ตอนที่ 259 เสี่ยวซิงซิง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“เป็นเพราะเจ้ามันเป็นตัวแสบ ชอบมาว่าร้ายเราต่อหน้าซิงซิง [1] ?” 

 

 

จีเฉวียนยกมันขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา ประกายแสงจากดวงเนตรหงส์แทบจะเสียบทะลุมันไปหลายรู 

 

 

“ซิงซิง?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “???” 

 

 

จีเฉวียนหันกลับมาสบตามองตู๋กูซิงหลันอีกครั้งหนึ่ง กระแสอบอุ่นในดวงตาพวยพุ่งออกมา “อาหลัน หลันหลัน หลันเอ๋อร์ล้วนถูกพวกเจ้าเรียกไปจนหมดแล้ว เราย่อมต้องเรียกให้พิเศษแตกต่างออกไป มีปัญหาหรือไง?” 

 

 

วิญญาณทมิฬและตู๋กูซิงหลันต่างก็กล่าวอะไรไม่ออก ดวงดาวเนี่ยพิเศษออกไปรึ ทำไมไม่เรียกดวงอาทิตย์ไปเลยล่ะ? 

 

 

เห็นตู๋กูซิงหลันยิ่งมีสีหน้างงงวย จีเฉวียนก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยตรัสว่า “หากว่าเจ้าไม่ชอบล่ะก็ เราจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวซิงซิง (ดาวน้อย) ก็ได้” 

 

 

นางรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาในทันที แทบจะล้มลงไปบนพื้น 

 

 

จะให้ร้องเพลงโอ้เจ้าดาวดวงน้อยให้เขาฟังด้วยไหม? 

 

 

“เสี่ยวซิงซิง ทั้งมีไหวพริบและงดงาม เหมาะกับเจ้ามากเลย” จีเฉวียนแย้มสรวลอย่างอ่อนโยนที่สุด ราวกับว่าแม้แต่เรื่องที่พวกนางเรียกเขาเป็นฮ่องเต้สุนัขก็ไม่ได้เอามาถือสาต่อไปแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันลอบกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง รู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาตลอดร่าง 

 

 

ฮ่องเต้ทรงพระราชทานนาม นางยังจะปฎิเสธได้อีกหรือ? 

 

 

“โอรสสวรรค์ประทานนามมาให้ ในใจของหม่อมฉันมีแต่ความปิติยินดี” นางปาดเช็ดหยาดน้ำตา 

 

 

“เสี่ยวซิงซิงเป็นเด็กดี” จีเฉวียนใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งคีบวิญญาณทมิฬเอาไว้ อีกข้างหนึ่งลูบศีรษะของตู๋กูซิงหลันด้วยความพอพระทัยอย่างยิ่ง 

 

 

มุมพระโอษฐ์มีรอยยิ้มอยู่มิได้ขาด เดิมทีตั้งพระทัยเอาไว้ว่าจะอยู่ตามลำพังกับตู๋กูซิงหลัน ดังนั้นจึงได้ตั้งใจสลัดพวกตู๋กูเจวี๋ยกับหยวนเฟยออกไป 

 

 

ตอนนี้ก็แค่เพิ่มสัตว์อสูรขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง ไม่นับว่าเป็นอย่างไรได้ 

 

 

ถือว่ามันเป็นหัวผักกาดหัวไชเท้าไปเสียก็แล้วกัน 

 

 

สายลมในภูเขาแปลกประหลาดนัก เมื่่อครู่ยังยังอ่อนโยนอยู่แท้ๆ แต่เพียงแค่ไม่นานก็พลิกผันไปเสียแล้ว เสียงคร่ำครวญดังขึ้นมาจากเบื้องล่าง แต่เพราะลมแรงเกินไปจึงฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง 

 

 

ริมหน้าผามีเถาวัลย์งอกเงยอยู่ไม่น้อย แต่ละเส้นยาวราวกับมือผี ทั้งยังแกว่งไกวไปตามสายลม 

 

 

