องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 675 ความผิดใคร
พระมเหสีหวาไม่รอให้ฉีเฟยอวิ๋นคุกเข่าลง พระองค์ทรงจับจ้องอยู่ก่อนแล้วและแม่นมหลิวก็รีบเข้ามาประคองฉีเฟยอวิ๋น
“เจ้าไม่จำเป็นต้องคุกเข่า เรื่องนี้ข้าไม่อาจช่วยเจ้าได้ ข้ารู้ว่าข้าติดหนี้เจ้า
ทว่าข้าช่วยเจ้าไม่ได้ นั่นไม่ใช่ว่าข้าไร้น้ำใจ แต่นี่เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องช่วย นานเข้ามันก็จะผ่านไปเอง
เวลานี้มู่เหมียนออกไปไม่ได้ นั่นก็ต้องทนลำบากสักหน่อย!”
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า “เช่นนั้นเวลานี้ที่ตำหนักเย็นไม่มีใครเลยนอกจากมู่เหมียนเพียงคนเดียว นางดื้อรั้นและปล่อยวางไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นเพคะ”
“พระราชนัดดาของพระพันปีน่ะหรือจะอยู่ในตำหนักเย็น”
พระมเหสีหวาทรงลุกขึ้นและเดินไปตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น “นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ชื่นชมใครมากขนาดนี้ เจ้าไม่ฉลาดและไม่ได้น่ารักเลยแม้แต่น้อย แต่เจ้ามีดีที่นิสัย
บนโลกนี้มีศัตรูอยู่มากมาย แต่มีสหายเพียงหยิบมือ
ข้าชื่นชมมากที่เจ้าพยายามจะปกป้องมู่เหมียน!
แต่เจ้าเองก็นับว่าเป็นคนเขลา
พระพันปียังไม่ทรงไต่ถามอะไร แต่เจ้าทำ มันมีประโยชน์อะไรหรือ”
“…..” ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดอะไร พระมเหสีหวารู้สึกขบขัน “กลับไปหลับไปนอนเสียเถิด ข้าให้สัญญากับเจ้าว่ามู่เหมียนจะไม่ตาย และจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
ข้าจะบอกอะไรเจ้าอย่างหนึ่ง… หากไม่อดกลั้นกับเรื่องเล็กน้อยอาจทำให้เสียงานใหญ่ได้ หากทนได้จึงจะมีโอกาสหัวเราะในภายหลัง!”
ฉีเฟยอวิ๋นมองพระมเหสีหวาทว่าไม่ได้พูดอะไร
พระมเหสีหวาทอดพระเนตรหนานกงเย่ “อ๋องเย่ นี่ก็ค่ำแล้ว เจ้ากลับไปเถิด”
“พระมเหสีทรงพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิรบกวน”
หนานกงเย่เดินไปยืนเคียงข้างฉีเฟยอวิ๋น เขาโน้มตัวลงไปอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมาและออกไปจากพระตำหนักหวาหยาง
หวาชิงหันหลังและเดินตามไป
พระมเหสีหวาทอดถอนพระทัย “โชคดีที่แม่นางผู้นี้ไม่คิดจะเข้าวัง มิเช่นนั้น ข้าคงจะเป็นกังวลเอามาก!”
ฉีเฟยอวิ๋นที่ถูกพาออกจากวังเริ่มงงงันเมื่อขึ้นมานั่งบนรถม้า หนานกงเย่กระชับนางไว้ในอ้อมกอดและปิดตาให้นาง
หวาชิงมองทั้งสองคน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนเคยเห็นฉีเฟยอวิ๋นตอนที่ปิดตาแบบนี้มาก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นนอนไม่หลับและตะแคงตัวไปด้านข้าง
เมื่อมาถึงจวนกั๋วจิ้ว หนานกงเย่จึงพาฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้เข้าไปข้างในและยืนรออยู่ที่นอกจวนกั๋วจิ้ว
“ท่านอ๋องไปเถิด ข้าจะรอ”
เมื่อหนานกงเย่เหลือบมองอาอวี่ อาอวี่จึงเดินไปอยู่ข้างๆ ฉีเฟยอวิ๋น หนานกงเย่ถอดชุดคลุมตัวนอกพาดไว้บนไหล่ของฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นเขาจึงเดินเข้าไปในจวนกั๋วจิ้ว
หวาชิงยืนอยู่ข้างๆ และไม่ได้เข้าไปเช่นกัน ฉีเฟยอวิ๋นหลุบตาลงจนมองไม่เห็นดวงตาของนาง แต่นางรู้สึกได้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่หวาชิงให้ความสนใจผู้หญิง และนางก็รู้สึกแปลกใจมาก
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ครู่หนึ่งก็สูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือก ราวกับว่านางเจ็บหน้าอกและพ่นลมหายใจขุ่นๆ ออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปสั่งอาอวี่ “อาอวี่ ข้าจะกลับ เจ้ารอท่านอ๋องอยู่ที่นี่ละ”
“พระชายา…”
“เจ้าอยู่ที่นี่เถิด ข้าจะไปกับนางเอง” หวาชิงตามไปด้วย อาอวี่จำเป็นต้องรอหนานกงเย่และเขาเชื่อว่าหวาชิงจะไม่ทำร้ายฉีเฟยอวิ๋น เพราะถึงอย่างไรนางก็ดูไม่ใช่คนชั่วร้าย
ระหว่างทางที่เดินไปฉีเฟยอวิ๋นก็เริ่มเหนื่อย!
