บทที่ 332
ความตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
ความฉลาดกลับเข้ามาในสมองของหวังฉิง แล้วเขานึกถึงเรื่องที่มู่เทียนสามารถที่จะหายตัวได้
ตอนที่เขาได้ยินว่าที่ตำหนักหิมะเกิดเรื่อง เขาไม่ได้คิดอะไรเลย เพียงแค่คิดถึงเธอหัวใจเขาก็ร่วงลงไปกับพื้นแล้ว
หวังฉิงมองไปรอบๆห้อง สาวใช้ที่ซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องรีบลุกขึ้นอย่างไวตอนที่ฝ่าบาทเดินเข้ามา ต่างก็ตัวสั่นด้วยความตกใจ พวกนางยืนอยู่ข้างหลังมู่เทียน แล้วที่พื้นก็มีชายร่างอ้วนที่เปลือยท่อนบนนอนกองอยู่ที่พื้น ความวุ่นวายที่ด้านนอกก็เงียบไปแล้วด้วย ชายชุดดำหลายคนถูกจับตัวไว้ได้แล้วและคนที่เหลือก็หนีไป
ทหารหลายคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บและกำลังเก็บกวาดความวุ่นวายที่หน้าประตู
ตอนที่หวังฉิงเขี่ยไปที่ชายร่างอ้วนที่พื้น สีหน้าของเขาเย็นชาและสายตาก็แวบประกายอาฆาตขึ้นมา
“เข้ามา”
ไม่นานทหารก็รีบเข้ามา “ขอรับฝ่าบาท”
“มัดชายที่พื้นนี่ไว้แล้วดูแลเขาให้ดี เจ้าเข้าใจหรือเปล่า?! อย่าปล่อยให้มันตายได้ง่ายๆ ทำให้มันมีความสุขที” หวังฉิงพูดอย่างเย็นชา
มันกล้ามาก แค่คิดก็กล้ามากแล้ว โชคดีที่มู่เทียนไม่เป็นอะไร ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่อยากที่จะนึกภาพเลย
มู่หรงมองหวังฉิงจัดการกับคนพวกนี้อย่างเงียบๆ น่าเสียดายที่เธอไม่มีเวลาได้หนีแต่มันก็ทำให้เธอได้เห็นข้อดีของเสี่ยวฉิง
ในตอนนี้ฟางเสี่ยวโหรวและกลุ่มคนมากมายรีบวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน
ทั้งตำหนักเต็มไปด้วยเหล่านางสนมเป็นสิบพร้อมด้วยเหล่าสาวใช้และแม่นมอีก
ฟางเสี่ยวโหรววิ่งเข้ามาพร้อมด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลแล้วเธอก็มาจับที่มือของมู่หรงเสวี่ยด้วยความเป็นห่วงอย่างมาก “น้องเล็ก เจ้าเป็นยังไงบ้าง? ปลอดภัยหรือเปล่า?”
ริมฝีปากบางที่เย็นชาของมู่หรงแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ สายตาแวบประกายเย็นชาพร้อมทั้งดึงมือกลับมาอย่างหยาบคาย “ไม่เป็นไร?”
“จะไม่เป็นไรได้ยังไง? ข้าได้ยินมาว่ามีโจรตั้งหลายคนที่บุกเข้ามาที่ตำหนักของเจ้า ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะต้องทวงความยุติธรรมให้เจ้าอย่างแน่นอน” ฟางเสี่ยวโหรวพูด ประโยคนี้มีความหมายมากกว่านั้น
ถึงแม้นางจะบอกว่าโอเค แต่ถ้ามีโจรบุกเข้ามาในห้อง นางก็จะต้องเสียความบริสุทธิ์แน่ๆ ถึงแม้จะไม่เสียความบริสุทธิ์แต่ก็ไม่มีข้ออ้างแน่ๆ
ด้วยชื่อเสียงแบบนี้ ดูสิว่านางจะยังเชิดหน้าชูคออยู่ได้ยังไง ฟางเสี่ยวโหรวคิดอย่างมุ่งร้ายอยู่ในใจ
เสี่ยวฉิงที่ถูกองค์ราชาผลักไปอยู่ข้างๆ ลุกขึ้นและทรุดลงไปนั่งคุกเข่า “ไม่เจ้าค่ะ ข้ายืนขวางอยู่หน้านายหญิงมู่ ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้วองค์ราชาก็เข้ามาทันเวลาพอดี” เสี่ยวฉิงพูดอย่างหนักแน่น เธอรู้ดีว่าองค์หญิงโหรวต้องการที่จะสื่ออะไรจากคำพูดที่พูดออกมา ชีวิตในอนาคตของนายหญิงมู่จะต้องไม่ง่ายแน่ๆ
