บทที่ 330
ข้าทำแบบนี้กับเจ้าเพียงคนเดียว
ตอนที่ถูกด่าเป็นคนป่าเถื่อนหวังฉิงไม่โกรธเลยสักนิด แต่เขากลับม้วนผมที่อ่อนนุ่มของเธอและเอามาแตะที่ปลายจมูกเพื่อที่จะคมอย่างอ่อนโยน กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอลอยมาแตะที่ปลายจมูกเขา เขาชอบกลิ่นของเธอ
มันหอมหวานโดยไม่ต้องพึ่งน้ำหอมหรือแป้งอะไรเลย
“ข้าทำแบบนี้กับเจ้าเพียงคนเดียว เจ้าน่าจะรู้สึกเป็นเกียรตินะ” หวังฉิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
มู่หรงกลอกตา ดึงผมของเธอกลับมาจากมือของเขา “ข้ายินดีมอบเกียรตินี้ให้คนอื่นดีกว่า”
แล้วเธอก็สะบัดมือตัวเองออกและรีบเดินไปด้านหน้าอย่างเร็ว
หวังฉิงไม่ยอมปล่อยให้เธอออกห่างเกินไป เขารีบเดินตามเธอไปติดๆแล้วก็จับมือเธอไว้อีกครั้ง ครั้งนี้เขาจับมือเธอไว้แน่นจนมู่เทียนสะบัดไม่หลุด
“ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เจ้าเป็นคนเดียวที่จะได้รับเกียรตินี้” หวังฉิงตอบเสียงเรียบ
ริมฝีปากบางที่เย็นชาของมู่หรงเปิดออกและถามออกมาอย่างติดตลก “ข้าสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงทำกับข้าแบบนี้?”
“ก็เพราะข้าชอบเจ้าไงล่ะ” หวังฉิงรับตอบออกมาทันที
“ชอบข้างั้นเหรอ?! ชอบข้า แต่ทำให้ข้าต้องแบ่งผู้ชายกับผู้หญิงมากมายเนี่ยนะ?! ข้าจะบอกไว้เลยนะ ไม่มีทาง! ผู้ชายของข้าจะต้องเป็นของข้าคนเดียว” มู่หรงพูดอย่างเย็นชา
“น่าขำ ผู้ชายที่ไม่มีสนมเนี่ยนะ ข้าไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะเป็นคนขี้อิจฉาขนาดนี้ ขำไม่คิดเลยจริงๆ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ถึงแม้ว่าจะมีภรรยาสามคนและนางสนมอีกสี่ แต่ต่อไปขำก็จะยกให้เจ้าเป็นที่หนึ่ง แบบนั้นโอเคไหม?” ในหัวใจของหวังฉิงรู้สึกมีความสุขอยู่เล็กน้อย
สิ่งที่เขาพูดมามันไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่เรื่องปกติที่เธอต้องการ ปากมู่หรงแสยะยิ้ม เธอไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้เลย
มันเป็นธรรมเนียมของยุคนี้ที่จะมีภรรยาได้สามคนและนางสนมอีกสี่คน เธอรู้แต่ที่พูดออกไปก็แค่อยากที่จะบอกว่าเธอกับเขาไม่ใช่คนจากยุคเดียวกัน
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว พูดง่ายๆนะสามีในอนาคตของข้าจะต้องมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น ช่างมันเถอะ เราคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก” มู่หรงพูดอย่างใจเย็น ในสายตาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ที่มุมปากของหวังฉิงค่อยๆเย็นขาขึ้นเรื่อยๆและความคิดในสายตาของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป
“เจ้าเป็นของข้าแล้วไม่ใช่เหรอ?! ยังจะมองหาสามีในอนาคตอีกงั้นเหรอ ?! ฝันไปเถอะ” หวังฉิงพูดอย่างเย็นขา
ประโยคนี้ทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกกลัวขึ้นมา
โอ้ เฮ้ อย่าพูดจาไร้สาระ เธอไปเป็นผู้หญิงของเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน?!
