องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 672 จวินเซียวเซียวบ้าไปแล้ว
หวาชิงเป็นคนสวยสวมใส่ชุดใดก็สวยทั้งนั้น
เสื้อผ้าใหม่ของฉีเฟยอวิ๋นสวมอยู่บนร่างกายของหวาชิงยิ่งสวย
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นหวาชิงก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้กล่าวว่า: “ไปกันเถอะ จะเป็นเพื่อนกลับไปดูที่จวนหวาก่อนพร้อมทั้งขออภัยด้วย”
หวาชิงงุนงง: “ขออภัยเรื่องใด?”
“ก็ต้องเป็นเรื่องของการตีกันของท่านพ่อในวันนั้นอยู่แล้ว ปกติท่านพ่อของข้าหุนหันพลันแล่นไปสักเล็กน้อยแต่ว่าประการแรกเขามีนิสัยเช่นนั้น ประการที่สองเจ้ายิงเจ้าแห่งอีกาได้รับบาดเจ็บและทำให้เจ้าห้าตกใจการโมโหนั้นก็มีสาเหตุอยู่
แต่ว่าท่านพ่อของข้าทำเกินไป ถึงแม้ว่าเป็นแม่ทัพร่วมทำงานด้วยกันเกิดปัญหาไม่ลงรอยกันก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ”
หวาชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “ก็ได้ ท่านไปขอโทษก็ดีจะได้หลีกเลี่ยงให้ผู้คนในเมืองหลวงคิดว่าจวนหวาของข้ารังแกเอาได้ง่ายๆ”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะและร้องไห้ไม่ออก หวาชิงนั้นตรงไปตรงมายิ่งนัก
ฉีเฟยอวิ๋นเตรียมของขวัญเอาไว้หลายอย่างและอาอวี่ก็ไปยังจวนหวาด้วยกัน
ทั้งสองคนนั่งรถม้าด้วยกัน ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ในรถกำลังคิดหาสามีที่ถูกใจให้กับหวาชิงให้นางลืมอันเสี่ยวฮวนเสีย
แต่ด้วยนิสัยเช่นนี้ของหวาชิงครอบครัวของสามีหาได้ไม่ง่าย จะมีกี่คนที่คู่ควร?
รถม้ามาถึงจวนหวาฉีเฟยอวิ๋นก็ลงมาจากรถแล้วหวาชิงจึงได้เดินตามลงจากรถ
คนของจวนหวาตกอกตกใจเมื่อเห็นหวาชิงราวกับว่าเห็นผีเข้า หันหลังกลับก็วิ่งหนีไปเลย
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปยังหวาชิง ท่าทางเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
ไม่นานก็มีคนออกมาจากจวนหวา ผู้ที่มาต้อนรับเป็นพี่สะใภ้ทั้งหลายของหวาชิง ผู้คนนั้นมากมายจริงๆ กดดันจนฉีเฟยอวิ๋นรูัสึกหายใจไม่ออก
นางซุยผู้อยู่ด้านหน้าเอ่ยขึ้นมาก่อนว่านางเป็นพี่สะใภ้คนโตของหวาชิง รักใคร่เอ็นดูหวาชิงเสมอมาและให้ความสำคัญกับหวาชิงมากกว่าลูกๆของตนเอง
หวาชิงเป็นลูกสาวที่แม่ทัพหวามีขณะชรามากแล้วซึ่งอายุราวๆกับลูกสาวคนโตของนางซุย
นางซุยกุมมือของหวาชิงพร้อมน้ำตาเอ่อ: “ชิงเอ๋อร์ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว หากเจ้ายังไม่กลับมาพี่สะใภ้ก็จะไปหาเจ้าแล้ว”
หวาชิงถูกดึงตัวไปและไม่รอให้นางกล่าวสิ่งใด จากนั้นสตรีกลุ่มหนึ่งรายล้อมตัวหวาชิงจนหวาชิงรู้สึกรำคาญจึงกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า: “หญิงออกเรือนแล้วร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าคนนอกเหมาะสมที่ใดกัน ยังไม่ถอยลงไปอีก”
ฉีเฟยอวิ๋นถูกทำให้ตกใจแต่หวาชิงนั้นโมโหเสียแล้ว ฮูหยินทั้งหลายรีบถอยลงไปและไม่กล้าร้องไห้กันอีก
นางซุยผู้ซึ่งนำญาติผู้หญิงทั้งหลายของจวนหวามองไปยังหวาชิงตกใจกลัวจนไม่กล้าหายใจ
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจแล้วว่าที่หวาชิงผยองเช่นนี้ก็เนื่องจากนางเป็นที่รักใคร่โปรดปรานของจวนหวา
นางซุยตบๆหน้าอก: “เจ้าน้องน้อย เจ้าจะทำให้พวกเราตกใจกันแทบตาย!”