ยังไงซะเรื่องความบริสุทธิ์ก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของผู้หญิง
“นังนี่ ที่นี่เจ้ามีสิทธิจะพูดได้เมื่อไรกัน? อยากเห็นเจ้านายเจ้าถูกลงโทษหรือไง?” ฟางเสี่ยวโหรวตบไปที่หน้าของเธอและผลักไปอีกด้าน
ใบหน้าของเสี่ยวฉิงกลายเป็นสีแดงและบวมขึ้นมาทันที
สายตาของมู่หรงเย็นชา ฟางเสี่ยวโหรวอยากที่จะตบเป็นครั้งที่สอง มู่หรงคว้ามือเธอไว้และเหวี่ยงออกไปอย่างมุ่งร้าย
ฟางเสี่ยวโหรวล้มลงไปกับพื้นทันที ชุดที่เต็มไปด้วยสีสันของเธอสะบัดไปมาราวกับนกหลากสีที่กำลังสยายปีก
“น้องสาว เจ้าเป็นอะไรไปเนี่ย? ทำไมต้องโมโหขนาดนี้ด้วย ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าเจ้ารู้สึกไม่ดีมันก็เป็นเรื่องปกติ”
หลังจากที่พูดจบ ฟางเสี่ยวโหรวก็น้ำตาร่วงลงมาทันที ช่างดูอ่อนแอและน่าสงสารจริง เมื่อเทียบกับคำพูดโหดร้ายที่เพิ่งพูดเมื่อกี้
ถ้าเธอเป็นผู้หญิงในยุคนี้ เธอก็คงจะตีอกชกตัวไปแล้วเพื่อที่จะยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์
เธอต้องบอกเลยว่าฟางเสี่ยวโหรวฉลาดอย่างมาก
หวังฉิงขมวดคิ้ว สายตาเย็นชาเล็กน้อย สายตาที่มองไปที่มู่เทียนมีร่องรอยของความสงสารอยู่เต็มเปี่ยม
ฟางเสี่ยวโหรวที่นอนอยู่ที่พื้นโกรธอย่างมาก ไม่ได้ยินที่นางเพิ่งพูดเมื่อกี้หรือไง?!
ในตอนนี้ เธอจะต้องไล่มู่เทียนที่ไร้เดียงสานี่ให้ออกไปจากวังให้ได้
ตอนนี้นางสนมคนอื่นๆต่างก็เข้ามาที่นี่ด้วยเหมือนกัน พวกนางทุกคนต่างก็ทำเป็นเสแสร้งร้องไห้ การปลอบใจทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่างก็เป็นการเหน็บแนม
หัวของมู่หรงเสวี่ยปวดไปหมด เธอเพียงแค่เดินไปหาหวังฉิง ดึงที่แขนเสื้อเขาเบาๆ มือนวดไปที่ขมับ “หวังฉิง ข้าเหนื่อยมาก เจ้าช่วยบอกให้ผู้หญิงพวกนี้กลับไปทีนะ ข้าอยากที่จะพัก”
หวังฉิงยกมุมปากขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์บนใบหน้าที่หล่อเหลาแล้วกระซิบออกมาเสียงเบา “คืนนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว งั้นไปพักผ่อนเถอะ”
เมื่อกี้ที่เขาไม่ได้พูดอะไรเพราะเขาอยากที่จะดูปฏิกิริยาของมู่เทียน
ถึงแม้เขาจะไม่เห็นท่าทางของความอิจฉา แต่หัวใจของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเพราะประโยคที่อ่อนโยนสุดท้ายที่เธอพูดออกมา
มู่หรงปล่อยมือจากหวังฉิงแล้วจึงชี้ไปที่เสี่ยวฉิงที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นพร้อมทั้งพูดออกมา “ข้าชอบเสี่ยวฉิงอย่างมาก แล้วข้าขอเป็นคนเดียวที่สามารถจัดการเรื่องของนางนะ อย่ามารังแกสาวใช้ของข้า”
เธอมองเหล่ไปที่ฟางเสี่ยวโหรวที่นั่งร้องไห้อยู่อย่างเงียบๆ
เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ นี่เธอต้องนั่งอยู่ที่พื้นอีกนานแค่ไหนเนี่ยที่พื้นนี่เย็นจะตาย?!
