ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 22 ข้าไม่ใช่คนแบบที่เจ้าคิดหรอกนะ

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 22 ข้าไม่ใช่คนแบบที่เจ้าคิดหรอกนะ โดย Ink Stone_Fantasy

“เจ้าสำนัก… ข้าขอกล่าวประโยคนี้จากใจจริง โปรดกลับไปเสียเถอะ นี่ไม่ใช่ศัตรูที่ท่านจะรับมือได้ไหว”

เมื่อคนทั้งคู่พบกัน เซี่ยฉือก็แนะนำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา

หากเป็นเมื่อสามเดือนก่อน เขาอาจไม่พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจเช่นนี้ แม้จะรู้ว่าหวังลู่น่าจะมาจากหนึ่งในสำนักชั้นนำของพันธมิตรหมื่นเซียน และมีปูมหลังที่ไม่ธรรมดา ทว่าปูมหลังที่ไม่ธรรมดาก็มิใช่บัตรผ่านทางในโลกบำเพ็ญเซียน เมื่อต้องเผชิญหน้าฝ่ายตรงข้ามที่ทรงพลัง สำนักเจ็ดดาราก็มีหนทางที่จะเอาตัวรอด ดั่งเช่นงูและหนูที่ย่อมมีหนทางเอาตัวรอดของมันเอง ยิ่งหวังลู่ยังอายุน้อยอีกทั้งขั้นตบะก็ยังตื้นเขิน ย่อมมีหลายทางที่จะส่งเจ้าเด็กนี่เดินคอตกกลับสำนักไป

ทว่าสามเดือนถัดมา หลังจากที่ได้เห็นการขยับขยายอย่างบ้าคลั่งของสำนักภูมิปัญญา เซี่ยฉือก็ไม่กล้าสบประมาทอีกต่อไป เจ้าเด็กไม่ธรรมดานี่ไม่ใช่มือใหม่ที่ลงจากเขามาเพื่อภารกิจเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ แต่เป็นมืออาชีพมากความสามารถที่คู่ควรกับคำสรรเสริญ ตอนนี้หากแม้ไม่มีหวังลู่อยู่เบื้องหลัง สำนักภูมิปัญญาก็ไม่ใช่สำนักระดับล่างกะโหลกกะลาที่จะถูกทำลายได้ในพริบตา ด้วยคำแนะนำของหวังลู่ ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระแต่ละคนที่เข้าร่วมสำนักก็ก้าวหน้าด้านขั้นตบะกันทุกคน โดยเฉพาะพวกที่ก่อนหน้านี้ติดขัดอยู่ที่คอขวด แค่หวังลู่ชี้จุดสำคัญให้แค่เพียงครั้งเดียว ที่ก่อนหน้านี้ติดขัดอยู่ที่คอขวด การบำเพ็ญเซียนของพวกเขาก็พัฒนาอย่างรวดเร็วในทันใด!

และเซี่ยฉือซึ่งเป็นผู้ติดตามกลุ่มแรกๆ และกลายมาเป็นแกนหลักของสำนักภูมิปัญญาย่อมไม่พลาดที่จะได้รับผลประโยชน์จากหวังลู่ จากแหล่งทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ หลังจากนำเข้าโอสถหกประสานจำนวนมหาศาล เขาก็ค้นพบวิชา “บุปผาพร่างพราย” ซึ่งช่วยเติมจุดพร่องของการบำเพ็ญเซียนของเขาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แม้มันจะไม่ช่วยเพิ่มขั้นตบะให้ แต่พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย!

สิ่งนี้ก็ไม่ต่างจากการบีบคลึงขาอ่อนของหญิงงามที่ให้ความรู้สึกนุ่มสบายเป็นที่สุด!

