ตอนที่ 258 โบราณนานมาฮ่องเต้ล้วนแต่เป็นบุรุษเสเพล

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

แม้จะถูกนางถามเข้าตรงๆ เช่นนี้ จีเฉวียนกลับเอาแต่ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดหยดน้ำบนใบหน้าให้นาง 

 

 

เช็ดทีละนิดๆ จะสะอาดหมดจรด เนื่องเพราะอวบอ้วนขึ้นมา ผิวพรรณของนางจึงยิ่งละเอียดเนียน ราวกับไข่ต้มที่พึ่งจะปอกเปลือกไข่ออก ยิ่งเมื่อได้รับหยดน้ำก็ยิ่งนุ่มลื่น ให้สัมผัสที่ละมุนละไม 

 

 

จีเฉวียนมองดูดวงตาดอกท้อคู่นั้นของนาง ก็ยื่นพระหัตถ์ไปเก็บใบไม้ที่หล่นลงมาบนศีรษะของนางออกไป “สิ่งที่เจ้าอยากรู้ รอจนกลับไปแล้ว เราจะบอกเจ้าเอง” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาลง สถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะซักถาม 

 

 

เพียงแต่นางไม่นึกไม่ฝันว่า จีเฉวียนเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับหยกสรรพชีวิตเช่นกัน 

 

 

หยกสรรพชีวิตแตกกระจาย กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่พลังของมันยังคงแข็งแกร่งเกินสิ่งใดเทียบ หากไม่ใช่ผู้ที่ร่างกายมีคุณสมบัติพิเศษหรือดวงจิตที่มีพลังเหนือธรรมดา ไม่เพียงแต่ไม่อาจควบคุมพลังของหยก ทั้งยังอาจเป็นฝ่ายถูกควบคุมเสียเอง 

 

 

แต่พลังอำนาจของเศษหยกสรรพชีวิตชิ้นนี้ เมื่อดูจากสภาพร่างกายของจีเฉวียนแล้ว แสดงว่าเขาสามารถควบคุมมันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว 

 

 

หากมิใช่ว่าตอนที่อยู่ในทะเลทรายนั้นพลังของมันรั่วไหลออกมาสู่ภายนอก ไม่รู้ว่าต้องอีกนานเท่าไรนางถึงจะรู้ความลับอันนี้ 

 

 

จีเฉวียนผู้นี้…….ยิ่งทียิ่งมีอะไรที่นางอ่านไม่ออก 

 

 

ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องผึ้งพิษ สุสานของเย่วฮูหยิน ยังมีเรื่องที่เมืองลี่โจวถูกน้ำหลากอีกด้วย ตอนแรกเขาทำเหมือนไม่รู้จักเรื่องภูติผีปีศาจใดทั้งนั้น แต่ตอนหลังกลับใช้ดาบเดียวพิฆาตงูยักษ์ พอถึงตอนนี้ก็สามารถควบคุมพลังของหยกสรรพชีวิตได้อีก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะรู้ว่า บุรุษผู้นี้เสแสร้งมาโดยตลอด 

 

 

หรือบางที นางอาจถูกเขามองออกหมดมาตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

ตอนที่อยู่ในวังหลวงนางใช้พลังของหยกสรรพชีวิตออกมาตั้งหลายต่อหลายครั้ง ในเมื่อเขาเองก็มีหยกนี้ไว้ในครอบครองมีหรือจะไม่รู้สึกถึงมันได้? 