แน่นอนว่าฟางเสี่ยวโหรวหน้าซีดขึ้นมาทันทีพร้อมทั้งกัดฟันแน่น ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่าบาทที่ยังอยู่ตรงนี้ เธอก็คงจะพุ่งเข้าใส่มู่เทียนและฉีกเนื้อเธอเป็นชิ้นๆไปแล้ว
หวังฉิงมองไปที่เสี่ยวฉิง เด็กสาวคนนี้ดีมากจริงๆ ตอนที่เขาเข้ามา เธอเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ข้างมู่เทียน ไม่แปลกใจเลยที่ มู่เทียนจะชอบเธอ และตราบใดก็ตามที่ทำให้เธอพอใจได้ คำขอเล็กน้อยแค่นี้เขาทำให้เธอได้อยู่แล้ว
“โอเค ต่อไป สาวใช้คนนี้จะฟังคำสั่งของมู่เทียนเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่เหลือก็ไม่มีสิทธิที่จะรังแกเธออีก เข้าใจที่ข้าพูดไหม องค์หญิงโหรว” ประโยคสุดท้ายเห็นได้ชัดว่าเป็นคำขู่
ตัวของฟางเสี่ยวโหรวสั่นเทิ้มและเล็บของเธอก็แทบที่จะขูดไปกับพื้น เธอต้องใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะปกปิดความโกรธที่มีในหัวใจ
“เป็นคำสั่งของฝ่าบาท ข้าจะเชื่อฟังเจ้าค่ะ”
“ทุกคนกลับไปได้แล้ว ไม่มีอะไรแล้วก็ออกไปจากตำหนักหิมะกันได้แล้ว” หวังฉิงพูดเสียงเรียบ แล้วเขาก็หันไปพูดไม่กี่คำอย่างอ่อนโยนกับมู่เทียนเพื่อบอกให้เธอรีบไปพักผ่อนแล้วก็เดินออกมา
ฟางเสี่ยวโหรวเองก็ลุกขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากสาวใช้ เธอยืดหลังตรง เธอแพ้ เป็นการแพ้ที่ราบคาบ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย เธอสูญเสียหัวใจของฝ่าบาทไปแล้ว หลังจากเรื่องนี้เธอมองไปที่มู่เทียนและรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะควบคุม ดังนั้นเมื่อเธอจะกลับ เธอจึงต้องกลับอย่างมีศักดิ์ศรี
เธอเดินจากไปอย่างสิ้นหวังเหมือนไก่ที่พ่ายแพ้ แต่เธอไม่ยอมให้ตัวเองด้อยค่ากว่ามู่เทียนแน่นอน เธอพยายามที่จะรักษามาดอันสูงส่งไว้ให้สมกับที่เป็นฟางเสี่ยวโหรว
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลังเธออย่างเย็นชาแล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก “ต่อไปเสี่ยวฉิงจะเป็นสาวใช้อันดับหนึ่งที่จะอยู่ข้างข้า พวกเจ้าทุกคนต้องเชื่อฟังนาง เข้าใจไหม?”
“เจ้าค่ะ นายหญิงมู่” ครั้งนี้ไม่มีใครออกความคิดเห็นอะไร ยังไงซะทุกคนต่างก็เห็นว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น
“ท่าน ข้า…” เสี่ยวฉิงตื้นตันใจมากจนพูดอะไรไม่ออก
มู่หรงกลอกตา ต้องเป็นเธอต่างหากที่ควรจะตื้นตัน “เอานี่ไปทาแผลที่หน้าเจ้าซะ” มู่หรงหยิบขวดยาออกมาและส่งให้เสี่ยวฉิง
เสี่ยวฉิงส่ายหน้า “นายหญิงมู่ ข้ายังมียาที่ท่านให้ครั้งที่แล้วอยู่เลย ข้าไม่ต้องการขวดใหม่หรอกเจ้าค่ะ” เธอทนที่จะใช้ยาที่แพงขนาดนี้ไม่ได้จึงเก็บรักษาไว้อย่างดี
มู่หรงเอายัดใส่เข้าไปในมือของเธอ “รับไปเถอะ ข้ามียาแบบนี้อีกเยอะเลย ใช้ทั้งชีวิตก็คงไม่หมดหรอก”
เธอจะตอบแทนความจริงใจของนางอย่างดี
“โอเค เช็ดน้ำตาซะแล้วก็กลับไปนอน เจ้าจะลงไปนอนข้างล่างแล้วปล่อยให้พวกนางดูแลเจ้าบ้างก็ได้” มู่หรงเสวี่ยหาวปากกว้างและเดินเข้าไปข้างใน เธอง่วงมากและอย่างที่จะนอนแล้ว
ที่อีกด้านให้ห้องขององค์หญิงโหรว
“นังบ้า!”
ฟางเสี่ยวโหรวยกแขนเสื้อและพลิกโต๊ะน้ำชาคว่ำไปกับพื้น ความโกรธในหัวใจยิ่งเพิ่งขึ้นมากไปอีก!