ตอนนี้จิตใจของเซี่ยฉือไม่ไขว้เขวแต่อย่างใด แม้จะไม่มีโอสถสมองสามศพ เขาก็ไม่คิดทรยศผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มน้อยตบะขั้นฝึกปราณระดับต่ำผู้นี้แน่นอน

หากไม่ใช่ว่าเจ้าสำนักเจ็ดดารามาหาตนด้วยตัวเอง เขาก็เกือบจะลืมไปแล้วว่าเคยเป็นสมาชิกของสำนักเจ็ดดารามาก่อน ทว่าเมื่อตอนนี้ทั้งคู่ได้พบกัน มิตรภาพเก่าก่อนที่อยู่ในความทรงจำก็ท่วมท้นจิตใจของเขาอีกครั้ง เซี่ยฉือไม่ได้ต้องการเป็นปรปักษ์จึงให้คำแนะนำอย่างจริงใจ

เจ้าสำนักเพ่งมองเข้าไปยังดวงตาของเซี่ยฉือ พยายามตรวจดูว่ามีร่องรอยการสะกดจิตหรือตบตาอยู่หรือไม่…ทว่าเขากลับต้องผิดหวัง

เซี่ยฉือท่าทางจริงจัง ชายผู้นี้ตระหนักถึงความสัมพันธ์อันดีงามแต่เก่าก่อนของพวกเขา ลึกๆ แล้วเซี่ยฉือยังเคารพเขาอยู่ ทั้งยังตระหนักถึงพละกำลังและบารมีของเขาในฐานะผู้ฝึกเซียนขั้นพิสุทธิ์… แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยปากเตือน

“ทำไม”

เซี่ยฉือส่ายศีรษะอย่างสิ้นหวัง “ขออภัย ข้าพูดไม่ได้… แค่เสี่ยงมาพบท่านเจ้าสำนักก็ถือว่าเต็มกลืนมากแล้ว” เจ้าสำนักตกตะลึงอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่แล้วก็ถอนหายใจ “หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้จะไปอธิบายให้คนอื่นฟังได้อย่างไร”

เซี่ยฉือยิ้มขัน “ท่านเป็นถึงเจ้าสำนัก เหตุใดจึงต้องอธิบายให้คนอื่นฟังด้วย หนำซ้ำมีสิ่งใดที่ท่านต้องออกหน้ารับผิดชอบด้วยหรือ ตั้งแต่ก่อตั้งสำนักเจ็ดดารามาจนถึงตอนนี้ อย่าบอกนะว่าทุกอย่างราบรื่นเป็นไปตามแผนทั้งหมด แค่ความล้มเหลวเพียงเล็กน้อยท่านไม่ถึงกับต้องออกมารับผิดชอบหรอกว่าไหม”

เจ้าสำนักยังไม่จำนน “ข้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร!?”

“หากท่านรู้แล้วจะทำอย่างไรได้ เรื่องบางเรื่องไม่รู้ย่อมดีกว่า ท่านเจ้าสำนัก หลายปีมานี้สำนักเจ็ดดาราเติบโตอย่างราบรื่น ทว่าในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน สำนักเจ็ดดาราถือว่ายังห่างชั้นกับสำนักชั้นนำ คนจากสำนักชั้นนำไม่ว่าคนใดสามารถทำลายสำนักเจ็ดดาราให้เหลือเพียงขี้เถ้าได้… ข้าว่าสำนักควรหาทางอยู่รอดที่ถูกต้องจะดีกว่า”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เจ้าสำนักก็จับคำสำคัญได้ไม่น้อย

นี่เป็นผลงานของสำนักชั้นนำเช่นนั้นหรือ มิน่าก่อนหน้านี้คนจากพันธมิตรหมื่นเซียนจึงจงใจสร้างปัญหาให้พวกเขานัก มันอธิบายได้เพียงอย่างเดียวเช่นนี้นี่เอง… ทว่าหากบุคคลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มาจากพันธมิตรหมื่นเซียน เหตุใดจึงต้องมาถึงหุบเขารกร้างห่างไกลเช่นนี้ด้วย พลังปราณฟ้าดินของหมู่บ้านตระกูลหวังค่อนข้างหนาแน่นก็จริง แต่มันดึงดูดความสนใจของพันธมิตรหมื่นเซียนได้ขนาดนั้นเชียวหรือ