 

 

ตอนนี้ สายตาของตู๋กูซิงหลันที่มองไปยังเขาเปี่ยมไปด้วยความซับซ้อนมากขึ้นแล้ว 

 

 

เขาเป็นเหมือนกับผู้ควบคุม ในขณะที่พวกนางคือเม็ดหมากบนกระดาน เขาสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวทุกอย่างของพวกนางได้อย่างชัดเจน ราวกับว่ากำลังชมการแสดงอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

แต่หมากอย่างพวกนางกลับนึกเอาเองว่าตนมีอิสระ 

 

 

จีเฉวียนรับรู้ถึงสายตาของนางด้วยพระเนตร ก็เคาะลงบนหน้าผากของนางเบาๆ “อย่าคิดมากไป เรามิได้ชั่วร้ายขนาดนั้น” 

 

 

ตรัสแล้วก็ฉุดนางออกเดินไปข้างหน้า 

 

 

พระหัตถ์ที่ใหญ่โตคว้าชายเสื้อของนางเอาไว้ ถึงแม้ว่าตลอดทางมานี้จะอยู่ใกล้กันอยู่เสมอ แต่เมื่อได้ใกล้ชิดกับนางถึงเพียงนี้ พระทัยของฮ่องเต้ก็ยังคงเต้นระรัว 

 

 

ความรู้สึกเช่นนี้ ซุนต้มยาได้ถ่ายทอดเคล็ดลับที่ได้จากภรรยาของเขา มันคือ กวางน้อยกระโดดโลดเต้น [1]  

 

 

ถึงแม้ว่าหัวใจของจีเฉวียนจะโลดเต้นคึกโครมเหมือนอย่างกวางน้อย แต่สีพระพักตร์ภายนอกยังคงสงบนิ่งเหมือนดั่งภูเขาน้ำแข็ง 

 

 

พอลากตู๋กูซิงหลันออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปิดกว้างกว่าเดิม 

 

 

สายลมที่โชยมาปะทะใบหน้า นำพากลิ่นดินและกลิ่นหญ้าที่เปียกชื้นมาด้วย ลมกลางฤดูร้อนมิได้อบอ้าว 

 

 

แต่ยามที่พลิ้วผ่านลำคอ กลับเย็นสบายไม่น้อย 

 

 

เส้นผมของตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนถูกลมโบกโบยจนพันเข้าหากัน ทั้งสองยืนเคียงคู่มองออกไปยังเบื้องหน้า ถึงพบว่าตอนนี้พวกนางยืนอยู่บนผาสูงแห่งหนึ่ง ใต้ฝ่าเท้าคือหุบเหวลึกที่ไร้ก้นบึ้ง และด้านตรงข้ามของเหวลึก คือภูเขาสูงที่มียาวต่อเนื่องกันจนเป็นเทือกเขา 

 

 

ภูเขาสูงทะลุไอเมฆขึ้นไปเป็นชั้นๆ คล้ายดั่งเป็นดินแดนเซียน 

 

 

เหนือศีรษะสูงขึ้นไปคือสายรุ้งอันสวยสดงดงาม แสงทองจากสายรุ้งทาบลงมา ทำให้แต่ละช่องชั้นของภูเขาเกิดมีแสงทองเรืองรองครอบคลุมจางๆ 

 

 

ทั้งสองยืนรับสายลมอยู่เคียงกัน เมื่ออยู่ในบรรยากาศโดยรอบเช่นนี้ ก็เหมือนดังเป็นคู่เซียนวิเศษที่ฝึกตนอยู่ในหุบเขาบำเพ็ญเซียน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว ภูมิประเทศเช่นนี้นับว่างดงามจนเกินคาดไปแล้ว ใครเลยจะไปคิดว่า ใต้พื้นทะเลทรายยังมีดินแดนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่กัน? 

 

 

นางสูดลมหายใจเข้าไปจนลึก ก็รู้สึกได้ว่าอากาศแสนสดชื่น 

 

 

ดินแดนแห่งนี่อุดมไปด้วยพลังวิญญาณ เป็นสถานที่เหมาะสมกับการฝึกตนอย่างยอดเยี่ยม 

 

 

ตอนนี้พวกนางยังอยู่เพียงด้านนอกของหุบเขา ตรงกึ่งกลางของขุนเขาคือภูเขาสูงเหยียดเมฆลูกหนึ่ง เมื่อมองขึ้นไปก็ยังไม่สามารถมองเห็นยอดเขาได้เลยด้วยซ้ำ 

 

 