พืชพรรณเหล่านี้คล้ายคลึงกับสิ่งที่เคยได้เห็นยามเมื่ออยู่ในป่าทึบของหนานเจียง 

 

 

พอตู๋กูซิงหลันนึกขึ้นมาได้ก็เหลือบมองดูด้านหลังกระหม่อมของจีเฉวียนแวบหนึ่ง ตอนที่อยู่ในป่าทึบของหนานเจียง จีเฉวียนถูกกระชากเส้นผมไปกระจุกหนึ่ง ตอนนี้มองดูแล้วก็ผมบางไปบ้างอยู่เหมือนกัน 

 

 

หากว่าอีกสักครู่โดนอีกครั้ง ดูท่าคงจะต้องโล้นเป็นแน่ 

 

 

แต่ว่าปัญหาที่อยู่ตรงหน้าพวกนางในตอนนี้ก็คือ ทำยังไงถึงจะไปถึงภูเขาที่อยู่ตรงกลางลูกนั้นได้ 

 

 

“นอกจากพวกเราแล้ว ยังมีแคว้นฉิน เหยียน และเจ็ดแคว้นเล็กๆ ขุมอำนาจต่างๆ ล้วนส่งคนเข้ามา ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” 

 

 

จีเฉวียนตรัสอย่างพระทัยเย็น “จะเป็นโยนกระเบื้องแลกหยก [2] หรือ ตั๊กแตนจับจิ้งหรีด [3] ล้วนต้องมีเหยื่อล่อทั้งนั้น” 

 

 

ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนจนไม่อาจจะชัดไปกว่านี้ได้อีกแล้ว พวกนางจะค่อยๆ ไปอย่างช้าๆ รอให้ผู้อื่นเปิดทางไปก่อน และต่อสู้กันจนตกตายไปข้างหนึ่งแล้ว พวกนางก็ค่อยชิงสมบัติจากกองเลือด ชิงตัดหน้าผู้อื่นนั่นเอง 

 

 

ไม่เสียทีที่เป็นฮ่องเต้สุนัข เป็นพวกหมาไนพันปีแท้ๆ 

 

 

ที่ก่อนหน้านี้ตู๋กูซิงหลันติดกับอุบายของเขามาหลายรอบ ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้นี่เอง 

 

 

ก่อนหน้านี้นางเคยคิดว่า ท่านอาจารย์คือจิ้งจอกเฒ่าหมื่นปี คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้ก็มีคนที่สามารถเทียบเคียงกับเขาได้เหมือนกัน 

 

 

“แคว้นเซอปี่ซือคือสถานที่ที่มีภูมิประเทศงดงามที่สุดในแผ่นดินนี้ น่าเสียดายที่ล่มสลายไปนานหลายปี เปรียบเทียบกับสมบัติมากมายที่กองเป็นภูเขาเลากาแล้ว บรรยากาศระหว่างทางเช่นนี้กลับงดงามยิ่งกว่า” จีเฉวียนตรัสต่อไป และหันพระพักตร์กลับมายื่นพระหัตถ์ข้างหนึ่งให้ตู๋กูซิงหลัน “เสี่ยวซิงซิง เจ้ายินดีจะชื่นชมบรรยากาศเช่นนี้กับเราหรือไม่?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถูกเขาเรียกเป็นเสี่ยวซิงซิง เสี่ยวซิงซิง จนนางเกือบจะลอยขึ้นฟ้าไปเป็นเซียนอยู่แล้ว 

 

 

หากมิใช่เพราะว่าเขายื่นกีบหมูออกมา นางคงไม่ทันได้รู้สึกตัวว่าเขากำลังเรียกนางอยู่ ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไปคว้าชายแขนเสื้อของเขาเอาไว้ “ก็ดีนะเพคะ ฝ่าบาท~” 

 

 

พระหัตถ์ของจีเฉวียนกลายเป็นเคว้งคว้างว่างเปล่า พระองค์ขยับปลายนิ้วน้อยๆ เพื่อคลายความขัดเขิน แต่พอเห็นนางจับชายฉลองพระองค์เอาไว้แน่น ก็ไม่ต่อว่าต่อขานใดๆ อีก 