“เจ้า เจ้าพูดเรื่องอะไร?” มู่หรงชี้นิ้วด้วยความตกใจไปที่เขาและพูดออกมา
“เจ้าลืมเรื่องคราวที่แล้วไปแล้วหรือไง? จะให้ข้าช่วยเตือนความทรงจำข้าก็ไม่รังเกียจหรอกนะ” สายตาของหวังฉิงเต็มไปด้วยเปลวไฟและความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่ภายในทำให้มู่หรงเสวี่ยตัวสั่น
อันที่จริง ในประเทศนี้ถ้าผู้หญิงที่ถูกเห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าและถูกจุมพิตแล้ว นั่นก็หมายความว่าเธอได้เสียความบริสุทธิ์ไปแล้วและตกเป็นของคนอื่นไปแล้ว และไม่มีสิทธิ์ที่จะได้แต่งงานกับชายอื่นอีกและเธออาจจะต้องถูกจับขังให้อยู่ในเพียงที่เดียว
มู่หรงเสวี่ยนิ่งอึ้งไปนานแล้วจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง
หวังฉิงมองมาที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เธอหัวเราะอยู่นาน “เจ้าหัวเราะอะไร?! การพูดเรื่องความบริสุทธิ์ของผู้หญิงอย่างจริงจังมันมีอะไรน่าขำงั้นเหรอ.” หวังฉิงรู้สึกสับสนจึงถามออกมา
“ตอนที่เจ้าบอกว่าข้าเป็นผู้หญิงของเจ้าเพราะเจ้าจูบข้างั้นเหรอ?” หลังจากที่ผ่านไปนาน มู่หรงเสวี่ยก็หยุดหัวเราะและถามออกมา
“ใช่ มีอะไรงั้นเหรอ?”
มู่หรงตบเบาๆไปที่ไหล่ของหวังฉิงด้วยท่าทางสมเพชแล้วจึงพูดอะไรแปลกๆออกมา “งั้นเราก็ต่างกันมากเลยล่ะ”
“เจ้าหมายความว่ายังไง อธิบายมาเดี๋ยวนี้นะ!” หวังฉิงคิ้วขมวด เขาไม่ชอบที่มู่เทียนแบ่งแยกว่าพวกเขามาจากคนละโลก
ต่างกันงั้นเหรอ?! นอกจากเรื่องความแตกต่างระหว่างความเป็นหญิงและชายแล้ว จะมีเรื่องอะไรที่ไม่เข้าใจได้อีกล่ะ?!
“ในยุคของข้า การจับมือหรือการจูบกันไม่ใช่เรื่องที่แปลกเหมือนอย่างตอนนี้ แน่นอนว่าต่อให้แต่งงานกันแล้วก็ยังหย่ากันได้ สำหรับเรามันเป็นเรื่องปกติมากที่จะหาคนอื่นมาแต่งงานด้วยใหม่หลังจากที่หย่ากันแล้ว งั้นเจ้าเข้าใจหรือเปล่าล่ะ?”
“การหย่างั้นเหรอ? เลิกกันงั้นเหรอ?”
“ก็ประมาณนั้น”
“น่าขำ ต่อให้แยกกันแล้ว ผู้หญิงก็จะไปแต่งงานใหม่กับคนอื่นไม่ได้” ตรงกันข้ามเลย พวกเธอจะต้องถูกต่อต้านด้วยซ้ำ
มู่หรงขี้เกียจที่จะอธิบาย จึงเพียงแค่ส่ายหัวเบาๆ “ก็อย่างที่ข้าบอก นี่เป็นความแต่งต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเจ้ากับข้า เราอยู่คนละยุคกัน นี่เป็นความจริง”
สายตาของหวังฉิงล่องลอย และคำพูดของมู่เทียนก็แวบเข้าไปในความคิดของเขาแต่ต่อให้เธอพูดเรื่องจริง แล้วมันยังไงล่ะ?! “แต่ตอนนี้เจ้าอยู่ในยุคของข้า งั้นเจ้าก็ควรที่จะใช้ชีวิตตามแบบในยุคของข้า ใช่ไหมล่ะ?”
