูดอย่างมีความสุข
ใครบ้างละที่ไม่ชอบเงิน เงินทั้งหมดที่เธอมียังไม่เท่ากับเหรียญเงินที่อยู่ตรงหน้านี่เลย
อีกอย่างครอบครัวของเธอก็กำลังลำบาก เหรียญเงินนี่จะทำให้น้องๆของเธอได้เรียนหนังสือ
ประกายเย็นชาแวบเข้ามาในดวงตาของแม่นม และผงแป้งก็ถูกโรยลงไปในซุปเม็ดบัวระหว่างที่สาวใช้กำลังก้มตัวลง
ผงแป้งสลายไปพร้อมกับน้ำซุปจึงไม่เห็นความผิดปกติอะไร
“ขอบคุณนะเจ้าคะแม่นม”
“ด้วยความยินดี เจ้าเอาซุปไปส่งเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้ร่างเล็กมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข เพียงแค่เวลาสั้นๆแต่ไม่รู้เลยว่าซุปในมือของเธอถูกปนเปื้อนไปแล้ว
มู่หรงบังเอิญรู้สึกหิวอยู่นิดหน่อยและอยากที่จะกินทันทีเลย
“รอเดี๋ยวเจ้าค่ะนายหญิงมู่” เสี่ยวฉิงหยิบเข็มเงินออกมา
มู่หรงเสวี่ยสงสัยอยู่สักพัก “ทำแบบนี้เพื่ออะไรงั้นเหรอ?”
“ให้สาวใช้ทดสอบก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวฉิงพูดเสียงเรียบ
ในฐานะสาวใช้ เธอเคยเห็นเรื่องสกปรกมากมายมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเรื่องการระวังจึงเป็นนิสัยปกติของเธอ
มู่หรงเสวี่ยนึกถึงฟางเสวี่ยโหรวจึงไม่ได้ขัดการกระทำของเสี่ยวฉิง การไม่เสี่ยงคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า
เสี่ยวฉิงจิ้มเข็มเงินลงไปเพื่อตรวจสอบ เข็มเงินยังคงเปล่งประกายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เธอจึงเริ่มรู้สึกวางใจ “ได้แล้วเจ้าค่ะ”
มู่หรงพยักหน้าเบาๆและจึงเริ่มกิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอคิดไปเองหรือเปล่าถึงได้รู้สึกว่าซุปเม็ดบัวนี่รสชาติออกจะแปลกจากเดิมไปนิดหน่อยแต่ก็รีบลืมเรื่องนี้ไปทันที
ก็จริงที่เธอเคยดูละครมากเกินไปแต่ก็ยังไม่คิดอะไรมาก
หลังจากที่กินเสร็จ มู่หรงก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย สติเริ่มที่จะรางเลือนนิดๆ ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกไม่ดีเลย
“เสี่ยวฉิง ไปตามองค์ชายมา” แล้วมู่หรงก็รีบหยิบยาถอนพิษออกมาจากมิติลับและมีเวลาเพียงแค่โยนยาเข้าไปในปากแล้วเธอก็สลบไป
เหล่าสาวใช้ที่เห็นต่างก็ร้องกรี๊ดด้วยความตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
“นายหญิง”
“รีบไปตามหมอหลวงมาเร็ว”
“แจ้งฝ่าบาทด้วย”
พร้อมกันนี้เสี่ยวฉิงก็ช่วยพยุงมู่หรงเสวี่ยที่ล้มลงไปนอนกองกับพื้นและพามานอนที่เตียง โชคดีที่เธอมีเวลาได้กินยาถอนพิษทัน ในวินาทีที่เธอกำลังจะสลบ มู่หรงเสวี่ยมีเวลาแวบไปเพียงแค่เสี้ยววินาที
หวังฉิงรีบมาเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ “มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย?! พวกทาสทุกคนอย่าคิดว่าจะรอดตัวไปได้นะ” หวังฉิงตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
“หมอหลวงอยู่ที่ไหน? ทำไมเขายังมาไม่ถึงอีก?” หวังฉิง กอดมู่เทียนที่นอนอยู่บนเตียง ในหัวใจสั่นรัวไปด้วยความเจ็บปวด
ในตอนนี้สีหน้าของมู่เทียนซีดเผือดและลมหายใจก็อ่อนแรงมาก
ในพระราชวงศ์ฉิงมีหมอหลวงสองคนที่ได้รับแต่งตั้งจากองค์จักรพรรดิและพวกเขาก็มีองครักษ์คอยคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา
เสี่ยวฉิงคุกเข่าอยู่ข้างๆเตียง รู้สึกกังวลจนอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
“ฝ่าบาท” ยังไม่ทันที่หมอหลวงทั้งสองจะได้ยืนอย่างมั่นคง พวกเขาก็ต้องรีบทำความเคารพซะก่อน
“เข้ามา ไม่ต้องมากพิธี นางเป็นอะไร?” หวังฉิงเก็บซ่อนความกังวลในน้ำเสียงไม่ได้จึงพูดออกไปเสียงเบา
“วางนางลงก่อนนะขอรับ” หมอหลวงพูดอย่างระวัง
ตอนแรก พวกเขาคิดว่าองค์ชายเป็นอะไร จึงมาด้วยความรีบร้อนจนไม่ทันได้สวมรองเท้าด้วยซ้ำ พวกเขารีบตรงมาจากห้องปรุงยาเลย
ที่ห้องปรุงยา พวกเขาจะต้องถอดรองเท้าก่อนที่จะเดินเข้าไป และพวกเขาจะสวมรองเท้าเพียงแค่ตอนที่จะออกไปหาอะไรกินเท่านั้น ดังนั้นหมอหลวงทั้งสองคนจึงมาด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องมารยาทมากนักเพราะดูเหมือนว่าเด็กสาวคนนี้จะสำคัญกับองค์ชายอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นสีหน้าแบบนี้ของเขา
หวังฉิงค่อยๆวางมู่เทียนลงที่เตียงอย่างระวังแล้วจึงลุกออกจากเตียงเพื่อหลีกทางทันทีเพื่อเปิดที่ให้หมอหลวงได้ทำงาน
หมอหลวงตรวจชีพจรของมู่เทียนอย่างรอบคอบ ขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากนั้นสักพักเขาก็ส่ายหัวพร้อมทั้งส่งสัญญาณให้หมอหลวงอีกคนเข้ามาตรวจดู
หัวใจของหวังฉิงเกือบจะกระโดดขึ้นมาที่คอ
“เกิดอะไรขึ้น?” เขารีบถามออกไป
หวู่ไท่ยี่รีบคุกเข่าลงทันที “เรียนองค์ชาย ตอนนี้ชีพจร, ชีพจรของนางอ่อนแรงมาก” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรื่องอะไรแบบนี้ มันเหมือนกับมีสองอาการที่กำลังสู้กันอยู่ หนึ่งคืออาการถูกวางยาพิษและอาการของการฟื้นตัว
ความโกรธของหวังฉิงพุ่งขึ้นมาทันที “พวกเจ้ามันไร้ค่ามากเลย รู้ตัวหรือเปล่า?”
“อย่าเพิ่งโมโหขอรับ” เขาคุกเข่าลงทันที
หวู่ไท่ยี่ตัวสั่นเทอมแล้วจึงพูดต่อ “ฝ่าบาท ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะยังไม่เข้าใจแต่ดูเหมือนว่านางจะถูกวางยา” มีสัญญาณของการวางยาพิษอยู่
สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไป เขามองไปที่เสี่ยวฉิงที่กำลังคุกเข่าอยู่อีกด้าน “บางข้ามาว่าเรื่องมันเป็นแบบนั้นงั้นเหรอ?”
เสี่ยวฉิงร้องไห้และพูดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นรวมทั้งเรื่องซุปเม็ดบัวที่ใช้เข็มเงินตรวจสอบแล้ว
หวังฉิงมองไปที่ซุปเม็ดบัวที่วางอยู่บนโต๊ะ “หมอหวู่ ตรวจที่ซุปเม็ดบัวนี่ที”
หวู่ไท่ยี่ได้รับคำสั่งให้ตรวจซุปเม็ดบัวอย่างระมัดระวัง เขาส่ายหัวเล็กน้อย “ซุปเม็ดบัวนี่ไม่มีปัญหาอะไรเลยขอรับ”
สีหน้าของหวังฉิงเย็นชา มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่นางล้มลงหลังจากที่ดื่มซุปเม็ดบัวนี่ ตอนนี้มันไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่มันจะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ
“ไปเอาหมามา เจ้าไป เร็วด้วย”
องครักษ์ชุดดำที่อยู่ข้างๆหวังฉิงรีบออกไปจากห้อง หลังจากนั้นสักพักเขาก็พาหมาเข้ามา
“ป้อนซุปให้หมากิน” หวังฉิงพูด
แน่นอนว่าไม่นานหลังจากที่ป้อนซุป หมาที่เมื่อกี้ยังเห่าก็เงียบไปในทันทีแล้วก็ขาดใจตายในที่สุด
สีหน้าของหวู่ไท่ยี่เปลี่ยนไปทันที
“ไอ้คนอวดดี กล้าดียังไงมาบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ?”