นางนั่งลงที่หน้าประตูโดยไม่ได้เข้าไปเมื่อเดินมาถึงประตูจวนอ๋องเย่
นางเหมือนหุ่นไม้ที่นั่งลงตรงนั้นอย่างใจลอย
กลางดึกเช่นนี้ไม่มีใครอยู่ที่นอกจวนอ๋องเย่ ดังนั้นนางจึงนั่งเช่นนั้นและไม่ขยับเขยื้อนอยู่นานราวหนึ่งชั่วยาม
หลังจากคิดได้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงลุกขึ้นและกลับเข้าไป
หวาชิงตามฉีเฟยอวิ๋นเข้าไป ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปที่เรือนในสวนดอกกล้วยไม้ที่นางอาศัยอยู่เพียงคนเดียว
หวาชิงไม่ได้ตามไปและยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก
จนเมื่อหนานกงเย่กลับมาหวาชิงจึงกลับไป
ตอนที่หนานกงเย่เข้าไปฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้อยู่ในห้อง เมื่อเข้าไปดูในสระกำมะถันจึงเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังแช่อยู่ในสระกำมะถันอย่างใจลอยและไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออก
หนานกงเย่ปิดประตูและเริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์ของตน หลังจากถอดชุดชั้นสุดท้ายออกหนานกงเย่ก็ลงไปในบ่อด้วยกางเกงบางๆ
เมื่อเข้าไปใกล้ฉีเฟยอวิ๋น เขาก็ดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
ฉีเฟยอวิ๋นหลับตาลง “เป็นข้าเองที่ไร้เดียงสาเกินไป!”
“อื้ม!”
หนานกงเย่ไม่คิดจะพูดอะไร เขาเพียงแต่ช่วยฉีเฟยอวิ๋นถอดเสื้อผ้าออกเท่านั้น
ทั้งสองคนอาบน้ำในสระกำมะถัน เมื่อออกมาแล้วหนานกงเย่จึงช่วยเช็ดตัวให้ฉีเฟยอวิ๋นจนสะอาดก่อนจะเปลี่ยนไปสวมชุดนอน
เมื่ออุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปบนเตียงแล้ว หนานกงเย่จึงเอนกายลงข้างๆ และดึงฉีเฟยอวิ๋นมากอดไว้ จากนั้นจึงเปิดหนังสือซึ่งเป็นหนังสือที่ฉีเฟยอวิ๋นนำมา
“ข้าไม่ค่อยชอบซังยางจยาชั่วเลย! แต่ก็อดนับถือไม่ได้” หนานกงเย่จุมพิตฉีเฟยอวิ๋นและอ่านบทกวีให้นางฟัง
ซังยางจยาชั่วคือดาไลลามะองค์ที่ 6 ซึ่งเป็นผู้นำคณะสงฆ์พุทธศาสนานิกายมหายานแบบทิเบตเกลุก
“เมื่ออยู่ในวังโปตาลา ข้าคือราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนหิมะ เมื่อพเนจรอยู่ระหว่างเมืองลาซา ข้าคือคนรักที่งดงามที่สุดในหล้าโลก…”
หลังจากอ่านบทกวีจบบทแล้วบทเล่าหนานกงเย่ก็วางหนังสือลง เขาเอ่ยว่า “ข้าอยากกลับไปกับอวิ๋นอวิ๋น ไปดูพระราชวังโปตาลา!”
ฉีเฟยอวิ๋นปิดตาลง “นอนกันเถิด!”
หนานกงเย่มองท้องฟ้าที่ด้านนอกและพบว่าฟ้าสว่างแล้ว!
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ออกไปที่ไหนเลยเป็นเวลาหลายวัน กว่านางจะออกมาก็ล่วงเข้าสู่วสันตฤดูแล้ว
บุปผาบานสะพรั่งในวสันตฤดูที่อากาศอบอุ่น และยังคงสวยงามมีสีสัน
ไม่มีใครพูดถึงเรื่องของมู่เหมียนเลยด้วยซ้ำ
ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินหมอเทวดาบอกว่าต้ากั๋วจิ้วเป็นอัมพาต และฮูหยินกั๋วจิ้วน้ำตานองหน้าตลอดทั้งวัน
วันนี้ฉีเฟยอวิ๋นออกมาและพบกับราชครูจวิน เมื่อราชครูจวินเห็นฉีเฟยอวิ๋นเขาจึงถามว่า “อาการดีขึ้นแล้วหรือ”
“ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ!” ฉีเฟยอวิ๋นกลับมาแล้ว ราชครูจวินพยักหน้าให้นิดหนึ่งและเดินผ่านนางไป
ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงจวินเซียวเซียวขึ้นมาได้จึงหันไปถามราชครูจวิน “ท่านราชครู พระสนมเอกเซียวเป็นอย่างไรบ้างหรือ”
“ข้าไม่ได้ไปที่ราชสำนักหลายวันแล้ว ได้ยินมาว่ายังคงสติไม่ดี น่าจะไม่มีทางดีขึ้นได้แล้ว!”