โชคร้ายที่ไม่ว่าเขาจะเพียรถามเท่าไร เซี่ยฉือก็ไม่ปริปากพูดอะไรอีก เจ้าสำนักรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะกดดันให้เขาพูด และหากใช้การบังคับ สัมพันธภาพของพวกเขาอาจต้องจบลงเป็นแน่

แต่ก่อนที่จะจากกัน เจ้าสำนักต้องการพูดอะไรเสียหน่อย แต่พอเปิดปากเขากลับไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี

เขายังจำเรื่องราวที่สำนักบ้านหมื่นบุปผาเมื่อหลายปีก่อนได้ คนทั้งคู่ดื่มสุราพูดคุยกันพลางจินตนาการถึงอนาคต ตอนนั้นสำนักเจ็ดดาราเพิ่งเดือนร้อนเพราะหอสัจจะบุรุษมาหมาดๆ หนำซ้ำรากฐานของสำนักก็ยังไม่มั่นคงเท่าปัจจุบัน ส่วนเซี่ยฉือก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนระดับต่ำที่ไร้ทั้งอนาคตไร้ทั้งความหวัง เมื่อทั้งคู่ใกล้จะเมามายเพราะสุรา พวกเขาก็สัญญาต่อกันว่าจะทำให้สำนักเจ็ดดาราเป็นสำนักที่เที่ยงตรงและยุติธรรมเพื่อเป็นหนึ่งในพันธมิตรหมื่นเซียนให้จงได้ เพื่อที่ว่าในอนาคต ถนนสู่โลกแห่งเซียนของพวกเขาจะขยายใหญ่จนสามารถค้นพบเส้นทางแห่งเซียนที่ไร้ขีดจำกัดได้

โชคร้าย…ที่สหายเก่าแก่ในอดีตต้องกลายมาเป็นศัตรู แต่ในอนาคต…ก็ไม่รู้ว่าหนทางเบื้องหน้าจะนำพาไปสู่อะไร เขาบำเพ็ญเซียนมากว่าหนึ่งร้อยปีจนในที่สุดก็ทะลุถึงขั้นพิสุทธิ์ แต่หากว่าในชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสครั้งใหญ่อีก ไม่แน่ว่าเส้นทางแห่งโลกบำเพ็ญเซียนของเขาคงหยุดลงเพียงเท่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายังไม่อาจยอมรับได้

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เจ้าสำนักก็รู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อย ทว่าตอนที่เขากำลังจะจากไป วิหารหยกของเขากลับสั่นไหวเล็กน้อย ทำให้พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาตื่นขึ้นมา

“นั่นใครน่ะ!?”

“อ้อ ข้าเอง”

เจ้าสำนักได้ยินเพียงแค่เสียงแต่ไม่เห็นตัว เขาสบถอยู่ในใจ “ข้าน่ะใครกัน”

ทว่าเมื่อเขาใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมของตบะขั้นพิสุทธิ์ตรวจสอบดูรอบตัว กลับไม่พบตำแหน่งของผู้พูด… มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่าง หนึ่ง หุบเขาหูสุนัขติดตั้งค่ายกลจำนวนมากพอที่จะสกัดพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขา และสองขั้นตบะของฝ่ายตรงข้ามนั้นสูงกว่าเขา! ทว่าไม่ว่าจะเป็นข้อใดก็ไม่ส่งผลดีกับเขาทั้งสิ้น

ใจของเจ้าสำนักกระตุก ภายนอกเขายังคงสงบนิ่ง แต่ก็เปิดการใช้งานเกราะป้องกันตัวซึ่งเป็นวัตถุวิเศษอย่างเงียบๆ อีกทั้งแผนที่เจ็ดดารา อาวุธประจำกายของเขาก็ยังอยู่ในมือ พร้อมที่จะใช้งานตลอดเวลา

