บทที่ 329 คุ้มกันราวกับสัตว์

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 329
คุ้มกันราวกับสัตว์

หวังฉิงรีบวิ่งเข้ามาที่เกิดเหตุและเห็นว่าเหล่าทหารต่างก็กำลังวุ่นวายกันอยู่ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นและทั่วร่างเขาก็เย็นยะเยือกไปหมด

เขามองไปที่ประตูที่อ้าเปิดและสีหน้าก็แวบประกายตื่นตระหนก

“หยุด หยุดเลย” หวังฉิงร้องออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว

เหล่าทหารค่อยๆเรียงแถวเบื้องหน้าหวังฉิง “บอกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”

แล้วทหารก็พูดออกมาว่ามีคนหนีออกมา พวกเขาก็รีบวิ่งตามออกมาโดยไม่ได้ได้ระวังเลยสักนิด

เมื่อหัวหน้าทหารก้าวออกมาและคุกเข่าลง “ขอรายงานฝ่าบาท มีชายหนุ่มวิ่งออกมาและจู่ๆก็หายตัวไป”

ครั้งนี้มู่หรงไม่ได้ใช้ร่างของผู้หญิงแต่ใช้แหวนมังกรเพื่อเปลี่ยนเธอให้กลับมาเป็นผู้ชายอีกครั้ง

“ผู้ชายงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงหรือเปล่า

หวังฉิงขมวดคิ้ว “พวกเจ้ามีกันตั้ง 300 คน แต่สู้ผู้ชายคนเดียวไม่ได้เนี่ยนะ?” น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกจนทำให้เหล่าทหารที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นไม่กล้าที่จะส่งเสียงอะไรออกมาอีก

“ตอบข้ามา เขาหายไปที่ไหน?”

“ขอรายงานฝ่าบาท จู่ๆผู้ชายคนนั้นก็โยนผงยาออกมาและก็หายตัวไปเพียงแค่เสี้ยววินาทีเลยขอรับ” กัปตันรายงานพร้อมทั้งก้มหัวอยู่

คนพวกนี้ไร้ประโยชน์จริงๆ ไม่คิดเลยว่าแค่คนคนเดียวก็ยังจับไม่ได้ ในหัวใจรู้สึกกลัวมากขึ้นไปอีก สุดท้ายแล้วคนคนนั้นเป็นใครกันแน่?! ถึงแม้ในดวงตาของพวกเขาจะมีผงยาอยู่แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเขาก็หายไปในพริบตา

แต่ไม่ว่าจะยังไงมันก็เป็นหน้าที่ของพวกเขาและพวกเขาไม่มีสิทธิที่จะมีอ้างอะไรทั้งนั้น

หวังฉิงคิดอยู่สักพัก เขารู้ความเจ้าเล่ห์ของมู่เทียนดี อีกอย่างมู่เทียนก็มีทักษะการหายตัวได้ที่ยังเป็นปริศนาและคาดเดาไม่ได้ เพียงแค่พริบตาเขาก็สามารถที่จะหนีรอดจากน้ำมือทหารทั้ง 300 คนของเขาไปได้ เธอนี่ทรงอำนาจจริงๆ

ทำให้เขารู้สึกทั้งรักทั้งเกลียดอย่างช่วยไม่ได้เลย!

ไม่อยากจะนึกเลยถ้าศัตรูได้คนแบบนี้ไป เขาจะปล่อยให้เธอกลับไปร่วมมือกับดินแดนเฮ่ยเฉินไม่ได้ นอกจากเรื่องความเห็นแก่ตัวของตัวเองแล้วเขายังนึกถึงภาพรวมของสถานการณ์ของดินแดนด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่จะทำให้ดินแดนเฮ่ยเฉินขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้นไปอีกแน่ๆ

“เขาหายไปตรงไหน?” นี่คือสิ่งแรกที่หวังฉิงให้ความสนใจ
หัวหน้าทหารชี้ไปที่พื้นที่โล่งที่อยู่เบื้องหน้าแล้วจึงพูดออกมา “ในตอนนั้นเหตุการณ์ค่อนข้างที่จะวุ่นวาย สิ่งสุดท้ายที่ข้าเห็นคือพื้นที่ตรงนั้นเพราะตอนนั้นข้ากำลังถูกผงยาทำให้งุนงงอยู่ เมื่อข้าลืมตาขึ้นมาก็น่าจะคลาดเคลื่อนไปสองสามวินาทีได้”

“ขยายพื้นที่ออกไปอีก 20 เมตรแล้วล้อมรอบไว้ ถ้าเห็นใครปรากฏตัวออกมา รีบมัดเขาไว้ทันที” หวังฉิงพูดออกมาอย่างเย็นชา เพียงแค่ไม่กี่วินาทีน่าจะไปได้ไม่ไกล

“ขอรับ” หัวหน้าทหารตอบ

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมฝ่าบาทต้องสั่งให้พวกเขาล้อมรอบพื้นที่ว่างเปล่านี้ไว้ก็ตาม แต่พวกเขาก็ทำตามคำสั่งและไม่จำเป็นที่จะต้องคิดอะไรให้มาก

แต่ฝ่าบาทบอกว่ารอให้เขาปรากฏตัวออกมางั้นเหรอ?! ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่มนุษย์หรือไง?!

ก่อนที่จะรอให้พวกทหารคิดออกมาทำไม หวังฉิงก็สั่งออกมาอีกครั้ง “พวกเจ้าได้รับอนุญาตให้มัดเขาเท่านั้น ห้ามทำร้ายเขา เข้าใจหรือเปล่า?”

ถึงแม้จะยังไม่ชัดเจนว่าใครที่เป็นคนปรากฏตัวออกมาแต่ก็กันไว้ก่อน เผื่อพวกทหารที่มือเท้าหนักแบบนี้อาจจะพรั้งมือทำร้ายมู่เทียนได้

“ขอรับ”

“เฝ้าเอาไว้แล้วรายงานข้าด้วยถ้ามีใครโผล่มา” หวังฉิงสั่ง แล้วเขาก็สะบัดแขนเสื้อและเดินออกไป

หลายวันที่ผ่านมานี้มีเรื่องดีเกิดขึ้น มีความก้าวหน้าในการพัฒนาระเบิดออกมาบ้าง ถึงแม้ผลลัพธ์ที่ได้จะยังไม่ทรงพลังเท่ากับของดินแดนเฮ่ยเฉินในวันนั้น แต่อย่างน้อยมันก็ได้เริ่มต้นไปแล้ว

โดยใช้หลักการเดียวกับประทัด เขาสั่งให้ผู้เชี่ยวชาญพัฒนาประทัดแบบพิเศษขึ้นมามากมาย เขาเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ พวกเขาจะสามารถที่จะพัฒนาระเบิดที่ดีได้ไม่ต่างจากดินแดนเฮ่ยเฉินแน่ๆ เขาดีใจมากที่วันนั้นได้เห็นการระเบิดด้วยสายตาตัวเอง ไม่งั้นพวกเขาคงไม่มีโอกาสได้ทำงานหนักกันแบบนี้แน่ๆ

หลังจากที่หวังฉิงออกไป ทหารที่เหลือก็เรียงแถวและจัดเป็นรูปวงกลมอยู่รอบๆพื้นที่ว่างเปล่าทันที เพราะพื้นที่ขยายออกไปมาก หัวหน้าทหารจึงต้องไประดมกองกำลังมาเพิ่มอีกด้วยเช่นกัน

มู่หรงที่อยู่ในมิติลับไม่หยุดที่จะเฝ้าสังเกตสถานการณ์ที่อยู่ด้านนอก พูดได้ว่าหวังฉิงเป็นคนที่ฉลาดอย่างมากที่คิดเรื่องพื้นที่ขึ้นมาได้ในทันที พื้นที่ 20 เมตรโดยรอบเป็นพื้นที่ที่เธอสามารถที่จะวิ่งหนีออกมาได้พอดี แล้วยังมีห้องต่างๆอีกมากมายอีก

บ้าจริง นี่ไม่มีทางที่ใครจะรอดออกไปได้แน่ๆ เธอคิดว่าคงยากที่จะหนีแล้ว
อย่างไรก็ตามภาพที่เห็นตอนกลางคืนก็ไม่ค่อยจะชัดเท่าไร เธอจึงต้องยอมแพ้ เมื่อคิดได้แบบนี้มู่หรงเสวี่ยจึงเดินกลับเข้าไปนอน

หนึ่งวันจะเท่ากับสิบปี ข้างในจึงมืดนานกว่าข้างนอกมาก

เธอกลับไปฝึกอีกครั้ง นอกจากจะได้เป็นการออกกำลังกายพลังแห่งจิตวิญญาณแล้ว มู่หรงเสวี่ยยังฝึกทักษะทางร่างกายอีกด้วย

ยังไงซะเมื่อเธอไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณ เธอก็ได้รู้ว่าความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นเรื่องที่สำคัญมากแค่ไหน

นี่ไม่พูดถึงหวังฉิงคนที่มีทักษะการป้องกันตัวเลย เธอสู้เขาไม่ได้เลยสักนิด บางทีเธออาจจะเจอตำราลับเรื่องการฝึกศิลปะการต่อสู้ของยุคนี้แล้วเอามาฝึกก็ได้

เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเองไม่สามารถที่จะเข้าถึงการกำเนิดของอาณาจักรได้เพราะเธอยังขาดอะไรบางอย่างอยู่ซึ่งอาจจะเป็นเพราะขาดความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายก็ได้

ค่ำคืนที่เงียบสงัด

เวลากลางคืนในช่วงฤดูร้อนเป็นอะไรที่น่าเบื่ออย่างมาก เหล่าทหารที่ยืนเรียงแถวไม่กะพริบตา บางครั้งบางคราวก็จะมียุงเข้ามาก่อกวนพวกเขาบ้าง

โดยเฉพาะทหารที่ยืนเฝ้ามาตลอดทั้งวันต่างก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกันบ้างไม่มากก็น้อย หนังตาก็พยายามที่ฝืน บางครั้งก็ต้องหยิกตัวเองอย่างแรงเพราะไม่กล้าที่จะผ่อนคลายและจ้องไปที่พื้นที่ที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา

อย่างไรก็ตามก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า บางครั้งบางคราวก็จะมีเสียงจิ้งหรีดเข้ามาส่งเสียงร้องขับกล่อมอยู่บ้าง
มู่หรงเสวี่ยยืนจ้องดูสถานการณ์ที่ด้านนอก ดูเหมือนว่าด้านนอกจากเป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว เธอคิดว่าจะรออีกสักชั่วโมงเพราะช่วงตีสองเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนจะรู้สึกง่วงมากที่สุด

ในระหว่างนี้เธอก็ทำผงประสาทหลอนไว้มากมาย เธอยังดูด้วยว่ามียาอะไรอีกที่ไม่ต้องผ่านทางเดินหายใจอีกหรือเปล่า เธอค้นหาตำราทุกเล่มแล้วแต่ก็ยังไม่เจออะไร

จนกระทั่งเวลาตีสอง มู่หรงหยิบผงยาออกมาจำนวนมาก แล้วแวบออกมาจากมิติลับในทันที เธอรีบโปรยผงยาให้กระจายทั่วหน้าเหล่าทหารทันที แล้วใช้จังหวะนี้เพื่อวิ่งหนีออกมาให้เร็วที่สุด

อย่างไรก็ตามมู่หรงไม่ได้เตรียมตัวมาสำหรับการป้องกันสองชั้น เมื่อเห็นว่าไม่มีทางที่จะหนีได้มู่หรงจึงแวบเข้าไปในมิติลับอีกครั้ง