หวาชิงเหลือบมองบนอย่างรำคาญต่อญาติผู้หญิงทั้งหลาย เงยหน้าขึ้นมองก็เกือบจะกลับสู่สภาพปกติแล้วและได้ซ่อมแซมให้จวนเป็นดังเดิม
“นี่คือพระชายาเย่ วันนี้มาเพื่อขออภัยโดยเฉพาะ” หวาชิงชี้ไปที่ฉีเฟยอวิ๋นโดยที่แขนเสื้ออันกว้างแกว่งไปมาเบาๆทำให้คนนั้นดูสง่างามและหรูหรา ดวงตาของนางซุยเป็นประกายและมองผ่านฉีเฟยอวิ๋นไปเลยโดยตรงแต่กลับจ้องเขม็งไปยังเสื้อผ้าของหวาชิงแทน
“เจ้น้องน้อย เจ้าไปเอาเสื้อผ้าชุดนี้มาจากที่ใดกัน ราคาไม่ถูกสินะ จวนหวาของเราไม่ได้มีเงินทองมากมายเช่นนี้”
นางซุยเดินไปยังตรงหน้าของหวาชิง ดึงแขนเสื้อของหวาชิงดูอย่างละเอียด ดูเสร็จก็ประหลาดใจ: “นี่เป็นร้านสามแห่งซึ่งเป็นของร้านตัดเย็บเสื้อผ้าใช่ไหม?”
“ข้าไม่รู้” หวาชิงดึงแขนเสื้อ
นางซุยอาวรณ์ที่จะคลายมือแล้วสัมผัส: “ช่างดีจริงๆ เสื้อผ้าเช่นนี้ข้าเคยไปดูที่ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าอย่างน้อยๆก็หนึ่งหมื่นตำลึง ได้ยินมาว่ามีด้ายสีทองอยู่ในนั้นและน้อยคนในเมืองหลวงที่มีปัญญาสวมใส่ได้
ขณะที่ข้าไปเห็นคนของอ๋องตวนอยู่ที่นั่นและนำไปสองชุด ได้ยินว่าให้พระชายาตวนและอ๋องตวนสวมใส่
คิดไม่ถึงว่าชิงเอ๋อร์ของเราก็สวมใส่ หรือว่าเป็นของพระราชทานจากฝ่าบาทหรือ? ”
หวาชิงผลักนางซุยออกและไม่ชอบท่าทางของนางซุยที่ราวกับไม่เคยเห็น
หนึ่งหมื่นตำลึงแล้วเช่นไรก็สวมใส่เช่นเดียวกัน
ฉีเฟยอวิ๋นได้แต่ยิ้มแต่ไม่กล่าว
หวาชิงกล่าวว่า: “ไปกันเถอะ”
หันหลังกลับหวาชิงเข้าประตูไปก่อน นางซุยถึงได้จำฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมาได้แล้วหันกลับมองไปยังทางด้านฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกรายล้อมในทันที
“คารวะพระชายาเย่”
นางซุยนำญาติผู้หญิงของจวนหวาคารวะฉีเฟยอวิ๋น ส่วนฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกได้รับความรักใคร่เอ็นดูจนน่าตกใจ
แต่ว่าจวนหวาให้ความรู้สึกที่อบอุ่นกว่าที่อื่น ตระกูลแม่ทัพและตระกูลบัณฑิตแตกต่างกัน ตระกูลบัณฑิตกล่าวถึงกฎเกณฑ์ส่วนตระกูลแม่ทัพนั้นสบายๆกว่า
“ฮูหยินทั้งหลายมีเกรงใจแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นทำความเคารพ นางซุยมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างละเอียดและรู้สึกประหลาดใจกับเสื้อผ้าของฉีเฟยอวิ๋น
นางซุยพบว่าเสื้อผ้าของฉีเฟยอวิ๋นและเสื้อผ้าของหวาชิงตัดเย็บเหมือนกันเพียงแต่ว่าลวดลายนั้นแตกต่างกัน
จึงได้เข้าใจในทันทีและไม่ได้กล่าวสิ่งใดจากนั้นเชิญฉีเฟยอวิ๋นเข้าประตู
ระหว่างทางนางซุยพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวโดยกล่าวว่าหวาชิงเป็นที่รักใคร่เอ็นดูตั้งแต่เด็ก และบางครั้งก็มีนิสัยไม่ดีขอให้ฉีเฟยอวิ๋นอย่าได้ถือสา
มาถึงห้องโถงด้านหน้าของจวนหวาแม่ทัพหวาได้อยู่ที่นั่นแล้ว แม่ทัพหวาสวมเสื้อผ้าสีม่วงอ่อน ม้วนผมอันหงอกครึ่งศีรษะและปักปิ่นทองอันหนึ่ง
แม้ว่าแม่ทัพหวาจะอายุหกสิบปีแล้วแต่เขาก็ยังเหมือนเดิม
“คารวะท่านแม่ทัพ”
แม้ว่าบรรดาศักดิ์ของฉีเฟยอวิ๋นจะสูงแต่ความอาวุโสนั้นน้อย
แน่นอนว่าต้องก้มสามส่วน
“ข้ายังมีเรื่องต้องทำ เชิญพระชายาเย่ตามสบาย!” กล่าวจบแม่ทัพหวาก็จากไปก่อน
นางซุยรีบกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่ทำสิ่งใดไม่ถูก: “พระชายาเย่อย่าได้ถือสา ปกติหัวหน้าครอบครัวพูดจาไม่เก่ง”
“ที่ใดกัน เรื่องเกิดนั้นต้องมีสาเหตุและก็ไม่โทษแม่ทัพหวา”
นางซุยเชิญฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้นั่งลง ส่วนหวาชิงก็นั่งลงตรงฝั่งหนึ่งทันที
แข็งทื่อ ไม่มีอารมณ์เลยสักนิด
นางซุยนั่งลงแล้วกล่าวว่า: “หัวหน้าครอบครัวนั้นชราแล้วบางครั้งก็เป็นเช่นนี้ พระชายาเย่อย่าได้ขบขัน”
“ท่านพ่อของข้าก็เป็นเช่นนี้ ข้าจะขบขันได้เช่นไร เห็นตั้งแต่เด็กจนโตเป็นความคุ้นชินเสียแล้ว”
ฮูหยินนี่คือของขวัญที่ข้าให้คนเตรียมไว้เพื่อขออภัยในความหุนหันพลันแล่นของท่านพ่อ ของข้าโดยเฉพาะ
อาอวี่เคลื่อนสิ่งของไปยังด้านหนึ่งแล้ววางลง นางซุยเหลือบมองแว๊บหนึ่ง
“พวกเขาเป็นแม่ทัพร่วมทำงานด้วยกันและนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อยังเยาว์วัยได้ยินมาว่าได้ต่อสู้กันดังนั้นไม่จำเป็นต้องใส่ใจ แม่ทัพฉีเป็นคนอารมณ์ดีหัวหน้าครอบครัวนั้นเข้าใจได้
รับของขวัญเอาไว้แล้วให้เรื่องราวนั้นผ่านไปซะเถอะนะ”
นางซุยเป็นคนใจกว้างฉีเฟยอวิ๋นมาก็รู้สึกสบายใจนัก
นิสัยของหวาชิงมีความเกี่ยวข้องกับจวนหวาเป็นอย่างมากและไม่ยากที่จะจินตนาการได้ว่านิสัยของพระมเหสีหวานั้นได้มาจากที่ใด
นั่งพักอยู่ครู่หนึ่งหวาชิงก็ลุกขึ้น: “พวกเราไปกันก่อน”
นางซุยกล่าวว่า: “บังอาจ โตขนาดนี้แล้วก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่อีก”
หวาชิงเหลือบมองไปยังนางซุยแล้วหันหลังกลับจากไปแล้วโดยที่ไม่ได้สนใจเลย
ฉีเฟยอวิ๋นยังต้องการนั่งอีกครู่หนึ่ง แต่หวาชิงจากไปแล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงต้องลุกขึ้น
นางซุยไปส่งและเอ่ยถึงเรื่องของหวาชิงกับฉีเฟยอวิ๋น
“หวาชิงมีเพื่อนน้อยมาก นางมีนิสัยสันโดษอยู่ในจวนก็ไม่สุงสิงกับใคร นางเกิดมาท่านยายก็จากไปแล้วนางจึงถูกนายท่านนำตัวไปดังนั้นจึงไม่สนิทสนมกับพวกเรา
แน่นอนว่าชิงเอ๋อร์เป็นคนอารมณ์ดีเพียงแต่ว่านางแสดงออกได้ไม่เก่ง”
ฟังนางซุยกล่าวมาไม่น้อย ฉีเฟยอวิ๋นนั้นออกจากจวนหวานางซุยก็โบกมือให้ ขึ้นรถม้าแล้วคนของจวนหวาทั้งหมดก็จากไปกันก่อนแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มรู้สึกโศกเศร้าอีกแล้ว กลับไปจะไปหาอันเสี่ยวฮวนใช่หรือไม่?
หวาชิงไม่ชอบพูดจาและไม่ได้เจ้าอารมณ์
ตามฉีเฟยอวิ๋นกลับไปยังจวนอ๋องเย่และไม่ได้บอกว่าจะออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นนับว่าวางใจได้แล้ว อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ต้องออกไปหาผู้ใดแล้ว
หนานกงเย่ดูแลงานเป็นเวลาหนึ่งวันแล้วยังเข้าไปในวังรอบหนึ่ง
จวินเซียวเซียวบ้าไปแล้ว พูดเรื่องไร้สาระอยู่ในตำหนักจิ่นซิ่ว พระนางดูแลเด็กไม่ได้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ได้ทรงอุ้มไปให้ไทเฮา
ตอนนี้ไทเฮาทรงกริ้วยิ่งนักและกำลังสืบสวนว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
หมอหลวงทั้งหลายบอกว่าอาหารที่จวินเซียวเซียวเสวยถูกวางยาซึ่งทำให้คนนั้นคลุ้มคลั่ง