“ความจริงแล้วเจ้าไม่ควรต้องเครียดขึงถึงเพียงนี้ เพราะนี่เป็นเพียงวิชาส่งเสียงของข้า ตัวจริงของข้าอยู่ไกลจากที่ที่เจ้าอยู่มากนัก จึงเป็นธรรมดาที่เจ้าจะหาข้าไม่พบ แต่หากข้าอยู่ที่นั่นมันคงจะแย่กว่านี้แน่”

ทันใดนั้นเจ้าสำนักก็รู้สึกเหมือนกินแอปเปิ้ลเน่าเข้าไป ระยำ! เมื่อพิจารณารอบด้านแล้ว เขากลับลืมความเป็นไปได้ที่ง่ายที่สุดไปเสียได้ ครั้งนี้เขาทำตัวเองเสียหน้าจริงๆ

“เจ้าต้องการอะไร”

“ข้าจะไม่อ้อมค้อมละนะ ข้าอยากเชิญท่านเข้าร่วมสำนักภูมิปัญญา”

“…” เจ้าสำนักนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งจากนั้นก็หัวเราะออกมา “เจ้าชวนข้าเข้าสำนักภูมิปัญญา เรื่องตลกของเจ้านี่น่าขันชะมัด”

“ความรู้สึกของข้าเป็นเรื่องจริงแท้ ความบริสุทธิ์ใจของข้าก็กระจ่างราวดวงอาทิตย์และดวงจันทร์”

“งั้นข้าก็จะพูดอย่างกระจ่างบ้าง…ว่าฝันไปเถอะ”

“เดี๋ยว เดี๋ยวไม่ต้องรีบปฏิเสธไป แม้จะเป็นการปฏิเสธหลังจากที่กระทำย่ำยีมาก็ตาม แต่เจ้าก็ควรมีท่าทีลังเลบ้างมิใช่หรือ สำนักภูมิปัญญาของข้าขยับขยายอย่างรวดเร็วทั้งยังมีอนาคตที่สดใส หากเจ้าเข้าร่วมสำนักเราตอนนี้ เจ้ายังถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง แต่หากในอนาคตเจ้าคิดเข้าร่วม เจ้าก็จะไม่ได้รับข้อเสนอดีๆ เช่นนี้แล้ว”

เจ้าสำนักคุมสติตัวเองและกล่าวปฏิเสธ “หากข้าคิดเข้าร่วมกับสำนักอื่น เมื่ออิงตามขั้นตบะของข้า ยกเว้นเพียงแต่สำนักชั้นนำในพันธมิตรหมื่นเซียน สำนักใดบ้างที่ข้าเข้าไม่ได้ ข้าปฏิเสธคำเชิญไปเป็นผู้อาวุโสในสำนักบ้านหมื่นบุปผามาแล้ว แถมหลายสิบปีมานี้ ข้าก็รับข้อเสนอทำนองนี้จำนวนมาก ดังนั้นสำนักภูมิปัญญาเล็กๆ ของเจ้าควรต้องต่อแถวก่อน”

หวังลู่พยายามอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสำนักภูมิปัญญาและสำนักดั้งเดิมอื่นๆ ทว่าเจ้าสำนักรีบพูดขัด “ข้ารู้ว่าปูมหลังของเจ้าไม่ธรรมดา ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าได้ตรวจสอบข้อมูลสำนักภูมิปัญญาของเจ้ามาแล้ว เพียงไม่กี่เดือนในประเทศต้าหมิง สำนักของเจ้ากลับเติบโตอย่างรวดเร็ว ข้าจึงไม่อาจเชื่อว่าเจ้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่ไม่มีคนหนุนหลัง แต่หากเจ้าคิดว่ามีสำนักใหญ่หนุนหลังแล้วจะทำอะไรได้ตามใจชอบ เจ้าก็คิดผิดมหันต์ ความจริงข้าเองก็อยากรู้ว่าสำนักเบื้องหลังของเจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้าตั้งสำนักขึ้นมาในประเทศต้าหมิง และพวกเขาเห็นด้วยกับเจ้าจริงๆ หรือเปล่า”

ห่างไกลออกไปหลายลี้ เมื่อหวังลู่ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เขาถอนหายใจ “ตาเฒ่า สติปัญญาของเจ้าน่าจะสูงกว่าที่ข้าคาดไว้สักสิบส่วนเห็นจะได้”

เมื่อสามเดือนก่อนจนถึงตอนนี้ ตั้งแต่ที่เขาเริ่มขยับขยายสำนักภูมิปัญญาในหมู่บ้านตระกูลหวัง เขาก็ติดต่อผู้บำเพ็ญเซียนอิสระรวมถึงสำนักมากมาย แม้ตัวตนของหวังลู่จะถูกเก็บเป็นความลับอย่างยิ่งยวด แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้ว่าปูมหลังของเขานั้นไม่ธรรมดา เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ หลายคนก็คิดเพียงว่านี่เป็นข้อได้เปรียบที่หาที่ใดอีกไม่ได้ แต่น้อยคนนักที่จะคิดว่า หากหวังลู่มากจากสำนักชั้นนำในพันธมิตรหมื่นเซียนจริงๆ สำนักของเขาจะชื่นชอบที่เขามาเปิดลัทธิมารในโลกมนุษย์เช่นนั้นหรือ

เรื่องนี้ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร ในสายตาของผู้บำเพ็ญเซียนอิสระในยุคนี้ เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเข้าใจวิธีคิดของสำนักชั้นนำในพันธมิตรหมื่นเซียนคิด สำหรับสำนักชั้นนำเหล่านั้น การหาประโยชน์จากโลกมนุษย์นั้นช่างไร้ความหมาย เมื่อครั้งที่สำนักเจ็ดดาราครอบครองเมืองหลวงจังหวัด พวกเขาสะสมศิลาวิญญาณได้นับล้าน ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนอิสระแทบคลั่งตาย ทว่าสำหรับสำนักชั้นนำแล้วนั้น แค่รายจ่ายทั่วไปอย่างน้อยก็สูงถึงสิบล้านศิลาวิญญาณต่อปี และยิ่งเป็นสำนักเซิ่งจิง จำนวนเงินก็ยิ่งมหาศาลกว่านั้นมาก…เงินแค่ล้านศิลาวิญญาณไม่พอที่จะอุดช่องว่างระหว่างฟันแต่ละซี่ด้วยซ้ำ

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่คนเหล่านั้นจะเข้าใจว่าสำนักระดับสูงไม่สนใจทรัพย์สมบัติของโลกมนุษย์สักนิด สิบล้านศิลาวิญญาณถือว่าสำคัญน้อยกว่าหน้าตาของสำนักหลายขุมนัก

“เรื่องที่ว่าเจ้าขยับขยายสำนักภูมิปัญญาของเจ้าได้อย่างไร สำนักเจ็ดดาราไม่ต้องการเข้าไปแทรกแซง คนจากสำนักข้าบางคนไม่อาจต้านทานสิ่งล่อใจจึงเปลี่ยนไปเข้ากับสำนักของเจ้า… เรื่องอะไรที่แล้วก็ให้แล้วกันไป ในอนาคตน้ำบ่อไม่ควรปะปนกับน้ำในแม่น้ำ เราไม่ควรจะยั่วยุต่อกันอีก”

พูดจบ เจ้าสำนักก็ทำท่าจะจากไป แต่หวังลู่จะยอมปล่อยให้ชายชราผู้นี้กลับไปง่ายๆ ได้อย่างไร

“น่าขำสิ้นดี ตอนนี้เจ้าย่อมพูดจาสวยหรูได้ แต่หากเจ้ากลับไป ข้าเกรงว่าเจ้าคงหาเรื่องปวดหัวมาให้ข้าเป็นแน่ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่โดยตรง แต่เจ้าอาจเขียนจดหมายรายงานว่ามีศิษย์จากสำนักชั้นนำคนหนึ่งกำลังแพร่ขยายลัทธิมารเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพันธมิตรหมื่นเซียนเข้ามาตรวจสอบ… ข้าถึงบอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่จะดีกว่า”

