บทที่ 2178+2179

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2178 ขอทานกลุ่มหนึ่ง 3

ฮวาจื่อชุนตะลึงงัน

“เจ้าเมืองของพวกเจ้ามิใช่ฮวาเฟิงซูแล้วหรือ?”

ฮวาเฟิงซูคือนามของบิดาเขา

“แน่นอนว่ามิใช่! และไม่เกรงที่จะบอกให้เจ้ารู้ไว้ว่า ท่านเจ้าเมืองของพวกเราแซ่เย่นามหลิง ท่านเจ้าเมืองเย่!”

 กล่าวคือเจ้าเมืองคนปัจจุบันนามว่าเย่หลิง

ฮวาจื่อชุนตกตะลึง สำหรับเขาแล้วนี้ชื่อนี้แปลกหูนัก เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

ที่แท้เจ้าเมืองลั่วฮวาก็เปลี่ยนคนแล้ว…

แล้วบิดาของเขาล่ะ?!

“เช่นนั้นเจ้าเมืองผู้เฒ่าฮวาเฟิงซูไปอยู่ไหนแล้ว?”

ฮวาจือชุนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

เจ้าพนักงานเมืองคนนั้นกรอกตาแวบหนึ่ง

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง?! อาจตายไปนานแล้วก็ได้ ข้าอยู่ที่เมืองนี้มาแปดสิบปีแล้ว ยังไม่เคยได้ยินชื่อฮวาเฟิงซูอันใดเลย”

ฮวาจื่อชุนหน้าถอดสีแล้ว ที่แท้บิดาเขาก็สิ้นไปนานแล้ว…

ฮวาเฟิงซูเคยเป็นความภาคภูมิใจของเมืองลั่วฮวา ประชาชนในเมืองต่างรู้จักทั้งสิ้น ปรารถนาจะยกเขาขึ้นเป็นพระโพธิสัตว์เดินดินยิ่งนัก ไม่นึกเลยว่าจะลงเอยเช่นนี้…

ฮวาจื่อชุนได้รับความสะเทือนใจยิ่งนัก ยืนอยู่ตรงนั้นสองขาสั่นนิดๆ

ชุนเฉาพยุงเขา มองขึ้นไปบนกำแพงเมืองอย่างขุ่นเคือง แล้วก้มหน้าปรึกษากับหัวหน้าเผ่า

“หัวหน้าเผ่า ไม่อย่างนั้น พวกเราสังหารแล้วบุกเข้าไปเลยไหม?! คงจะไม่ทิ้งพี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายายแล้วก็พวกเด็กๆ ไว้จริงๆ กระมัง?!”

ฮวาจื่อชุนเงยหน้ามองกำแพงเมือง ส่ายหน้านิดๆ

“บุกเข้าไปไม่ได้หรอก บนกำแพงเมืองล้วนเป็นกลไกทั้งสิ้น…ถ้าเราบุ่มบ่ามไปเพียงนิดก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกยิงธนูใส่จนพรุน…”

บนกำแพงมีช่องสี่เหลี่ยมเรียงราย ด้านหลังของแต่ละช่องล้วนมีพลธนูซุ่มอยู่หนึ่งคน หากคนด้านล่างมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ ลูกธนูนับหมื่นก็จะถูกปล่อยออกมาจากกำแพง…

ยิ่งไปกว่านั้นคือสะพานแขวนข้ามคูเมืองก็ยังไม่ถูกปล่อยลงมา ไม่มีทางบุกเข้าไปได้…

เจ้าพนักงานเมืองที่อยู่บนกำแพงเมืองเลือดเย็นยิ่งนัก พวกฮวาจื่อชุนที่ยืนอยู่ด้านล่างกำแพงเมืองพูดจาดีๆ ไปหลายกระบุงแล้ว ล้วนไม่เป็นผลเลยสักนิด กลับทำให้เจ้าพนักงานเมืองคนนั้นหงุดหงิดขึ้นมา

“ใต้เท้าอย่างข้าคร้านจะพูดจาไร้สาระกับพวกเจ้าแล้ว! ไสหัวไปซะ! ไสหัวไป! ถ้าขืนพูดมากอีกสักประโยคล่ะก็ ลูกธนูของผู้เฒ่าไม่มีตาหรอกนะ!”

หัวลูกศรนับไม่ถ้วนเปล่งประกายยะเยือกพ้นช่องลมออกมา เล็งใส่คนที่ยืนอยู่ด้านล่าง

หัวลูกศรนั้นเป็นสีฟ้าเข้ม เห็นได้ชัดว่าเคลือบพิษไว้!

ภายในสถานการณ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่พวกชาวเผ่าที่ไม่กล้าขยับเขยื้อนเลย แม้แต่พวกเจ้าเฟิงฉิงก็ไม่กล้าผลีผลามเคลื่อนไหวแล้ว!

เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ ผ่านพ้นไปเรื่อยๆ

ตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วยังคงไม่กลับมาเลย ชาวบ้านวิตกกังวลขึ้นเรื่อยๆ ร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ…

พายุฝนย่างกรายมาในคืนหลังคารั่ว[1] ขณะที่พวกเขากำลังจดจ่อกับการรอคอยอยู่นั้น พลันมีเสียงฝีเท้าวิ่งกันอย่างครึกโครมปานฟ้าคำรามแว่วมาจากส่วนลึกของป่าทึบ…

เสียงดังทับซ้อนกัน ทำให้ใจคนรัดแน่น

ขณะที่ฝูงชนตกตะลึงอยู่ ก็มองเห็นคนประมาณยี่สิบคนวิ่งอยู่ท่ามกลางฝุ่นคลุ้งฟุ้งตลบ และด้านหลังห่างจากพวกเขาไปไม่ไกล มีสัตว์กลายพันธุ์อย่างเสือ สิงโต หมี นับร้อยตัวไล่ตามมาอยู่…

สัตว์ร้ายเหล่านี้ล้วนใหญ่โตกว่าสายพันธ์ที่เคยเห็นทั่วไปถึงสองเท่า แต่ละตัวดุร้ายเป็นพิเศษ วิ่งได้รวดเร็วไร้ใดเทียม ยามที่ไล่ตามมาดุจพายุลูกหนี่ง

“พวกเราล่าผลึกวิญญาณได้แล้ว! เปิดประตูสิ! เปิดประตู!”

คนที่นำขบวนตะโกนขึ้นไปบนกำแพง ชูผลึกวิญญาณในมือขึ้นสูง…

เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ลำบากลำบนยิ่งนักกว่าจะล่าผลึกวิญญาณก้อนนี้มาได้ หลายคนมีบาดแผลอยู่บนร่าง โลหิตอาบย้อมอาภรณ์ที่สวม

เจ้าพนักงานเมืองผู้นั้นย่อมมองเห็นชัดเจน โบกมือคราหนึ่ง ปล่อยสะพานแขวนลงไปเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด

และในยามที่สะพานแขวนถูกปล่อยลงมา สัตว์ร้ายพวกนั้นก็ไล่ตามมาทันแล้ว

ยี่สิบคนนั้นล้วนมีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม สะพานแขวนยังไม่หยุดนิ่งดี พวกเขาก็เหินร่างขึ้นไปแล้ว รีบวิ่งเข้าเมืองไป…

————————————————————————————-

บทที่ 2179 ขอทานกลุ่มหนึ่ง 4

สัตว์ร้ายเหล่านั้นไล่ตามยี่สิบคนนั้นไม่ทัน จึงเบนเป้าหมายทันที พุ่งเข้าใส่เหล่าชาวบ้านที่ยังรออยู่ที่ด้านล่างเมือง!

เหล่าชาวบ้านเฝ้ารอคนอยู่ เดิมทีกระจายตัวกันไป ที่นั่งก็นั่ง ที่ยืนก็ก็ยืน ยามนี้จู่ๆ เห็นสัตว์ร้ายพุ่งเข้าใส่ จึงตื่นตระหนกขึ้นมาในทันใด!

สัตว์ร้ายเหล่านั้นแสนรู้ยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่ามองแวบเดียวก็แยกออกแล้วส่วนไหนในกลุ่มคนที่เป็นผู้อ่อนแอ บรรดาสัตว์ร้ายในสิบตัวจะมีอยู่แปดตัวที่พุ่งเป้าโจมตีเด็กและสตรีเหล่านั้น…

เถี่ยตั้น เถี่ยหนิวพวกบุรุษที่ห้าวหาญร้อนใจอยากปกป้องญาติมิตร พยายามเข้าไปขวางสัตว์ร้ายเหล่านั้นไว้ ต่อสู้กับสัตว์ร้ายเหล่านั้น

แต่ยามนี้สัตว์ร้ายที่เข้ามาโจมตีมีมากเกินไปจริงๆ ถึงนับรวมพวกเจ้าเฟิงฉิงด้วยแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปกป้องไว้ได้ทุกคน…

เหล่าชาวบ้านอลหม่านขึ้นมาชั่วขณะ มีเสียงร้องระงมของเด็กๆ มีเสียงตะโกนของผู้ใหญ่ สับสนวุ่นวาย…

บางคนลนลานจนวิ่งสะเปะสะปะ วิ่งไปทางสะพานแขวนด้านหลังที่เพิ่งปล่อยลงไป…

“ห้ามขึ้นสะพานแขวนนะ!”

เสียงตะคอกดังขึ้นบนกำแพงเมือง เกิดเสียงดังฟุ่บลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งลงมา เกือบจะปักเท้าของคนผู้นั้นแล้ว

“ผู้ใดกล้าขึ้นสะพานแขวนจะถูกฆ่าโดยไม่ละเว้น!”

เสียงของเจ้าพนักงานแฝงไอสังหารเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าไม่ผ่อนปรนเลยสักนิด

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ หลังจากรอจนยี่สิบคนนั้นข้ามสะพานแขวนไปแล้ว สะพานแขวนนั้นก็ถูกชักขึ้นไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง…

หนทางรอดเพียงสายเดียวถูกตัดขาดแล้ว ชาวบ้านจึงสับสนอลหม่านกว่าเดิม วิ่งวุ่นวายดั่งแมลงวันไร้หัว…

“ตั้งค่าย! ตั้งค่าย!”