บ้าจริง ที่พูดก็มีเหตุผล! มู่หรงไม่คิดเลยว่าตัวเองจะปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้! อยากจะบ้าตาย ทำไมแย่อย่างนี้ล่ะ!
สักพักสีหน้าที่กำลังยิ้มของมู่หรงก็กลายเป็นราบเรียบแล้วพูดออกมา “สักวันข้าก็จะกลับไปที่ยุคของข้า” ฮึ เธอไม่อยากที่จะเถียงกับเขา การเถียงกับพวกคนหัวโบราณมันจะมีประโยชน์อะไร
เธอเร่งฝีเท้ามากขึ้นและหวังฉิงก็ตามเธอมา เมื่อมาถึงหน้าประตูห้อง มู่หรงเสวี่ยก็หันกลับมา “ข้าจะเข้านอนแล้ว เจ้าบอกว่าจะไม่บังคับข้า”
หวังฉิงมองเข้าไปในดวงตาที่มุ่งมั่นของมู่เทียนและรู้ได้เลยว่าตัวเองจะเร่งรีบเกินไปไม่ได้ ไม่งั้นเธอคงจะหนีหายไปอีกและเขาก็จะหาเธอไม่เจอ
“งั้นเจ้าก็พักผ่อนก่อนเถอะ แล้วข้าจะแวะมาดูเจ้าใหม่พรุ่งนี้” เมื่อพูดจบเขาก็ไม่ตามเธออีกแต่ยืนมองมู่เทียนอยู่เงียบๆพร้อมทั้งทำท่าให้เธอเดินเข้าประตูไป
มู่หรงมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชาพร้อมทั้งส่งเสียงฮึเบาๆ แล้วเดินเข้าไปอย่างหยิ่งผยอง ประตูปิดดังปัง หวังฉิงได้แต่ยืนงงพร้อมทั้งส่ายหน้าเบาๆ
หลังจากนั้นสักพัก รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าเขาก็จางหายไปแล้วจึงหันกลับมาพูดกับทหารที่อยู่ใกล้ๆ “ล้อมรอบตำหนักและเฝ้าเขาไว้ ถ้าเขาหนีไปได้ พวกเจ้าก็ระวังหัวตัวเองไว้ได้เลย”
“ขอรับฝ่าบาท”
บ้าจริง เธอได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน มู่หรงเสวี่บตบไปที่โต๊ะอย่างแรง ดูเหมือนว่าอีกนานเลยกว่าที่หวังฉิงจะผ่อนคลายเรื่องการเฝ้าระวังเธอ
หนี่งอาทิตย์ผ่านไป คราวนี้มีสาวใช้มากขึ้นกว่าคราวที่แล้วมาก ทหารก็มากขึ้นกว่าเดิมด้วย ไม่ว่าเธอจะเดินไปที่ไหนจะต้องมีขบวนยาวเป็นห่างว่าวคอยเดินตามไปด้วย ผู้คนที่ไม่รู้ต่างก็คิดว่าเธอเป็นพระมเหสีขององค์จักรพรรดิไปแล้ว ไม่รู้ว่าเธอต้องอธิบายเรื่องนี้อีกกี่ครั้งกัน
“โอ๊ย” มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง
“นายหญิงมู่ ออกไปเดินเล่นข้างนอกน่าจะดีนะเจ้าคะ ผีเสื้อในช่วงฤดูร้อนสวยมากเลยนะเจ้าคะ” สาวใช้ที่ชื่อ เสี่ยวฉิงพูดแนะนำขึ้นมา
“ฟู่!” มู่หรงเสวี่ยพ่นชาที่ดื่มเข้าไปเต็มปากออกมา
แล้วแทบจะในทันทีที่สาวใช้อีกคนเข้ามาทำความสะอาดจุดที่มู่หรงทำสกปรกไว้และอีกคนก็เช็ดที่มุมปากของเธอด้วยผ้าเช็ดหน้าผ้าไหม ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น
“ผีเสื้องั้นเหรอ?” ผีเสื้อมันอะไรกันเนี่ย?!