เจ้าสำนักหัวเราะเสียงดัง “พล่ามกันมาตั้งนาน สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังอยากจะสู้เช่นนั้นหรือ” ทันทีที่พูดจบ เขาก็หันมามองเซี่ยฉือ ผู้ที่ทำหน้าจนปัญญาทั้งยังถอยหลังไปหลายก้าว แสดงจุดยืนว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และไม่คิดเข้าข้างฝ่ายใด

เจ้าสำนักสะใจเล็กน้อย เขาพยักหน้า “งั้นก็ดี งั้นขอข้าพิสูจน์ฝีมือของศิษย์จากสำนักสูงศักดิ์หน่อยเถอะ”

ทันทีที่พูดจบ ลำแสงสีรุ้งก็วาบขึ้นมาบนฝ่ามือที่ถือแผนที่เจ็ดดาราเอาไว้ ลำแสงนั้นแผ่ออกไปหลายร้อยลี้ ร่างนับสิบร่างที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืดปรากฏกายออกมาอย่างไม่เต็มใจ ตามมาด้วยเสียงร้องระงม

‘เป็นการซุ่มโจมตีจริงด้วย’ เจ้าสำนักกรีดร้องอยู่ในใจ หากแต่เขาไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด ตอนที่ตกลงมาพบเซี่ยฉือที่ใกล้ๆ หุบเขาหูสุนัข เขาก็ไม่คิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะมาเพียงลำพัง แม้เซี่ยฉือจะพูดคำไหนเป็นคำนั้น แต่เจ้าสำนักภูมิปัญญานั้นเล่า

หากไม่มีการซุ่มโจมตี เช่นนั้นสิจะถือว่าแปลก!

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมา นั่นเพราะสถานการณ์เช่นนี้สำนักเจ็ดดาราใช่ว่าเพิ่งเคยเผชิญเป็นครั้งแรก ในอดีตเมื่อครั้งที่สำนักเจ็ดดารายังครอบครองเมืองหลวงจังหวัด พวกเขาได้เมืองหลวงนี้มาหลังจากตะลุมบอนชนะสำนักกะโหลกอาชาขาวที่คุมพื้นที่อยู่ที่นั่น หลังจากนั้นพวกเขาต้องต่อสู้กับสำนักสำนักธาราหยก และเป็นเขาที่ไปยังแหล่งของศัตรูตามลำพังและถูกห้อมล้อมด้วยผู้ฝึกเซียนมากกว่าสิบคน…

การต่อสู้ที่ดุเดือดกินเวลาถึงสามวัน ผลที่สุดสำนักธาราหยกก็ถูกถอดไปจากโลกแห่งเซียน แม้สำนักนั้นจะไม่อยู่ในบันทึกของเหล่าสำนักชั้นนำตั้งแต่แรกก็ตามที แม้เจ้าสำนักจะบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้ครั้งนั้น แต่แผนที่เจ็ดดาราก็ถูกหลอมเป็นอาวุธวิเศษ และพลังของมันก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

เรื่องนี้นอกจากผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราที่เชื่อถือได้สองคนแล้ว เขาก็ไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้รู้อีก รวมถึงเซี่ยฉือที่รู้เพียงว่าแผนที่เจ็ดดาราเป็นวัตถุวิเศษชั้นสูง ดังนั้นทันทีที่เจ้าสำนักใช้อาวุธนี้ขึ้นมา จึงทำให้ฝ่ายตรงข้ามประหลาดใจมาก

จากนั้น…มุมปากของเจ้าสำนักก็ยกขึ้นเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะหักเหลำแสงของแผนที่เจ็ดดาราไปอีกทาง น้ำเสียงที่ทำให้ดวงจิตขั้นปฐมของเขาสั่นไหวก็ดังมาจากด้านหลัง ทำเอาวิหารหยกในการสั่นสะท้าน

“เฮ้อ ข้าเบื่อจะแย่ พวกเจ้านี่ชักช้าเสียจริง”

………………………………………..