“องค์หญิง ใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ!” เพียงพริบตาห้องที่กว้างขวางก็ราบเป็นหน้ากลอง
กว่าที่ฟางเสี่ยวโหรวจะสงบสติอารมณ์ได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน เธอไม่คิดเลยว่าคนตั้งมากมายแต่กลับเอาชนะอะไรมู่เทียนไม่ได้ นังบ้านี่ องค์ชายปกป้องมันอย่างดีจริงๆ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เธอรู้สึกอิจฉาได้ยังไง
พวกนี้คือยอดฝีมือที่เธอเคยช่วยไว้ อย่างไรก็ตามเธอไม่คิดว่าฝ่าบาทจะจัดองครักษ์ชุดดำ 12 คนให้คอยเฝ้าอยู่ข้างๆกายมู่เทียน
“ที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?” น้ำเสียงที่เย็นชาของหวังฉิงดังขึ้นมา
ความตื่นตระหนกท่วมท้นในความรู้สึกของ ฟางเสี่ยวโหรวและเพราะอารมณ์โกรธของฟางเสี่ยวโหรวเมื่อกี้ เหล่าสาวใช้ทุกคนจึงนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมา พวกนางจึงไม่รู้ว่าฝ่าบาทเดินเข้ามา
สีหน้าของฟางเสี่ยวโหรวเปลี่ยนไปทันทีและห้องก็ยังรกเละเทะไปหมดด้วย เธอสร้างภาพว่าเป็นคนที่อ่อนโยนมานาน แล้วอยู่ดีๆเธอจะมาทำเสียเรื่องและถูกทำลายยับเยือนไม่ได้
“หวัง… ฝ่าบาท มันไม่ใช่อย่างที่ท่านเห็นนะเจ้าคะ” น้ำตาของฟางเสี่ยวโหรวไหลร่วงลงมาทันทีและสีหน้าของเธอก็ดูเปราะบางราวกับดอกไม้เล็กๆที่น่าสงสารขึ้นมาในทันที
หวังฉิงสะบัดมือเธอออกอย่างเย็นชา “เสี่ยวโหรว เจ้ากล้ามากนะ!”
หัวใจฟางเสี่ยวโหรวสั่นรัวไปหมดและร่างก็เริ่มที่จะสั่นไปด้วย เป็นไปไม่ได้ ฝ่าบาทจะรู้เรื่องที่เธอทำลงไปไม่ได้
ฟางเสี่ยวโหรวพยายามที่จะปิดบังความรู้สึกเย็นยะเยือกที่เกิดจากความกลัวที่แผ่กระจายไปตั้งแต่หัวจรดเท้า
“มีอะไรเหรอเจ้าคะฝ่าบาท?” ฟางเสี่ยวโหรวถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“มีอะไรงั้นเหรอ?! เรื่องคืนนี้ ฝีมือเจ้าใช่ไหม?” หวังฉิง มองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีสังหาร
หลักๆก็เพราะเหตุการณ์มันดูแปลกๆ เขาอยู่ที่โถงหลักแต่กลับไม่มีใครบุกเข้ามาเลย อย่างไรก็ตามนักฆ่าทุกคนต่างก็เล็งที่จะบุกมาที่ตำหนักหิมะ มันเห็นได้ชัดว่ามีบางคนที่เล็งเป้าไปที่ มู่เทียน
แต่มู่เทียนไม่ใช่คนจากโลกนี้แล้วนางจะมีศัตรูได้ยังไง เมื่อตอนบ่ายตอนที่เขาเจอกับเสี่ยวมู่ เขารายงานเรื่องการทะเลาะของพวกนาง ดังนั้นคนแรกที่เขาสงสัยก็คือฟางเสี่ยวโหรว
เมื่อฟางเสี่ยวโหรวได้ฟังน้ำตาก็ร่วงลงมาทันที แค่ท่าทางของเธอตอนนี้ก็รับความเจ็บปวดที่มากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ดูเหมือนว่าแค่เพียงลมพัดมาก็ทำให้เธอล้มลงไปกับพื้นได้แล้ว
“ฝ่าบาท ท่านคิดแบบนั้นได้ยังไง? น้องเล็กของข้าถูกทำร้ายและข้าก็รู้สึกไม่ดีมากพออยู่แล้ว ถ้าข้าทำได้ ข้าก็อยากที่จะเป็นคนที่เจอเรื่องพวกนี้แทนนางเอง รู้ไหมฝ่าบาท ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีใครเข้ามา ไม่ว่าจะมีคนใหม่เข้ามามากแค่ไหน เหล่านางสนมของข้าเคยทำร้ายอะไรพวกนางหรือเปล่า?” หลังจากที่พูดจบ ฟางเสี่ยวโหรวก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าหวังฉิง
“ถ้าท่านไม่เชื่อข้า งั้นก็เชิญฆ่าข้าได้เลย เหล่านางสนมของข้าเองยินดีที่จะตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพวกนาง”