บทที่ 331
ขโมย
ยังไงซะ มู่เทียนก็เป็นคนใหม่จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ฝ่าบาทจะยังสนใจอยู่ อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปแทนที่ความสนใจจะลดน้อยลงแต่กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนเครื่องบรรณาการจะต้องถูกแบ่งเพื่อส่งไปยังตำหนักต่างๆด้วย แต่ตอนนี้ทุกอย่างจะต้องถูกส่งมาที่ตำหนักหิมะ เหล่านางสนมคนอื่นไม่มีแม้โอกาสที่จะได้ดูด้วยซ้ำ
“พวกนางเป็นสาวใช้ของข้าและเป็นเรื่องปกติที่ข้าจะมีสิทธิจัดการกับพวกนาง” มู่หรงตอบเสียงเรียบ เพียงแต่ว่าน้ำเสียงที่ฟางเสี่ยวโหรวได้ยินราวกับเป็นการยั่วยุ
“กล้ามากนะเจ้า เห็นว่าตัวเองเป็นคนโปรดของฝ่าบาทเลยไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเลย ไม่มีความเคารพกันเลย วันนี้ข้าจะสั่งสอนมารยาทให้เจ้าเอง”
เมื่อพูดจบ ฟางเสี่ยวโหรวรู้สึกอยากที่จะตบไปที่ใบหน้าสวยๆของมู่เทียน จึงง้างมือพร้อมด้วยกรงเล็บเตรียมที่จะฝากรอยไว้ที่หน้านาง
ยังไม่ทันที่มู่หรงจะได้ตอบโต้อะไร เหล่าทหารก็รีบตรงเข้ามาขวางฟางเสี่ยวโหรวพร้อมด้วยหอกยาวที่อยู่ในมือไว้ทันที
มือของฟางเสี่ยวโหรวสั่นไปด้วยความอายอยู่กลางอากาศ ใบหน้าสวยๆจู่ๆก็กลายเป็นซีดเผือดเล็กน้อย ที่หน้าอกของนางสั่นขึ้นลงเล็กน้อยและท่าทางของนางก็บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ
“กล้าดียังไง ไม่เห็นหรือไงว่านี่คือท่านหญิง ฟางเสี่ยวโหรวนะ?” แม่นมที่อยู่ข้างๆฟางเสี่ยวโหรวรีบร้องตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
เหล่าทหารที่อยู่เบื้องหน้านางยังนิ่งเฉยพร้อมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้นางเสียหน้าอย่างมาก แล้วแบบนี้นางจะปล่อยให้นั่งผู้หญิงคนนี้อยู่ในตำหนักแบบนี้ต่อไปได้ยังไง ฟางเสี่ยวโหรววางมือลง สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเป็นคาดเดาไม่ได้ นางไม่ปิดบังท่าทางอีกแล้ว สายตาของนางจ้องไปที่มู่เทียนอย่างดุดัน “อย่าอวดดีไปหน่อยเลย อยากจะตายนักหรือไง?” ฟางเสี่ยวโหรวพูดอย่างเย็นชา
มู่หรงเสวี่ยยกริมฝีปากที่ทรงเสน่ห์และเผยรอยยิ้มแสนสวยออกมา “คนพวกนี้ไม่ใช่คนของข้า เจ้าน่าจะไปบอกฝ่าบาทที่รักของเจ้านะ คนพวกนี้เป็นคนของเขา”
“ฮึ! ไปกันเถอะ” ฟางเสี่ยวโหรวสะบัดแขนเสื้อและหันหลังกลับไป
รอดูก่อนเถอะนังมู่เทียน!
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้กลัวนาง อีกอย่างเธอรู้สึกรังเกียจพวกผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์อย่างเสี่ยวเข่อลี่ด้วย
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ไว้หน้าเธอ งั้นเธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตีหน้ายิ้มเพื่อคอยประจบประแจงใคร
“นายหญิงมู่ต่อไปท่านคงจะต้องระวังตัวให้มากกว่านี้แล้วนะเจ้าคะ” สาวใช้ร่างเล็กพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ข้ารู้แล้ว” มู่หรงพูดเสียงเรียบ
เสี่ยวฉิงอยากที่จะพูดแต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดมากเกินไป พวกเธอเป็นแค่สาวใช้ พวกเธอรู้ทุกอย่าง หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง
จนกระทั่งเย็น หวังฉิงกลับมาพร้อมกับเนื้อตัวเปื้อนฝุ่น
ที่โต๊ะอาหาร
“ข้าอยากที่จะออกไปดูข้างนอกบ้าง” มู่หรงพูดเสียงเรียบ
“ไม่มีทาง!” หวังฉิงตบมือที่กำลังถือตะเกียบลงไปอย่างหนักและปฏิเสธออกมาอย่างไม่ลังเล นี่คิดว่าเขาไม่รู้หรือไงว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่?!
ปากของมู่หรงเสวี่ยแสยะเล็กน้อย ถึงแม้เธอจะรู้ว่าเพราะเรื่องก่อนหน้านี้ หวังฉิงคงจะระวังแจแน่ๆแต่เธอไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธอะไรง่ายขนาดนี้หรืออย่างน้อยเขาก็น่าจะฉลาดขึ้น
มู่หรงเบ้ปาก พูดออกมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “แต่อยู่ในตำหนักแบบนี้ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว…” เธอได้แต่เขี่ยข้าวในถ้วยโดยไม่กินเลย เธอแทบจะไม่ได้กินอะไรเลย เธอทำให้เขารู้สึกผิดมากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
หวังฉิงนวดไปที่หัวที่กำลังปวด ไม่ต้องพูดเลย เขาแทบไม่เคยเห็นท่าทางไม่พอใจของเธอเลย
ไม่เลยสักนิด เขาอยากที่จะเอาทั้งโลกมากองตรงหน้าเธอ เพียงแค่ให้เธอยิ้ม
“ทำไมเจ้าไม่ให้คนตามข้าล่ะ?” มู่หรงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงถามแต่ยังมีมารยาอยู่นิดหน่อยด้วย
หวังฉิงที่ยุ่งมาตลอดทั้งวันและเพียงแค่อยากที่จะพักผ่อนสบายๆ เขามาที่นี่ก็เพราะเขาชอบที่จะอยู่กับมู่เทียน ทั้งที่รู้ดีว่าตัวเองไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมาอยู่กับผู้หญิง แต่เขาก็ยังหวังที่จะได้อยู่กับมู่เทียน ดังนั้นเขาจึงลองทำทุกอย่างที่เขาไม่เคยทำมาก่อน ถึงแม้จนถึงตอนนี้เขาจะไม่เคยได้รับการตอบสนองเลย แต่เขาก็เชื่อว่าทองและอัญมณีเป็นทางออกที่ดีที่สุด
อีกอย่าง เขาก็ค่อนข้างที่จะมั่นใจในตัวเองอย่างมาก
“อีกสองวัน ข้าจะหาเวลาออกไปกันเจ้าแล้วกัน” ยังไงซะเขาก็ไม่อยากที่จะปฏิเสธเธอ ถึงแม้ตัวเองจะยุ่งมากก็ตาม
ในวินาทีนั้นมู่หรงมีความสุขมากจึงพูดออกมาอย่างพอใจ “ข้ารู้จักเจ้าดี ข้าสัญญาว่าจะทำตัวดีๆ” อันที่จริงครั้งนี้เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะหนีแต่มันจะเป็นก้าวแรกที่จะทำให้หวังฉิงคลายการคุ้มกัน เธอรู้ว่าหวังฉิงคงจะเพิ่มการคุ้มกันมากกว่าคราวที่แล้วเมื่อเธอออกไปข้างนอกครั้งนี้ เธอไม่มีโอกาสได้หนีแน่
โอกาสดีสุดท้ายถูกเสี่ยวไป๋ทำลายจนป่นปี้ไปหมดแล้ว ครั้งนี้เธอต้องจัดการเอง ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์เรื่องความสวยหรืออะไรก็ตาม เธอก็พร้อมที่จะเอามาใช้ทุกอย่าง
รอยยิ้มอ่อนโยนในสายตาของหวังฉิงอ่อนโยนมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าเขาจะต้องกังวลมากแค่ไหนแต่ตราบใดที่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอมันก็คุ้มแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องเมื่อตอนบ่าย ทหารชุดดำเว่ยเข้ามารายงานเขาและสายตาของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที
เดิมทีเขาเคยคิดว่าฟางเสี่ยวโหรวเป็นคนที่ดีอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมองเธอผิดไป ถ้ามู่หรงเสวี่ยรู้ว่าหวังฉิงกำลังคิดอะไร เธอคงจะเกลียดเขาแน่ๆ ผู้ชายที่มีภรรยาสามคนและสนมอีกสี่คนแต่ก็ยังอยากให้ผู้หญิงแต่ละคนเข้ากันได้ดีอย่างสันติ มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ? ถ้าเป็นในยุคสมัยใหม่ พวกเขาก็คงจะทึ่งหัวกันและสู้กันไปแล้ว
ดังนั้นที่ฟางเสี่ยวโหรวอิจฉาเธอ เธอไม่แปลกใจเลยสักนิด ยังไงซะหวังฉิงก็ทำมากเกินไปอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเธอไม่สนใจเลยสักนิด เธอมีเพียงวัตถุประสงค์เดียวเท่านั้น นั่นคือการหนีออกไปจากดินแดนแห่งไฟ
การที่ได้รู้ว่าตัวเองจะได้ออกไปข้างนอก สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยก็ดีขึ้นมากและบางครั้งที่ว่างก็จะคอยชวนหวังฉิงให้มากินข้าวด้วยบ่อยขึ้น
หลายวันที่ผ่านมานี้หวังฉิงยุ่งมากแต่เขาก็ยังอารมณ์ดีอย่างมากด้วย จนถึงขั้นกินข้าวไปสองถ้วยเลย
มู่หรงคิดอย่างละเอียด ครั้งนี้เธออยากที่จะซื้ออะไรบางอย่าง ผงยาใช้ไม่ได้ผลดังนั้นเธอจึงอยากที่จะซื้อข้าวของบางอย่างที่จะเอามาสร้างอะไรดีๆเพื่อใช้หนีได้
กลางดึกคืนหนึ่ง เป็นคืนที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงของแมลงและนกเท่านั้น มู่หรงเสวี่ยรู้สึกง่วงอยู่นิดหน่อย ข้างๆคือเสี่ยวฉิงที่พยายามทนความง่วงเพื่อมู่หรง
มู่หรงเสวี่ยพูดไปแล้วหลายครั้งว่ามันคงจะดีถ้าพวกเธอจะลงไปข้างล่างแล้วพักผ่อนกันบ้างแต่เสี่ยวฉิงและคนอื่นๆถูกฝึกนิสัยการเป็นทาสมานาน พวกเธอไม่ยอมที่จะลงไปข้างล่างและยืนยันที่จะอยู่พัดต่อให้มู่หรงเสวี่ย
สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยที่พูดจนปากเปียกปากแฉะก็ยังโน้มน้าวพวกเธอไม่ได้จึงทำได้เพียงกลับไปเข้านอน
จู่ๆข้างนอกก็มีเสียงดังโหวกเหวก
“มันหายไปแล้ว!”
“มีนักฆ่าเข้ามา!”
“เร็วเข้า จับโจรไว้”
“ทางนี้ ทางนี้”
มู่หรงเสวี่ยที่หลับไปแล้ว สะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอลุกขึ้นยืนและรีบสวมเสื้อผ้า “มีเรื่องอะไรกัน?” ทำไมข้างนอกเสียงโหวกเหวกขนาดนี้?”
“ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะนายหญิงมู่เดี๋ยวพวกทหารก็จัดการเอง นอนต่อเถอะเจ้าค่ะ”
กล้าดียังไงถึงเข้ามาในตำหนักแบบนี้?! พระราชวงศ์เข้ามาได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?! เสี่ยวฉิงและคนอื่นๆไม่ตื่นตระหนกเลยสักนิด พวกเธออยู่ในวังมาตั้งแต่เด็กๆ นอกจากความกลัวครั้งแรกตอนที่พวกเธอเข้ามาในวังแล้วได้เจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นพวกเธอก็ด้านชาไปหมดแล้ว ยังไงซะอยู่ข้างในแบบนี้พวกเธอก็ไม่เป็นไร
บางทีอาจจะมีคนที่พยายามเข้ามาขโมยของและถูกจับได้
“ข้าจะออกไปดูหน่อย” มู่หรงพูดเสียงเรียบ นี่เป็นโอกาสที่ดี ตอนนี้พวกทหารกำลังวุ่นวายซึ่งน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการหนี
อย่างไรก็ตามความฝันก็ดูสวยงามอยู่หรอกแต่ในความเป็นจริงมันเลือนรางอย่างมาก ตอนที่มู่หรงเปิดประตู เธอก็ยังเห็นว่าเหล่าทหารยังล้อมรอบประตูอยู่
เธอพูดออกไป “ข้างนอกมีเรื่องเกิดขึ้น ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ออกไปช่วยล่ะ? แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทของพวกเจ้าล่ะ?”
พวกทหารมองหน้ากันแต่ก็ยังไม่ตอบรับสิ่งที่มู่หรงเสวี่ยพูด
โอเค พวกเจ้าเย็นชา พวกเจ้าชนะ!
มู่หรงปิดประตูอย่างแรงพร้อมเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ด้วยความโมโห ไม่มีอารมณ์ที่จะกลับไปนอนแล้ว
เสี่ยวฉิงและคนอื่นๆต่างก็ยืนอยู่ข้างหลังมู่เทียน “นายหญิงมู่” เสี่ยวฉิงเรียกเสียงเบา
มู่หรงโบกมือ “พวกเจ้ากลับไปพักเถอะ ข้าไม่ง่วงแล้ว”
ในตอนนี้ จู่ๆที่หน้าประตูก็เกิดความวุ่นวาย หลังจากนั้นสักพักประตูก็เปิดออก
“ฮ่าฮ่าฮ่า คนสวย ข้ามาแล้ว” ชายวัยกลางคนพร้อมหนวดเคราเดินเข้ามา
มู่หรงเสวี่ยตัวแข็งทื่อพร้อมมองไปที่ประตูที่เปิดอยู่ ดูเหมือนว่าที่ด้านนอกจู่ๆก็มีชายชุดดำมากมายปรากฏตัวขึ้นมา และเหมือนว่าฝีมือของพวกเขาก็จะสูงมากด้วย ถึงแม้พวกการ์ดจะอยู่กันมากมายแต่พวกเขาก็ยังทำพลาดและถึงขนาดปล่อยให้ชายคนนี้บุกเข้ามาได้
เสี่ยวฉิงเข้ามายืนขวางหน้ามู่หรงเสวี่ยด้วยความกล้าหาญ “เจ้า เจ้ากล้าดียังไง ไม่รู้หรือไงว่าที่นี่ที่ไหน?”
เด็กโง่เอ่ย เห็นอยู่ชัดๆว่าทั่วทั้งตัวสั่นไปหมดด้วยความกลัว น้ำเสียงที่พูดออกมาก็ยังสั่น นางอ่อนแอกว่าเธออีกแต่ก็ยังโง่เข้ามากันเธอไว้อีก
“เพื่ออะไรงั้นเหรอ?! แม่หนู แน่นอนอยู่แล้วก็เพื่อมามอบความสุขให้เจ้าไงล่ะ”
ชายวัยกลางคนถึงขนาดเริ่มที่จะถอดเสื้อผ้าตัวเองด้วยซ้ำ
“ช่วยด้วย” เมื่อเหล่าสาวใช้เห็นสัญญาณแบบนี้ พวกนางต่างก็ตื่นตกใจและร้องออกมาในทันที
“ทุกคนมาหาข้านี่แล้วช่วยกันคุ้มครองนายหญิงมู่” เสี่ยวฉิงตะโกน สีหน้าซีดเผือด
อย่างไรก็ตามด้วยธรรมชาติที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์ แล้วตอนนี้จะมีใครเชื่อฟังสิ่งที่เธอพูดอีกได้ยังไง? มีเพียงเสี่ยวฉิงเท่านั้นที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เทียน ส่วนสาวใช้ที่เหลือต่างก็ยืนตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง
สายตาที่เย็นชาของมู่หรงจ้องไปที่ชายวัยกลางคนอย่างไม่คลาดสายตา ภาพของไม่กี่วันที่ผ่านมาก็แวบเข้ามาและสุดท้ายก็นึกถึงสายตามุ่งร้ายของฟางเสี่ยวโหรวในครั้งสุดท้าย
“สาวสวย ข้ามาแล้ว” ชายวัยกลางคนที่ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่ารีบพุ่งเข้าใส่มู่หรงทันที
มู่หรงยื่นมือเข้าไปในมิติลับและหยิบเอาผงยาออกมาโยนใส่ชายวัยกลางคน ถึงแม้คนในวังจะระวังเรื่องผงยานี้แต่ชายที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ระวังเรื่องนี้
สักพักชายวัยกลางคนที่อยู่เบื้องหน้าสาวน้อยทั้งสองคนก็ร่วงลงกับพื้นอย่างแรง เพราะระยะห่างไม่ได้ไกลกันมาก เสี่ยวฉิงจึงตัวสั่นเล็กน้อยและแทบที่จะทรุดลงไปกับพื้น
มู่หรงพยุงเธอไว้ได้ทันแล้วรีบป้อนยาถอนพิษใส่ปากเธอ
“นายหญิงมู่เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?” สิ่งแรกที่เสี่ยวฉิงทำคือมองมู่เทียนตั้งแต่หัวจรดเท้าและถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
หัวใจของมู่หรงเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา สาวน้อยคนนี้โง่จริงๆเลย เธอส่ายหัว “ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
เสี่ยวฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
มู่หรงเสวี่ยพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากครั้งนี้เพื่อที่หนีแต่ก็เห็นว่าหวังฉิงรีบเร่งฝีเท้ามาที่นี่ เขาผลักเสี่ยวฉิงไปด้านข้างและมองไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก “มู่เทียน เจ้าเป็นไงบ้าง? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
โอ้ ทำไมต้องรักเธอด้วยนะ ทรมานเธอแล้วก็ทรมานตัวเองด้วย
แต่เมื่อได้เห็นหวังฉิงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล เธอก็พูดอะไรที่รุนแรงไม่ออกเลยสักคำ เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ต้องห่วง เจ้าก็รู้ฝีมือข้าแล้วจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง?”