ราชครูจวินไปที่เรือนจวินจื่อในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นออกไปข้างนอก
ขณะที่ยืนอยู่หน้าจวนอ๋องเย่ ฉีเฟยอวิ๋นก็เกิดความรู้สึกอยากจะควบคุมเมืองต้าเหลียงรวมถึงความคิดของหนานกงเย่เอาไว้เป็นครั้งแรก
นางยืนอยู่ที่นั่นนานกว่าครึ่งชั่วยาม
อาอวี่กังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นจึงรีบไปบอกหนานกงเย่ว่าวันนี้ฉีเฟยอวิ๋นจะออกไปข้างนอก
จะพูดว่ามันแปลกก็ได้ ที่พระชายาจะออกไปในวันที่ท่านอ๋องไม่อยู่
เมื่อหนานกงเย่กลับมา ฉีเฟยอวิ๋นก็กลับมาแล้ว
เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องหนานกงเย่ก็เคาะประตู “อวิ๋นอวิ๋น”
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองทางประตูนิดหนึ่งและเอ่ยเรียบๆ ว่า “เข้ามาสิเพคะ”
ทันทีที่หนานกงเย่เปิดประตูเข้าไปเขาก็เห็นนางอยู่ในชุดของบุรุษ ใบหน้าถูกเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าของใครอีกคนหนึ่ง ซึ่งใบหน้านี้ไม่ใช่ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นหรืออันเสี่ยวฮวน
อวิ๋นจิ่นยืนอยู่ข้างๆ เพื่อคอยช่วยเหลือ
หนานกงเย่มองอย่างสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง “เหตุใดวันนี้จึงแต่งกายเช่นนี้ อาการดีขึ้นแล้วหรือ”
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองอวิ๋นจิ่น อวิ๋นจิ่นจึงพยักหน้ารับและถอยออกไปรอข้างนอก
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปยืนตรงหน้าหนานกงเย่ “ข้าไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณที่ท่านอ๋องคอยดูแลข้ามาตลอด”
“…..” หนานกงเย่หน้าคว่ำ “ข้ากำลังจะจัดเตรียมกำลังพล อย่าได้ก่อเรื่องล่ะ”
“อื้ม ข้าจะไปเยี่ยมท่านต้ากั๋วจิ้ว เมื่อไม่มีหน้าไปหาก็เปลี่ยนหน้าเสียเลย!”
หนานกงเย่ย่อมต้องกังวลเป็นธรรมดา แต่เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นกลับมาฮึกเหิมอีกครั้งเขาจึงไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสองคนออกไปจากจวนอ๋องเย่ หวาชิงออกมาจากจู๋อวิ๋นไจและเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยของฉีเฟยอวิ๋นเข้าพอดีจึงตามออกไป
เมื่อออกมาข้างนอกแล้วฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่จึงขึ้นรถม้าไปที่จวนกั๋วจิ้ว เมื่อถึงแล้วจึงลงจากรถและเข้าไปข้างในทันที
ฉีเฟยอวิ๋นฉีดยารักษาอาการป่วยให้ต้ากั๋วจิ้วก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงค่อยฝังเข็มให้ นางตรวจดูอาการและพบว่าต้ากั๋วจิ้วมีเส้นเลือดแตกในโพรงจมูก นางเปิดเส้นเลือดเส้นหนึ่งในจมูกและนำเลือดส่วนหนึ่งออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้อธิบายอะไร เมื่อรักษาเสร็จแล้วจึงออกมาจากจวนกั๋วจิ้ว
หวังฮวายอันอยู่ที่จวนของต้ากั๋วจิ้วมาโดยตลอด วันนั้นเขาถูกกันให้อยู่ข้างนอก เรื่องที่ฉีเฟยอวิ๋นถูกทำร้ายเขาเองก็รู้ทั้งหมด
วันนี้นางปลอมตัวเข้ามาแล้วไม่พูดอะไรเลย
แต่นางขอโทษใครไปแล้วหรือ
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาและขึ้นรถม้า จากนั้นหวังฮวายอันก็เดินออกมาที่ประตูและถามว่า “ท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่ ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างหรือ”
หนานกงเย่หันกลับมา “รู้แล้วยังจะถาม!”
“เช่นนั้นรบกวนท่านอ๋องเย่บอกพระชายาเย่ด้วยว่านางเป็นแค่สตรีที่อ่อนแอคนหนึ่ง เรื่องนี้เดิมทีแล้วเป็นความผิดของนาง” หวังฮวายอันว่าแล้วก็เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับปิดผ้าม่านลงอย่างไม่ใส่ใจ!