บ้าจริง ไม่มีทางเลย นี่ดูเหมือนจะไม่มีทางให้หนีได้เลย

ในตอนนี้ไม่เสียเวลามานั่งประหลาดใจแล้ว พวกเขารีบล้อมรอบบริเวณที่มู่หรงเพิ่งจะหายตัวไปทันทีพร้อมด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

หัวหน้าทหารพูดขึ้นมา “พวกเจ้าล้อมตรงนี้ไว้ อย่าคลาดสายตาเลยเด็ดขาด ส่วนเจ้าไปรายงานเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทรู้”

ครั้งนี้ขอบเขตเล็กลงมากเพราะพวกเขาแทบจะเห็นการหายตัวไปของมู่หรงทุกฝีก้าว ดังนั้นพวกเขาจึงคาดเดาเรื่องขอบเขตของพื้นที่ได้

ถึงแม้มันจะดึกมากแล้วแต่หวังฉิงก็ยังไม่นอน เขาหยิบแผนที่ของดินแดนต่างๆออกมาและเตรียมสำหรับความวุ่นวาย

“ฝ่าบาท!” เสียงดังขัดความคิดของหวังฉิงดังขึ้นมา เขานวดไปที่ขมับและเงยหน้าขึ้น “มีเรื่องอะไร?”

“เมื่อกี้ชายคนนั้นโผล่มาอีกแล้วขอรับแล้วก็หายตัวไปอีก”

หวังฉิงลุกขึ้นทันที “งั้นไปดูกัน”

ไม่นานเขาก็มาถึงที่เกิดเหตุ “เขาหายไปตรงไหน?” หวังฉิงถาม

หัวหน้าทหารเดินออกมา ชี้ไปที่วงล้อมเล็กๆที่ล้อมรอบอยู่และพูดขึ้นมา “เขาหายไปตรงนี้ขอรับ แต่เขาเร็วเกินกว่าที่จะจับตัวไว้ได้ทันจึงหายไปใต้ต้นไม้ขอรับ”

“ไม่สำคัญหรอก เฝ้าเอาไว้แล้วกัน” หวังฉิงตอบเสียงเรียบ

“มู่เทียน ออกมานะ!” หวังฉิงร้องเรียกออกไปในอากาศ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามู่หรงเสวี่ยสามารถที่จะได้ยินเขา บอกให้ออกไปง่ายๆงั้นเหรอ มู่หรงกลอกตาอยู่ในมิติลับ

“ออกมาเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นกับเจ้าอีก” อันที่จริงบ่ายวันนี้ เขาได้ลองสำรวจตัวเองแล้วรู้สึกว่าคนที่เป็นสามีจะไม่บังคับภรรยาให้ทำเรื่องแบบนี้ อีกอย่างเขาทำให้เธอต้องหนีไป

เมื่อมู่หรงได้ยิน มุมปากเธอก็ยกขึ้นเล็กน้อย ต้องขอบคุณเขาที่รู้ตัว

“ออกมาเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่บังคับเจ้า” ริมฝีปากที่แสนจะเซ็กซี่ของหวังฉิงพูดออกมาพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย บางครั้งเขาก็รู้สึกว่ามู่เทียนเหมือนกับกระต่ายน้อย

มู่หรงลังเลอยู่สักพัก อันที่จริงการที่เธออยู่ในมิติลับก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเท่าไร การได้ออกไปข้างนอกและหาโอกาสที่จะหนีน่าจะดีกว่า

วินาทีต่อมา เธอก็ออกมาปรากฏตัวเบื้องหน้าหวังฉิง

“เจ้าสัญญาใช่ไหมที่บอกว่าจะไม่บังคับข้า” มู่หรงเสวี่ยพูดทันทีที่ปรากฏตัวออกมา

ดวงตาของหวังฉิงเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนมากขึ้นไปอีก “ข้าสัญญา”

มู่หรงเหลือบตาไปมองเหล่าทหารนับร้อยแล้วจึงหันกลับมา “งั้นเจ้าจะไม่สั่งให้พวกเขาไปงั้นเหรอ?” เธอไม่ใช่นักโทษนะ?!

