บทที่ 673 ขอร้องแทนมู่เหมียน

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 673 ขอร้องแทนมู่เหมียน

“ท่านอ๋อง…..เกิดอันใดขึ้นหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าคิดเลย ในวังเป็นสถานที่เช่นไรกัน

“พระสนมเอกเซียวเป็นบ้าต้องการจะบีบคอองค์หญิงกู้กั๋วให้ตาย ถูกนางกำนัลพบเข้าจึงได้ช่วยเอาไว้ ทหารองครักษ์เร่งมาถึงขันทีน้อยสองและนางกำนัลคนหนึ่งได้ตายแล้ว

ฝ่าบาทเสด็จไป พระสนมเอกเซียวก็เกือบจะสังหารฝ่าบาทซะแล้ว”

ฉีเฟยอวิ๋นสูดลมหายใจอันเย็นเข้า: “จากนั้นหล่ะ?”

“จากนั้นหมอหลวงกรอกยาแล้วพระสนมเอกเซียวจึงได้หลับไป หมอหลวงตรวจไม่พบสิ่งใด มีคนบอกว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย หมอหลวงหูตรวจดูในอาหารมียาอยู่แต่ตรวจไม่พบว่าคือสิ่งใด”

“ท่านอ๋อง คือ……”

“อืม”

หนานกงเย่บีบคางของฉีเฟยอวิ๋น: “อวิ๋นอวิ๋นถูกต้องแล้ว ในวังเป็นสถานที่ที่กินคนโดยไม่คายกระดูก”

ฉีเฟยอวิ๋นกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเย่: “ท่านอ๋องไม่พอใจหรือ?”

“รู้ดีว่าเป็นผู้ใดแต่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ มองดูพวกเขาก่อเรื่องนำบ้านเมืองมาล้อเล่นแล้วจะพอใจขึ้นมาได้เช่นไร?”

“……นี่เป็นอำนาจความโปรดปรานครอบงำหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นออกจากแล้วถามหนานกงเย่

“เฮอะ……เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา!”

“ท่านอ๋องหมายความว่าเช่นไร?”

“เฉินอวิ๋นชูไม่ตายบ้านเมืองก็ไม่สงบสุข” หนานกงเย่ออกจากฉีเฟยอวิ๋นแล้วลุกขึ้นไปหาราชครูจวิน

ราชครูจวินนั้นกำลังดื่มชา

เข้าประตูมาหนานกงเย่ก็นั่งลงโดยที่หวังฮวายอันและแม่ทัพฉีก็อยู่ด้วย

เมื่อแม่ทัพฉีเห็นหนานกงเย่ก็ลุกขึ้นและอุ้มเจ้าห้าไว้ในอ้อมอก

หนานกงเย่ดื่มชาแล้วถามราชครูจวินว่า: “ราชครูมองเรื่องนี้เช่นไร?”

ราชครูจวินถือชามชาแล้วหลับตา: “กษัตริย์ต้องการให้ข้าราชบริพารตายข้าราชบริพารไม่ก็ตายไม่ได้”

หนานกงเย่สูดลมหายใจอันเย็นเข้า: “ราชครูนั้นสามารถอดกลั้นได้”

หวังฮวายอันกลับขบขัน: “เป็นบุญไม่ใช่หายนะ หายนะนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ เจ้ารู้ได้เช่นไรว่านี่ไม่ใช่หนทางที่จะอยู่อย่างสงบ?”

“……”

หนานกงเย่ลุกขึ้นแล้วจากไป ฉีเฟยอวิ๋นนั้นไม่ได้พักผ่อนเลยทั้งคืน ในความฝันมักจะฝันว่ามู่เหมียนอยู่เพียงลำพังผู้เดียวในตำหนักเย็นอันหนาวเหน็บ

เดิมไม่ได้ตั้งใจจะเข้าวังแต่วันรุ่งขึ้นฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าไปในวัง

ก่อนเข้าวังฉีเฟยอวิ๋นไปเยี่ยมหวาชิงและบอกหวาชิงว่าวันนี้จะเข้าวังเที่ยวหนึ่ง เดิมทีคิดว่าจะบอกหวาชิงว่ากลับมาแล้วไปหาคน

หวาชิงกล่าวว่าจะตามเข้าไปในวังด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าคงจะดีหากมีคนตามไปด้วยจึงได้รับปาก

ทั้งสองเข้าไปในวังด้วยกันและหนานกงเย่ก็ตามหลังเข้าไป ทั้งสามคนพบกันตรงหน้าประตูวังฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ: “ท่านอ๋องบอกว่าวันนี้ไม่เข้าประชุมขุนนางไม่ใช่หรือ?”

“สืบหาผู้ที่ยาวางพิษแล้ว” หนานกงเย่สีหน้าเคร่งขรึมซึ่งทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่ดี

“ผู้ใดกัน?”

“มู่เหมียน”

ขณะที่หนานกงเย่กำลังกล่าวรถม้าคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่มองไปยังฝั่งนั้น รถม้าหยุดลงจากนั้นฮูหยินกั๋วจิ้วก็ลงจากรถม้า เนื่องจากรีบลงจากรถจึงได้เท้าพลิก: ” โอ๊ย!”

