ตอนที่ 23 ดูเหมือนว่าเจ้ากับข้าต้องสู้กันตัวต่อตัวแล้ว โดย Ink Stone_Fantasy
“พวกเจ้าช้าเกินไปแล้ว”
หึ่ง!
หลังจากเสียงนั้นดังกังวานอยู่ในห้องความคิด เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็รู้สึกว่าทั้งร่างสั่นสะท้านเพราะมีพลังขนาดมหึมามากระทำใส่ ในพริบตานั้นเอง…
ร่างของเขาก็ไปโผล่ไกลหลายลี้จากจุดเดิมที่เคยยืนอยู่
เจ้าสำนักตัวแข็งทื่อไปพักใหญ่ก่อนจะผ่อนลมหายใจและใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมทำให้วิหารหยกคงที่ ในตอนนั้นแผ่นหลังของเขาก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
เมื่อครู่คือการลอบโจมตี แม้ว่าเขาจะระมัดระวังเป็นพิเศษอีกทั้งยังใช้แผนที่เจ็ดดาราจัดการพื้นที่รอบตัวไปแล้ว แต่ก็ไม่ทันรู้สึกอยู่ดี หากไม่ใช่เพราะพลังปราณฟ้าดินที่รวมตัวกันอยู่ในแผนที่เจ็ดดาราในรูปแบบของกระจุกดาว ที่ทำให้เขาย้ายร่างมายังอีกสถานที่หนึ่งในชั่วพริบตา ในช่วงเวลาวิกฤตนั้น เขาอาจพ่ายแพ้การต่อสู้ก็เป็นได้
“…ระยำ! เจ้านั่นเป็นใครกันแน่!?”
“เอ่อ เขาหนีไปแล้ว! ให้ตายสิ ขั้นพิสุทธิ์อย่างไรเสียก็คือขั้นพิสุทธิ์ เบามือให้ไม่ได้จริงๆ”
เสียงของหวังลู่ส่งผ่านมาทางอากาศโดยการใช้วิชากระจายคลื่นเสียงเต็มกำลัง เขาวางกับดักไว้อย่างดีโดยใช้เซี่ยฉือเป็นเหยื่อล่อ และมีผู้บำเพ็ญเซียนอิสระมากกว่าสิบคนซุ่มซ่อนอยู่ นอกจากนั้นยังวางหลิงเอ๋อร์ ซึ่งเหมาะเจาะกับการลอบโจมตี เพราะร่างกายนางต่อต้านพลังปราณฟ้าดิน ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนตรวจจับไม่ได้ ไว้เป็นผู้ลอบโจมตีตัวจริงอีกด้วย
ในช่วงสามเดือนที่มีการขยับขยายอย่างรวดเร็ว สำนักภูมิปัญญาต้องพบเจออุปสรรคมากมาย แต่พวกเขาสามารถฝ่าอุปสรรคมาได้ด้วยดีนั่นเพราะหวังลู่ใช้เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เป็นอาวุธลับ อุปสรรคส่วนใหญ่คือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานระดับสูง โชคร้ายที่การลอบโจมตีในคราวนี้ยังไม่ดีพอที่จะจัดการผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ได้
“ชิ ล้มเหลวจนได้”
ไกลออกไปหลายลี้ หลังจากพลาดเป้าหมาย เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็เอามือเท้าสะเอว พูดเสียงแห้ง “เอาอย่างไรต่อล่ะ”
หวังลู่กล่าวตอบ “ถ้าตามที่พนันไว้ ท่านติดข้าอยู่ห้าร้อยศิลาวิญญาณ”
“…ข้าไม่ได้ถามถึงเรื่องนั้น เอาน่า ข้าไม่เบี้ยวหนี้เจ้าแน่” เถ้าแก่เนี้ยเจ้าของกิจการที่มีเงินหมุนเวียนนับหมื่นตำลึงต่อวันกล่าวอย่างใจกว้าง
“อ้อ เรื่องนั้นไม่เป็นไร อย่างไรเสียข้าก็มีเสื้อผ้าท่านเป็นตัวประกัน หากท่านเบี้ยวจ่ายหนี้ข้า ข้าก็เอาของพวกนั้นไปประมูลก็สิ้นเรื่อง”
“ระยำ! เจ้าอยากตายหรือไง!?”
“วางใจเถอะน่า เราก็รู้จักมักจี่กันมาหลายปี ข้าไม่เอาเสื้อผ้าท่านมาแขวนคอตายหรอก…เอาละ พอเถอะ อยู่ที่นี่ต่อท่านก็ไร้ประโยชน์ เหตุใดไม่ไปช่วยตาแก่ลามกจัดการแมลงวันตัวเล็กตัวน้อยทางตะวันออกของหุบเขาเล่า”
“ชิ ให้สู้กับแมลงตัวเล็กตัวน้อยรึ”
แม้จะไม่ยินดี แต่ก่อนที่หวังลู่จะพูดซ้ำอีกครั้ง เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งทะยานเข้าไปในป่าราวกับสายลมและหายตัวไปประหนึ่งว่าเป็นภูตผี
“เช่นนั้น สหายเจ้าสำนัก ดูท่าว่าจะเหลือเพียงแค่พวกเราสู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง เจ้าสำนักกับเจ้าสำนัก”
เจ้าสำนักเหยียดยิ้ม แสงจากแผนที่เจ็ดดารายิ่งส่องสว่างมากกว่า มันดูมีพลังเข้มข้นขึ้นภายใต้ความมืดยามค่ำคืน
“ข้าเองก็ต้องการเช่นนั้น!”