“เจ้าค่ะ นี่เป็นการละเล่นโปรดของสาวๆทุกคนเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวฉิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นางก็ได้รู้ว่านายหญิงมู่เป็นคนที่ใจดีและมีน้ำใจจริงๆ นายหญิงมู่ไม่เคยลงโทษพวกนางในฐานะสาวใช้เลยแต่กลับให้รางวัลพวกนางด้วยอาหารอร่อยๆบางครั้งบางคราว ตั้งแต่ที่พวกนางได้มารับใช้นายหญิงมู่ ทุกวันก็เลยกลายเป็นวันที่ผ่อนคลายอย่างมากในฐานะสาวใช้
นางหวังว่าจะได้รับใช้นายหญิงมู่ไปตลอด สาวใช้ตำหนักอื่นต่างก็อิจฉากันใหญ่ พวกนางต่างก็ยอมจ่ายเงินมากมายและอยากที่จะถูกย้ายมาที่ตำหนักของพวกนาง โชคไม่ดีที่มีคนพอแล้วและรับเพิ่มเข้ามาอีกไม่ได้แล้ว
“ช่างมันเถอะ ข้าไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนั้นเท่าไร” เมื่อพูดจบมู่หรงก็นอนลงฟุบลงไปที่โต๊ะในตำหนัก รู้สึกง่วงนิดหน่อย
หลายวันที่ผ่านมานี้หวังฉิงยุ่งมาก แต่เขาก็จะออกมากินอาหารค่ำกับเธอทุกวัน ส่วนเวลาที่เหลือเธอก็ไม่ได้เจอผู้คนมากนักจึงหาโอกาสไม่ได้เลย
สาวใช้พวกนี้ก็แค่ทำตามคำสั่งและเธอก็ไม่อยากที่จะทำให้พวกนางต้องเดือดร้อนด้วย เธอต้องจัดการเรื่องนี้กับหวังฉิง
“นายหญิงมู่ ที่โต๊ะนี่เย็นนะเจ้าคะ สวมนี่คลุมไว้หน่อยดีกว่านะเจ้าคะ” เสี่ยวฉิงรับผ้าห่มบางๆมาจากสาวใช้อีกคนและพูดกับมู่หรงอย่างอ่อนโยน
มู่หรงส่ายหัว นี่มันหน้าร้อนและโต๊ะหินนี่ก็เย็นสบายดี เธอจึงไม่อยากได้ผ้าห่มอะไร
เสี่ยวฉิงไม่มีทางเลือกนอกจากคืนผ้าห่มกลับให้สาวใช้อีกครั้ง แล้วจึงหยิบพัดออกมาและค่อยๆพัดให้นายหญิงมู่อย่างเบามือ
ดูเหมือนว่านายหญิงมู่จะขี้ร้อนเป็นพิเศษ จึงมักจะหาชุดของชาวบ้านมาใส่เสมอ เสื้อผ้าที่เป็นทางการมักจะมีหลายชั้น แต่นายหญิงมู่ก็สวยมากจนไม่ว่าจะสวมชุดไหนก็สวยไปหมด
อันที่จริงทุกคนในตำหนักต่างก็รู้ว่านายหญิงมู่เป็นคนโปรด ฝ่าบาทเชื่อฟังนายหญิงมู่แทบจะทุกเรื่อง
เครื่องบรรณาการที่ถูกส่งมาใหม่จะต้องส่งมาที่ตำหนักหิมะก่อนเป็นที่แรกแต่นายหญิงมู่กลับดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร ไม่ว่าองค์ชายจะตามใจเธอมากแค่ไหน เธอก็ยังดูเหมือนว่ามีอะไรอยู่ในใจ เธอไม่สนใจการละเล่นที่ครึ่งหนึ่งของสาวๆชอบด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามพวกเธอก็เป็นเพียงแค่สาวใช้ พวกเธอจึงไม่มีสิทธิที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเจ้านาย