ฉีเฟยอวิ๋นรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อประคองฮูหยินกั๋วจิ้วเอาไว้

ฮูหยินกั๋วจิ้วกลั้นความเศร้าเสียใจเอาไว้ไม่ได้: “พระชายาเย่ ขอร้องท่านหล่ะช่วยมู่เหมียนด้วยเถอะ”

ฮูหยินกั๋วจิ้วกล่าวแล้วกำลังจะคุกเข่าลง

ฉีเฟยอวิ๋นรีบประคองฮูหยินกั๋วจิ้วขึ้นมา ฮูหยินกั๋วจิ้วร่ำไห้ด้วยความทุกข์ทรมาน

“มู่เหมียนไม่ทำร้ายคนหรอก”

“ข้ารู้ ฮูหยินรีบลุกขึ้นเถอะ” ฉีเฟยอวิ๋นประคองฮูหยินกั๋วจิ้วให้ลุกขึ้น ฮูหยินกั๋วจิ้วนั้นร้องไห้พร้อมส่ายศีรษะอยู่ตลอด

ฉีเฟยอวิ๋นมองยังหนานกงเย่: “ท่านอ๋อง”

หนานกงเย่มองไปที่ไม่ไกลนักและรถม้าของหวังฮวายอันก็มาถึงแล้วเช่นกัน

หวังฮวายอันเดินไปหาฮูหยินต้ากั๋วจิ้ว: “พี่สะใภ้ พี่ใหญ่หล่ะ?”

“เขาได้ยินก็โมโหจนสลบไปแล้วตอนนี้ก็นอนอยู่ตลอด และก็ไม่รู้ว่าเป็นอันใดหน้าตาบิดเบี้ยวกล่าวสิ่งใดไม่ได้เสียแล้ว”

ฮูหยินกั๋วจิ้วยังคงร้องไห้ต่อไป

หวังฮวายอันมองไปยังหนานกงเย่: “เจ้าเข้าไปก่อนเลย ข้าจะพาพระชายาเย่ไปดูพี่ชายคนโตของข้าก่อน”

หนานกงเย่หันกลับมาก็เข้าไปในวัง ส่วนฉีเฟยอวิ๋นประคองฮูหยินกั๋วจิ้วขึ้นรถเพื่อไปจวนกั๋วจิ้วก่อน

จากนั้นหวาชิงก็ขึ้นรถ ในรถฮูหยินกั๋วจิ้วยังคงร้องไห้อยู่ตลอด ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่ข้างๆหวาชิง ทั้งสองคนมองฮูหยินกั๋วจิ้วอยู่อย่างตกอยู่ในภวังค์

เมื่อมาถึงจวนกั๋วจิ้วหวาชิงหันหลังลงจากรถก่อน ฉีเฟยอวิ๋นมองไปเช่นไรก็รู้สึกว่าหวาชิงอารมณ์ร้อนรนและตอนนี้ก็โมโหยิ่งนัก

หลังจากลงจากรถแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็รีบไปดูต้ากั๋วจิ้ว ต้ากั๋วจิ้วนอนลืมตาอยู่บนเตียงและจ้องมองไปตรงหน้าประตูด้วยหน้าตาอันบิดเบี้ยว

หวังเสียนยืนอยู่ฝั่งหนึ่งโดยน้ำตาไหลรินด้วยความวิตกกังวล

ฉีเฟยอวิ๋นหยิบเข็มเงินออกมา จากนั้นจับข้อมือของหวังกั๋วจิ้วเสด็จลุงด้วยมือข้างหนึ่งและมือข้างหนึ่งก็ฝังเข็ม

ฮูหยินกั๋วจิ้วร้องห่มร้องไห้จนเป็นลมไปเลย หวังฮวายอันอุ้มคนขึ้นมาแล้ววางลงยังฝั่งหนึ่ง

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นดึงเข็มให้เสด็จลุงหมอเทวดาและหมอประจำจวนโจวก็มาถึงเช่นกัน

ฉีเฟยอวิ๋นเล่าสถานการณ์ให้ทั้งสองคนว่าหวังฮวายอันได้รับบาดเจ็บจากโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งที่จริงแล้วเป็นลิ่มเลือดแต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีวิธีรักษาจึงทำได้เพียงเช่นนี้ก่อน

ฮูหยินกั๋วจิ้วก็กินยาที่ฉีเฟยอวิ๋นสั่งให้จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงหันหลังตามหวาชิงเข้าไปในวัง

หวังฮวายอันหยิบสิ่งของบางอย่างแล้วจึงได้ตามเข้าวังไป

ฉีเฟยอวิ๋นและหวาชิงมาถึงก่อน ฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้าแล้วนึกสิ่งใดขึ้นได้จึงมองดูไปยังหวาชิง: “แม่ทัพน้อยยังเด็กเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายเช่นดังที่เห็นตรงหน้า หรงเต๋อเฟยเป็นเพื่อนของข้าข้าไม่สามารถมองดูนางแล้วไม่สนใจได้ ไม่เช่นนั้นแม่ทัพน้อยไปยังตำหนักหวาหยางก่อนอย่าได้ไปกับข้าในตอนนี้

เรื่องที่ตามหาอันเสี่ยวฮวนข้านั้นไม่กล้าลืมอยู่แล้ว”

“หยุดพูดไร้สาระข้าไม่ใช่คนที่กลัวสิ่งใด นำทาง!”