เมื่อได้เห็นการตายของหมาที่เกิดขึ้นกะทันหัน ดวงตาที่จ้องของหวังฉิงก็แดงขึ้นมาทันที
“ถ้าพวกเจ้าช่วยนางไม่ได้ พวกเจ้าก็เตรียมตัวถูกฝังได้เลย” ความกลัวที่จะต้องสูญเสียแล่นไปทั่วร่างของหวังฉิง
หวู่ไท่ยี่เดินไปหาหมอหลวงอีกคน หมอหลินและถามออกมาด้วยเสียงเบา “มีอะไรหรือเปล่า?”
สมัยนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้กลายเป็นหมอเก่งๆ แล้วตอนนี้เขาจะต้องมาตายงั้นเหรอ
หมอหลินดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เขาไม่มีเวลามาสนใจความโกรธเกรี้ยวขององค์ชาย ความมหัศจรรย์แห่งการแพทย์ทำให้เขาสนใจมากกว่า
“คือมันเป็นไปไม่ได้!” หลินเทียนลินเองก็ยังประหลาดใจ
นางตายแล้วงั้นเหรอ สีหน้าของหวู่ไท่ยี่กลายเป็นซีดเผือดทันที มือทั้งสองข้างที่จับชีพจรของมู่เทียนอยู่สั่นเทิ้มไปชั่วขณะ เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อแล้วสีหน้าเขาก็ดูประหลาดใจเหมือนกับหมอหลิน
“นี่มันปาฏิหาริย์จริงๆ”
หวังฉิงรู้สึกกังวลและแทบจะหายใจไม่ทั่วท้องแต่หมอหลวงทั้งสองกลับยังโอ้เอ้อยู่ซึ่งทำให้เขายิ่งโมโหมากขึ้นไปอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้
“มันเกิดอะไรขึ้น?! มีอันตรายอะไรหรือเปล่า?” หวังฉิงตะโกนถามออกมาด้วยความโมโหพร้อมความตื่นตระหนกในหัวใจ
“รายงานองค์ราชา แม่นางคนนี้ไม่เป็นอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ”
“ไร้สาระ! ทหาร เอาตัวพวกมันออกไปตัดหัว” ถึงแม้เขาจะหวังให้มู่เทียนไม่เป็นอะไรแต่หมาก็ตายไปแล้ว แล้วจะไม่เป็นอะไรได้ยังไง!?
จะต้องไม่มีใครรอดไปได้
“ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยองค์ชาย เรื่องที่ข้าพูดเป็นความจริง แม่นางคนนี้จะฟื้นในอีกไม่ช้า” หมอหวู่รีบคุกเข่าร้องขอความเมตตาทันที
หมอหลินไม่ได้พูดอะไร แต่ใครบ้างจะไม่กลัวตาย
สีหน้าของหวังฉิงเครียดขึ้นมาทันที เขาเดินไปที่เตียงของมู่เทียนและนั่งลง มือที่สั่นเทิ้มของเขาอังที่ปลายจมูกของเธอ
โชคดีที่ยังมีร่องรอยลมหายใจร้อนๆอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา ทำให้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
สีหน้าของเธอไม่ค่อยซีดแล้ว เขาค่อยอุ้มมู่เทียนให้มาอยู่ในอ้อมแขนอย่างระวังราวกับว่าสิ่งนี้จะช่วยทำให้ร่างกายของเธออุ่นขึ้นได้ ไม่เหน็บหนาว
ผู้คนที่คุกเข่าอยู่ก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ หวังฉิงไม่ได้บอกให้พวกเขาลุกขึ้น ผู้หญิงที่เขารักยังต้องทรมานงั้นพวกเขาก็ไม่ควรจะรู้สึกสุขสบายไปกว่าเธอ
ที่อีกด้าน ฟางเสี่ยวโหรวกำลังเดินไปมาอยู่ในห้องด้วยความกังวล เวลาผ่านไปนานกว่าที่แม่นมจะเปิดประตูเข้ามา
ฟางเสี่ยวโหรวหันไปพูด “พวกเจ้าทุกคนกลับไปได้แล้ว ไม่ต้องรออยู่ที่นี่แล้ว”
“เจ้าค่ะท่านหญิงเสี่ยวโหรว”
หลังจากนั้นเหล่าสาวใช้ทุกคนในตำหนักก็กลับออกไป ฟางเสี่ยวโหรวถามออกมาด้วยความเป็นกังวล “แม่นม เป็นยังไงบ้าง? รู้อะไรบ้างหรือยัง?”