 

 

พอก้าวเท้าออกไป ก็สัมผัสกับลมภูเขาที่ลอยมาปะทะ ลมโหมจนเถาวัลย์ประหลาดพวกนั้นยิ่งโบกสะบัด 

 

 

“ซู่ ซู่ ซู่ …..” พวกมันโบกไปตามสายลม เกิดเป็นเสียงที่ทำให้คนฟังแล้วต้องขนลุกขึ้นมา 

 

 

 

 

 

ฝีเท้าของจีเฉวียนไม่ได้หยุดลง หากแต่ก้าวต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงริมผา 

 

 

คราวนี้สายพระเนตรของฮ่องเต้ค่อยปรากฏไอเย็นชาขึ้นมาชั้นหนึ่ง 

 

 

เถาวัลย์เหล่านั้นก็พากันจับตาดูอยู่เฉยๆ ไม่กล้าชิงลงมือโดยง่าย 

 

 

ใต้หน้าผา เงาร่างสีเขียวสดเงาหนึ่งแขวนตัวอยู่บนก้อนหิน พอมันรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมา ก็ชักจะรู้สึกว่ากระทั่งก้อนหินที่เกาะอยู่ก็กำลังจะกลายเป็นน้ำแข็งไปด้วย 

 

 

มันโบกเส้นเถาวัลย์สีเขียวสด ค่อยๆ ยื่นศีรษะออกมาครึ่งหนึ่ง 

 

 

ทันทีที่โผล่หัวออกไป ก็ถูกหมอกสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามาโอบรัดเอาไว้ 

 

 

สายหมอกสีดำบางๆ นั้นคล้ายดั่งเป็นเส้นเชือกนับพันนับร้อยเส้น กระหวัดมัดมันเอาไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นก็ลากขึ้นไปอย่างโหดร้าย ร่างกว่าครึ่งของมันถูกลากออกมาจากชะง่อนหิน 

 

 

มากองอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้ 

 

 

“เฮอะ ภูติพฤกษาเรอะ!” วิญญาณทมิฬยังคงถูกจีเฉวียนคีบเอาไว้ ตอนนี้จึงได้แต่โบกไม้โบกมือป้อมๆ ของมัน แต่ดวงตากลับเป็นประกายขึ้นมา 

 

 

มันกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง ทำท่าจอมตะกละขึ้นมาในทันที 

 

 

พวกภูติ คือจิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในขุนเขาจำพวกหนึ่ง พวกมันสามารถสะสมจิตวิญญาณและพลังของผืนดินและผืนฟ้าจนสร้างร่างขึ้นมาได้ 

 

 

ที่แท้เจ้าภูติพฤกษาที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็มีระดับการบำเพ็ญเพียรที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ถึงขนาดมีรูปร่างคล้ายเป็นมนุษย์ได้แล้ว ถึงแม้ว่าผิวพรรณยังคงเป็นสีเขียวสดใส แต่อย่างน้อยๆ ก็มีใบหน้างอกเงยขึ้นมาแล้ว 

 

 

“ภูติพฤกษา หากนำไปปรุงยาสามารถกลั่นเป็นยาลูกกลอนยืดอายุ หากเอามาทำบ้านช่องห้องหับก็ช่วยปกปักษ์รักษาความปลอดภัย ประกอบอาหารก็บำรุงร่างกายอย่างยิ่ง สร้างเสริมธาตุพื้นฐาน เป็นของดี” ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียน อธิบายอย่างละเอียดลออ 

 

 

“เสี่ยวซิงซิงชอบหรือ?” ขณะที่จีเฉวียนมองดูนาง ไอสีดำก็รั้งแน่นกว่าเดิม เกือบจะรัดมันจนขาดใจตายไปแล้ว 

 

 

“สิ่งมีชีวิตที่หาได้ยาก ย่อมต้องชอบอยู่แล้ว” ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มพลางผงกศีรษะ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นจับจ้องอยู่บนตัวของภูติพฤษาอย่างไม่วางตา 