หวาชิงกล่าวจบก็ไปตรงหน้าประตูวังก่อน สะบัดแขนเสื้อแล้วจ้องตาเขม็งไปยังหน้าประตูวัง

ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ตามไป

ทั้งสองเดินตรงไปยังตำหนักเฉาเฟิ่ง เมื่อถึงหน้าประตูตำหนักก็เห็นเสี่ยวสวีจื่ออยู่ที่นั่น

ฉีเฟยอวิ๋นปรากฏตัวเสี่ยวสวีจื่อก็เดินเข้ามาทันที: “พระชายาเย่”

ฉีเฟยอวิ๋นรีบถาม “หรงเต๋อเฟยมาหรือยัง?”

“มาแล้ว!”

“เช่นนั้นนางว่าอย่างไร?”

“ยอมรับแล้ว!”

เสี่ยวสวีจื่อกล่าวด้วยเสียงทุ่มกลัวว่าผู้อื่นจะสังเกตเห็นในขณะที่หันหลังนำฉีเฟยอวิ๋นเดินได้บอกกับฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวทันทีว่า: “ลำบากกงกงแล้ว”

เสี่ยวสวีจื่อรีบกล่าวว่า: “พระชายาเย่กำลังกล่าวถึงสิ่งใด รีบเข้าไปเถอะ”

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปยังหวาชิงที่ด้านหลังซึ่งไม่ได้อยู่ใกล้: “แม่ทัพน้อยอย่าได้เข้าไปเลย”

“มาก็มาแล้วเจ้ายังพูดเรื่องไร้สาระ” กล่าวจบหวาชิงก็ก้าวเดินก้าวหนึ่งไปก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นทั้งสองคนมาถึงยังด้านหน้าของตำหนัก ไห่กงกงเข้าไปรายงานแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นเข้าประตูอย่างรวดเร็วและไปถึงยังตำหนักเฉาเฟิ่งพร้อมถวายความเคารพพระพันปีพร้อมกับชิงเอ๋อร์

“คารวะไทเฮา”

“ถวายบังคมเสด็จแม่”

“ชิงเอ๋อร์ก็มาด้วย ไม่ได้เจอตั้งหลายปีโตขนาดนี้แล้วหรือ?” ขณะนี้พระพันปีทรงทอดพระเนตรมู่เหมียนซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างตกอยู่ในภวังค์

หวาชิงก้าวไปข้างหน้ายกเสื้อคลุมขึ้นแล้วคุกเข่าลง: “ชิงเอ๋อร์น้อมคารวะไทเฮาเพคะ”

พระพันปีทรงพระสรวล: “เด็กดี ลุกขึ้นเถิด”

หวาชิงขอบพระทัยแล้วลุกขึ้น

ฉีเฟยอวิ๋นยังคงก้มศีรษะ

พระพันปีเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น: “มาทำอันใด?”

“……”ฉีเฟยอวิ๋นจะกล่าวแต่หวาชิงกล่าวก่อน: “ทูลพระพันปี มาเป็นเพื่อนชิงเอ๋อร์เพคะ”

พระพันปทรงทอดพระเนตรหวาชิงแล้วทรงพระสรวลอย่างอ่อนโยน: “จริงหรือ?”

“ไม่ใช่เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

พระพันปีพระพักตร์หม่นหมอง: “เช่นนั้นคือสิ่งใด?”

ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น: “เพื่อหรงเต๋อเฟย”

ในเวลานี้หนานกงเย่ยืนอยู่ในตำหนักโดยมีพระพันปีทรงประทับนั่งอยู่เบื้องบน มู่เหมียนคุกเข่าอยู่บนพื้น องค์จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วนฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูอุ้มเด็กคนหนึ่งอยู่

เมื่อเห็นเด็กและเฉินอวิ๋นชู ฉีเฟยอวิ๋นก็ปวดตา

“เจ้าช่างกล้านัก พวกเจ้าโบยห้าสิบที”

“เดี๋ยวก่อน!”

“ช้าก่อน!”

หนานกงเย่และหวาชิงกล่าวทีละคน พระพันปีทรงหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา: “มู่เหมียนปองร้ายพระสนมเอกความผิดนั้นสมควรตาย ในเมื่อได้ยอมรับแล้วเจ้ากล้าขอร้องให้นางข้าต้องลงโทษเจ้าอยู่แล้ว

ชิงเอ๋อร์ เรื่องนี้อย่าได้ยุ่งเลยนะ! ”

“ไทเฮา…”

หวาชิงกำลังจะกล่าวบางอย่างไห่กงกงก็ตะโกนจากนอกประตูว่า: “พระมเหสีหวาขอเข้าเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกตำหนักพะย่ะค่ะ!”

พระพันปีทรงเงยพระเศียรขึ้น: “ให้เข้ามาเถอะ”