แต่นี่มันเหมือนกับเป็นนักโทษเลย สำหรับหวังฉิงมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยให้เธออยู่โดยไม่มีใครเฝ้า หวังฉิงยืนมือตัวเองออกไปและจับไปที่มือของเธอ แล้วจึงโบกมือให้พวกทหารพร้อมทั้งพูดว่า “พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว หัวหน้าทหาร เหลือทหารให้เฝ้าไว้แค่ 30 คนพอ”

มู่หรงเสวี่ยยกมุมปากแสยะยิ้ม อย่างที่คิดไว้เลย เธอก็ยังต้องมีคนเฝ้าอยู่ดีใช่ไหม?!

“ข้าง่วงแล้ว ข้าขอนอนได้ไหม?” เธอสะบัดมือหวังฉิงออก แต่ก็ทำไม่ได้

หวังฉิงมองมู่เทียนและต้องรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าหายไปแค่วันเดียว ทำไมถึงได้ดูตัวใหญ่ขึ้นอีกล่ะ?” เขาเป็นคนที่ฝึกทักษะการต่อสู้เป็นประจำจึงเห็นการเปลี่ยนของมู่หรงเสวี่ยเรื่องความแข็งแรงได้อย่างชัดเจน

ในหัวใจของมู่หรงรู้สึกมีความสุขแต่แล้วก็ต้องหมองลง ถึงแม้จะตัวใหญ่ขึ้นแล้วยังไงแต่ก็ยังสู้เขาไม่ได้อยู่ดี ดูเหมือนว่าเธอต้องพยายามให้มากกว่านี้

“แน่นอนเจ้าไปพักผ่อนได้ ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่ห้องตัวเอง” รอยยิ้มอันอ่อนโยนในดวงตาของหวังฉิงชัดเจนมากขึ้นไปอีก

เมื่อกลับมาถึงห้อง ร่างของมู่หรงสั่นเล็กน้อย “เจ้าจะทำอะไร เจ้าบอกว่าจะไม่บังคับข้า”

“แค่มาส่งเจ้ากลับห้องเอง เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่งั้นเหรอ?” หวังฉิงหรี่ตาและมองจ้องมาที่มู่เทียนที่จู่ๆก็เปลี่ยนร่างเป็นผู้ชาย แต่ก็ยังหลงเหลือความงามอยู่จนเขาต้องกลืนน้ำลายตัวเอง

ความอ่อนหวานที่เขาได้ลิ้มรสชาติก่อนหน้านี้เขายังจำได้อย่างชัดเจน เขาเสทำเป็นมองไปทางอื่นเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าต้องใช้ความพยายามในการควบคุมตัวเองมากแค่ไหนที่จะอยู่ให้ห่างจากมู่เทียน บางทีมู่เทียนอาจจะไม่มีวันเข้าใจว่าเธอมีอิทธิพลกับเขามากแค่ไหน

มู่หรงเสวี่ยสูดอากาศหายใจ คนที่เคยมีประวัติแบบนี้จะไปเชื่อถือได้ยังได้กัน แถมนี่ยังต้องมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันอีก!!!

“ทำไมเจ้าถึงกลับมาเป็นผู้ชายอีกแล้วล่ะ? นี่เจ้าไม่ใช่คนหรือไงถึงได้เปลี่ยนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ หรือเจ้าเป็นพวกสองเพศ?” หวังฉิงมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสงสัย ถึงแม้เขาจะชอบมู่เทียนไม่ว่าเขาจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม แต่นี่มันก็แปลกเกินไปหน่อย

มู่หรงหรี่ตาไปที่เขาแล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูก “ก็เพื่อป้องกันตัวเองจากพวกป่าเถื่อนไงล่ะ”