 

 

หลายประโยคนี้ ทั้งสายตาที่มองมา ทำเอาภูติพฤษาตกใจจนร้องไห้แล้ว 

 

 

มันดิ้นรนอยู่บนพื้น ป่ายปัดเถาวัลย์สีเขียวไปมา ทำตัวคร่ำครวญเป็นวิญญาณโหยหวน 

 

 

“ฮือ ฮือ ฮือ ท่านเซียนทั้งหลายโปรดไว้ชีวิต เสี่ยวจิงไม่อร่อยหรอก ยังไม่ได้กลายเป็นร่างมนุษย์เลยด้วยซ้ำ ไม่มีคุณค่าใดแม้แต่น้อย” มันทางหนึ่งต่อต้านทางหนึ่งก็อ้อนวอนขอชีวิต “ท่านเซียนมาถึงที่นี่ คงจะไม่รู้ว่า ที่นี่ก็คือแดนต้องห้ามของแคว้นเซอปี่ซือ ขอเพียงพวกท่านไว้ชีวิตเสี่ยวจิง เสี่ยวจิงยินดีจะเป็นผู้นำทางให้ท่าน มิต้องให้พวกท่านต้องยากลำบาก” 

 

 

ภูติพฤกษากล่าวด้วยความจริงใจ ที่ผ่านมาบางครั้งก็มีเหล่านักพรตผ่านเข้ามาถึงที่นี่อยู่บ้าง เพียงแต่ว่านักพรตเหล่านั้นล้วนเป็นพวกดอกไม้ลายปักบนหมอน ถึงดูแล้วสวยงามแต่กลับใช้การไม่ได้ 

 

 

ภูติพฤกษาตัวเล็กๆ อย่างมันแค่สะบัดสายเถาวัลย์เข้าพัวพัน ก็สามารถทำให้พวกเขาตกใจจนฉี่ราดได้แล้ว 

 

 

พอนานวันเข้ามันก็ชักจะคุ้นเคย หลายปีมานี้มีนักพรตที่ถูกมันลากลงหน้าผาไปแล้วนับสินคน 

 

 

เดิมทีก็คิดว่าผู้ที่มาในครั้งนี้เป็นเพียงนักพรตธรรมดา ไหนเลยจะรู้ว่า มันจะกลายเป็นฝ่ายที่ถูกลากออกมา ทั้งยังมัดมันเอาไว้เสียจนหมดหนทางเคลื่อนไหว 

 

 

พอเงยหน้าขึ้นมองดูบุรุษและสตรีตรงหน้า แต่ละคนหน้าตาไม่สมควรจะผิดใจด้วยทั้งนั้น 

 

 

พวกที่หน้าตาดีมักมีความสามารถไม่น้อย พวกหน้าตาแย่ๆ ถึงสามารถจัดการได้ตามใจ เหตุผลเช่นนี้ของพวกมนุษย์กล่าวเอาไว้ไม่ผิดเลย 

 

 

ไม่รอให้มันได้มองดูจีเฉวียนอีกสักหน่อย ก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่า “เราต้องการข้ามหุบเหวนี้ไป หากว่าเจ้าใช้การไม่ได้ เราก็ขาดแคลนเชื้อไฟอยู่พอดี ไฟจากภูติพฤกษาย่อมต้องยอดเยี่ยมที่สุดแน่ เราก็ต้องการใช้” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] 星星 : ดวงดาว 

 

 

[2] 抛砖引玉Pāo zhuān yǐn yù: ใช้สิ่งที่คล้ายคลึงกันแต่ด้อยค่ากว่ามาเป็นตัวล่อให้ได้รับสิ่งที่มีค่าเหนือกว่า  

 

 

[3] 螳螂捕蝉 

 

 

—— 

 

 

คุยกันนิดนึง: 

 

 

ถวนจื่อ: นั่งเป็นหลับ ขยับเป็นกิน คือคำขวัญของเรา