“โอ้ น้องเล็ก ข้าไม่เห็นหน้าเจ้ามาหลายวันเลย เจ้าสวยขึ้นกว่าเดิมอีกนะเนี่ย” ที่ด้านข้างมีพระสนม ฟางเสี่ยวโหรวพร้อมด้านเหล่าสาวใช้ค่อยๆเดินเข้ามา
“องค์หญิงโหรว” เหล่าสาวใช้ที่อยู่รอบๆมู่หรงรีบคุกเข่าลงในทันที
มู่หรงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาด้วยความขี้เกียจ เมื่อเห็นรอยยิ้มจอมปลอมของฟางเสี่ยวโหรว เธอก็พูดเพียงแค่ว่า “อือ” มู่หรงไม่อยากที่จะสนใจเรื่องอื่นๆอีก จึงตอบไปสั้นๆ
ฟางเสี่ยวโหรวดูเหมือนจะลืมอะไรไปจึงไม่ได้บอกให้เหล่าสาวใช้ของมู่หรงที่อยู่ข้างๆลุกขึ้น
มู่หรงขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่เหล่าสาวใช้ที่ยังคุกเข่าอยู่ข้างๆเธอ “พวกเจ้าลุกขึ้นได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้ค่อยๆลุกขึ้นทีละคนๆ
อันที่จริง พวกเธอถูกสั่งให้มาอยู่ที่ตำหนักหิมะ พวกเธอก็จะต้องเชื่อฟังคำสั่งเพียงนายหญิงมู่และหวังฉิงเท่านั้นซึ่งถือเป็นสิทธิพิเศษสำหรับพวกเธอ
การทำความเคารพก็เป็นเพียงธรรมเนียมพื้นฐานเท่านั้น ถ้ามู่หรงเสวี่ยไม่สั่งให้พวกเธอลุกขึ้น พวกเธอก็จะต้องคุกเข่าไปตลอด
ฟางเสี่ยวโหรวไม่ใช่คนธรรมดา พวกเธออยู่ในวังมาตั้งแต่ยังเด็ก แล้วจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงในเมื่อพวกเธอถูกเลี้ยงมาในตำหนัก อย่างเช่นตอนนี้ดูเหมือนว่าองค์หญิงโหรวจะเสียอำนาจให้กับนายหญิงมู่ไปสะแล้ว แต่ในเมื่อตอนนี้องค์หญิงโหรวอยู่ที่นี่ด้วย พวกเธอจึงไม่กล้าที่จะพูดอะไร
แน่นอนว่าสีหน้าของฟางเสี่ยวโหรวเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที
“น้องเล็ก ดูเหมือนว่าเจ้าจะทรงอำนาจขึ้นทุกวันเลยนะ ถึงขนาดไม่สนใจคำสั่งของพระสนมอย่างข้าแล้ว” ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้เห็นสีหน้าไร้รอยยิ้มของฟางเสี่ยวโหรวพร้อมด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเย็นชาและคำพูดประชดประชัน
ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามา เธอพยายามที่จะสงบสติอารมณ์แล้วแต่เมื่อได้เห็นมู่เทียน เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกบ้าคลั่งไปด้วยความอิจฉาอีกครั้ง
ช่วงที่ผ่านมา หวังฉิงแทบจะไม่แวะไปหาเหล่านางสนมเลย แม้แต่กับเธอด้วย ทุกครั้งที่องค์ชายกลับมา เธอจะแต่งตัวสวยเป็นพิเศษมีคนเดียวที่องค์ชายกลับมาหาก็คือที่ตำหนักหิมะ ซึ่งในช่วงไม่กี่วันแรกเธอก็ยังพอที่จะทนได้อยู่หรอก