ในยามคับขันยังคงเป็นเจ้าเฟิงฉิงที่เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด

ในที่สุดเหล่าชาวบ้านก็นึกได้แล้วว่ายามที่พวกเขาหนีออกมา ได้ก่อขบวนค่ายกลพิทักษ์ไว้ ด้วยเหตุนี้แต่ละคนจึงรีบวิ่งเข้าประจำตัวแหน่งตน…

จนปัญญาที่สัตว์ร้ายเหล่านั้นพุ่งเข้ามาโจมตีแล้ว เผ่นโผนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คิดว่าจะรวมตัวตั้งค่ายอีกครั้งได้ง่ายๆ หรือ?

ถึงแม้พวกเจ้าเฟิงฉิงจะสังหารสัตว์ร้ายไปสี่ห้าตัวแล้ว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ดูแลได้ทั่วถึงรอบด้าน

เจ้าเฟิงฉิงเบิกตามองสิงโตตัวหนึ่งตะปบอุ้งเท้าใส่เด็กน้อยคนหนึ่ง แผงฟันแหลมคมหมายจะขยำเข้าที่ลำคอของเด็กน้อย…

คนที่อยู่รอบตัวเด็กคนนี้ล้วนกำลังต่อสู้กับสัตว์ร้ายตัวอื่นอยู่ ผู้ใดก็ไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือได้ชั่วขณะ ขณะที่มองเห็นเด็กน้อยคนนั้นกำลังสิ้นชีพใต้คมเขี้ยวสิงโต จู่ๆ ก็มีเงาสีเขียวสว่างวาบขึ้นมา คนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ปลายเท้าพลันตวัดขึ้นสูง เตะสิงโตดุร้ายตัวนั้นปลิวออกไป!

สิงโตหนักถึงหนึ่งตัน ยามที่ปลิวออกไปก็เสมือนภูเขาเนื้อลูกหนึ่ง ชนใส่ร่างเสือตัวหนึ่งเสียงดังตูม ทำให้เสือตัวนั้นล้มกลิ้งไปหนึ่งตลบ…

เด็กน้อยคนนั้นรอดพ้นจากความตาย อกสั่นขวัญแขวนอยู่ เมื่อมองเห็นคนที่ปรากฏตัวขึ้นข้างกาย หลังจากทึ่มทื่ออยู่ครู่หนึ่ง ก็ร้องไห้จ้า

“พี่สือโทว!”

ดวงตาของชาวบ้านที่เหลือก็เจิดจ้าเช่นกัน น้ำตาแทบจะไหลพรากแล้ว

“สือโทว!”

“พี่สือโทว!”

“พี่สือโทว ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”

ผู้มาคือกู้ซีจิ่ว ไม่ใช่แค่เธอที่กลับมาแล้ว ตี้ฝูอีก็ตามมาถึงแล้วเช่นกัน ยามนี้เขากำลังเข่นฆ่าสัตว์ร้ายอยู่…

แน่นอน ยามนี้กู้ซีจิ่วก็ไม่มีแก่ใจจะมาทักทายชาวบ้าน เรือนกายเธอไหววูบ กระบี่ล้ำค่าแกว่งไกว เข่นฆ่าสัตว์ร้ายที่เข้าโจมตีชาวบ้านเช่นกัน

ร่างของพวกเขาสองคนดุจปรอทตกต้องพื้น แทบจะแทรกซึมไปได้ทุกที่ ทุกจุดที่ไปถึง มีซากศพเกลื่อนกลาด สัตว์ร้ายทั้งหลายล้วนถูกสะบั้นหัวในชั่วพริบตา

ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา สัตว์ร้ายกว่าร้อยตัวนั้นก็ถูกสังหารไปเกินครึ่งแล้ว ตัวที่เหลือเมื่อเห็นท่าไม่ดี ก็เผ่นหนีกันหมดแล้ว

ท่าร่างของสองคนนี้รวดเร็วเกินไป วรยุทธ์เยี่ยมยอดเกินไป ไม่ใช่แค่ชาวบ้านเท่านั้นที่จิตใจมั่นคงยิ่งนัก แม้แต่ทหารบนกำแพงเมืองเหล่านั้นก็มองจนทึ่มทื่อไปหมดแล้ว!

หลังจากสัตว์ร้ายเหล่านั้นที่ตายก็ตาย ที่หนีก็หนีไปแล้ว ฝูงชนก็อดไม่ได้ที่จะโห่ร้องยินดี

คนที่อยู่ใต้เมืองร้องไชโยที่รอดพ้นความตายมาได้ คนที่อยู่บนเมืองก็ร้องชมเชยในวรยุทธ์อันล้ำเลิศของพวกกู้ซีจิ่วทั้งสอง ทั้งบนเมืองใต้เมืองต่างโห่ร้องยินดีเสียงกึกก้องไปทั่ว

….

————————————————————————————-


[1]  พายุฝนย่างกรายมาในคืนหลังคารั่ว หมายถึง เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ปัญหามักจะมาต่อเนื่องกัน