นางหรี่ตาลง ย้อนคิดไปถึงภาพแผนที่กรุสมบัติที่เคยได้เห็นมา 

 

 

ถึงนั่นเป็นแผนที่เพียงครึ่งแผ่น แต่ก็สามารถนำมาเปรียบเทียบกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าได้ 

 

 

กรุสมบัติแห่งนั้นคงจะต้องอยู่ในสระสวรรค์ที่เป็นใจกลางของยอดเขาเเป็นแน่ 

 

 

“แค๊ก แค๊ก…” ทันใดนั้นเอง เงาดำสายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากจุดใดก็บินถลากลับเข้ามาอยู่ในเงาของนาง 

 

 

ครู่ต่อมาเงาดำๆ นั้นก็ปีนออกมาอีกครั้งหมอบพักร่างอยู่บนหัวไหล่ของนาง 

 

 

“อ้ายโย่ว ข้าเกือบจะกลับมาไม่ได้เสียแล้ว” วิญญาณทมิฬทางหนึ่งใช้มือสั้นๆ ของมันเช็ดถูใบหน้า ทางหนึ่งก็มองดูสถานที่โดยรอบไปด้วย “หลันหลัน เมื่อคืนนี้มันคือแผนล่อเสือออกจากถ้ำแท้ๆ มีคนคิดร้ายกับเจ้า จนตัวข้าเองก็เกือบจะโดนไปด้วยเสียแล้ว” 

 

 

วิญญาณทมิฬพูดพลาง ก็คิดย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ในใจอดจะรู้สึกละอายขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

มันได้กินปีศาจไร้หน้าไปหลายตัวติดๆ กันแต่ว่าปีศาจไร้หน้าเหล่านั้นก็ล่อลวงมันเข้าไปในวงเวทย์แห่งหนึ่ง วงเวทย์นั้นถูกจัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรก คิดจะกักขังมัน 

 

 

หากมิใช่เพราะว่ามันชาญฉลาดและมีพละกำลังมากพอ เกรงว่าตอนนี้ก็คงจะจบสิ้นไปเสียแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองมันแวบหนึ่ง เห็นดวงตากลมโตของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงดุจเลือด บนร่างของมันยังมีไอดำเข้มข้นหมุนวนอยู่ตลอด ได้กินปีศาจไร้หน้าเข้าไปหลายตัว ร่างกายของมันก็มีพื้นฐานที่มั่นคงกว่าเดิม 

 

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง วิญญาณทมิฬถึงได้พึ่งจะรู้สึกตัวว่ารอบตัวไม่มีผู้คนอื่นอยู่อีก มันรีบสอบถามตู๋กูซิงหลันในทันที “ทำไมเจ้าถึงได้อยู่กับเจ้าฮ่องเต้สุนัขกันตามลำพังอีกแล้วเฮอะ? พี่ชายเจ้าล่ะ หยวนเฟยล่ะ แล้วก็ไอ้ไก่ตัวนั้นด้วย?” 

 

 

พูดแล้ว มันก็ไม่ลืมที่จะเหลือบมองไปทางจีเฉวียนด้วยความไม่ชอบใจอีกรอบ 

 

 

“จะต้องเป็นเพราะว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้คิดไม่ซื่อกับเจ้าเป็นแน่ ก็เลยตั้งใจสลัดพวกพี่ชายเจ้าทิ้งไป” 

 

 

“หลันหลัน ข้าจะบอกเจ้าไว้นะ แต่โบราณนานมาฮ่องเต้ล้วนแต่เป็นบุรุษเสเพล เจ้าอย่าได้ไปหลงกลเขาเชียวนะ” 

 

 

วิญญาณทมิฬพร่ำพูดออกมาราวกับโดนพี่รองเข้าสิงร่าง ก่อนหน้านี้ยังมิใช่เพราะเกรงว่าจะรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ไม่ได้ ถึงได้บอกให้หลันหลันไปล่อลวงฮ่องเต้สุนัขหรอกหรือ 

 

 

ตอนนี้ปัญหาเรื่องการรักษาชีวิตให้รอดถือว่าคลี่คลายไปกว่าครึ่งแล้ว พอคิดดูแล้ว ซื่อม่อคงจะกำลังรอคอยพวกมันกลับไปอย่างหงอยเหงาอยู่ในโลกโน้นละมั้ง 

 

 

ลูกศิษย์ที่เลี้ยงดูอุ้มชูมาจนเติบใหญ่ จะอย่างไรเสียก็คงจะไม่ยอมให้เจ้าฮ่องเต้สุนัขคาบไปหรอกมั้ง? 

 

 

พอวิญญาณทมิฬพล่ามออกไปชุดใหญ่จนจบ ก็เห็นจีเฉวียนทรงหันพระพักตร์มา ทอดตาดูมันด้วยสายพระเนตรเย็นยะเยือก “เจ้าคิดว่าเราหน้าตาเหมือนสุนัข หรือว่าน่ารักดุจสุนัข?” 

 

 

วิญญาณทมิฬกำลังแคะจมูก แต่ประโยคเดียวของจีเฉวียนทำเอามันเกือบจะหงายท้องตายเสียแล้ว 

 

 

มันหันหัวไปมองจนรอบด้าน จากนั้นก็กลับมามองดูตนเอง 

 

 

สุดท้ายก็หันไปมองตู๋กูซิงหลัน “หลันหลัน ฮ่องเต้สุนัขสมควรจะมองไม่เห็นข้าใช่ไหม?” 

 

 

จากนั้นก็ขอคำยืนยันอีกครั้งหนึ่ง “มองไม่เห็นหรอก ใช่ไหม?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……” 

 

 

ถึงแม้ว่าจีเฉวียนจะผนึกเนตรหยินของตนเองไปแล้ว แต่ว่าในร่างกายของเขามีหยกสรรพชีวิต วิญญาณทมิฬก็พึ่งจะกลืนกินปีศาจไร้หน้าไปหลายตัว ร่างจิตของมันก็เริ่มจะคงที่ขึ้นมา จีเฉวียนไหนเลยยังจะมองไม่เห็นได้อีก? 

 

 

แต่ละคำที่เรียกเขาเป็นฮ่องเต้สุนัขอย่างคล่องแคล่ว ไหนเลยจะไม่ทำให้จีเฉวียนรู้ว่ายามปกตินางมักจะนินทาเขาลับหลังไว้มากมายเพียงไร 

 

 

ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันตอบคำถามของมัน ก็เห็นจีเฉวียนยื่นพระหัตถ์ออกมา ใช้เพียงสองนิ้วก็คีบหลังคอของวิญญาณทมิฬที่ชะตาขาดเอาไว้แล้วตรัสว่า “เราแลดูคล้ายคนที่ตาบอดหรือไร?” 

 

 

วิญญาณทมิฬถูกเขาคีบเอาไว้ ก็ต่อสู้ดิ้นรนอยู่กลางอากาศ เตะต่อยทั้งมือและเท้าสั้นๆ ออกไปอย่างคลุ้มคลั่ง 

 

 

อ๊ากกก! ใครจะไปรู้ว่าฮ่องเต้สุนัขตาบอดอยู่ๆ ก็กลับมาตาดีเสียเฉยๆ? 

 

 

………………………….. 

 

 

คุยกันนิดนึง: 

 

 

หลันหลัน: ลูกเต้อย่างรังแกสัตว์เลี้ยงแม่สิลูก 

 

 

ฉวนฉวน : ไม่ได้รังแกครับแม่ เต้แค่แหย่มันเล่นเท่านั้น (ยิ้มเ**้ยม) 

 

 

ตอนต่อไป “เสี่ยวซิงซิง” หลายตอนมานี้ ชื่อตอนแต่ละตอนจะหวานมาก ไรท์เริ่มปวดฟันแล้ว 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] 小鹿乱撞: หัวใจกระสับกระส่ายทั้งกลัวทั้งตื่นเต้น ราวกับลูกกวางที่อยู่ไม่สุข