อึดใจถัดมา แสงกระบี่นับสิบสายก็พุ่งออกมาจากเงาของต้นไม้ เจ้าสำนักสะดุ้ง เหยียดนิ้วชี้และนิ้วกลางออกไปเป็นหัตถ์กระบี่ ปัดแสงกระบี่เหล่านั้นทิ้งไปทีละสาย
แม้ไม่ใช่การจู่โจมที่อันตราย แต่ก็ทำให้เจ้าสำนักตกใจจนทำให้เหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “นี่น่ะหรือหนึ่งต่อหนึ่งที่เจ้าว่า!?”
เมื่อกี้เห็นได้ชัดว่าคือการโจมตีของผู้บำเพ็ญเซียนมากกว่าสิบคนพร้อมกัน หมาหมู่ชัดๆ!
น้ำเสียงเอื่อยๆ ของหวังลู่ลอยมาในอากาศ “ขออภัย… แต่มันคือวิชารวมพลังของข้า… พอใช้วิชานี้ ผู้บำเพ็ญเซียนมากกว่าสิบคนจะมารวมตัวกันเพื่อช่วยข้าสู้ เจ๋งใช่ไหมเล่า”
“รวมพลังมารดาเจ้าสิ!”
เจ้าสำนักรู้สึกหงุดหงิดใจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามที่มาจากสำนักทรงเกียรติ จะทำตัวต่ำช้ายิ่งกว่าพวกสำนักสวะเสียอีก! แถมยังดูภูมิอกภูมิใจกับกลยุทธ์หมาหมู่ของตัวเองไม่น้อย!
ทว่ากระบี่ที่พุ่งเข้ามาโจมตีเขาเมื่อครู่มาจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานหลากหลายระดับ…สำนักภูมิปัญญามีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานมากมายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?
แต่เขาไม่มีเวลาหาคำตอบเรื่องนี้ เพราะแสงกระบี่เหล่านั้นพุ่งเข้ามาโจมตีเขาอีกรอบแล้ว
ครั้งนี้เจ้าสำนักไม่ได้พยายามจะปัดป้องมัน เขาเปิดใช้งานแผนที่เจ็ดดารา และใช้วิชากระจุกดาวไปปรากฏตัวข้างๆ ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ไกลหลายลี้
ผู้ฝึกเซียนคนนั้นตกตะลึง ไม่คาดคิดมาก่อนว่าศัตรูจะเข้าประชิดตัวขนาดนี้! เขาพยายามหันแสงกระบี่ปกป้องร่างตนเองอย่างว่องไว ทว่าก็ช้าเกินไป
“ทะลวง!”
เจ้าสำนักเจ็ดดาราสืบเท้าไปข้างหน้าเสือกกำปั้นเข้าไปที่ร่างของผู้บำเพ็ญเซียนส่วนปากก็ร่ายอาคมไปด้วย วิหารหยกขั้นพิสุทธิ์ในกายสว่างขึ้น พลังอิทธิฤทธิ์เข้มข้นห่อหุ้มอยู่รอบๆ หมัดขณะตะบันเข้ที่หน้าอกของผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักภูมิปัญญาเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
ผู้บำเพ็ญเซียนเห็นเพียงคลื่นแสงขุ่นมัวสว่างวูบบนหน้าอกก่อนจะร้องออกมาอย่างเจ็บปวด กระอักเลือดออกมาจากนั้นก็ร่วงลงบนพื้นราวโคลนนิ่มๆ
หลังจากจู่โจมอีกฝ่ายได้แล้ว เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็อดประหลาดใจไม่ได้ เขาคิดว่าในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน หมัดของเขาคงทำได้เพียงเจาะทะลุเกราะป้องกันของอีกฝ่าย แต่ไม่คิดว่าจะได้รับชัยชนะมาอย่างง่ายดายเช่นนี้! ทักษะการร่ายอาคมของผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้คงไม่สอดประสานกับพลังอิทธิฤทธิ์ที่มีอยู่ในร่างเป็นแน่…
ทว่าก่อนที่เขาจะได้คิดต่อ แสงกระบี่กว่าสิบสายก็พุ่งมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว เจ้าสำนักใช้วิชากระจุดอีกครั้งและปัดแสงเหล่านั้นทิ้งไป จากนั้นก็ฉวยโอกาสเข้าไปทำร้ายผู้บำเพ็ญเซียนอีกสองคน
หลังจากจัดการสำเร็จ เจ้าสำนักก็พบปัญหา ความจริงแล้วหวังลู่เตรียมผู้บำเพ็ญเซียนไว้สิบกว่าคน แต่ละคนเป็นเพียงขั้นฝึกปราณระดับสูงเท่านั้น แต่เขาใช้วิชาลึกลับเพิ่มพลังอิทธิฤทธิ์ในกายเป็นทวีคูณจนขั้นตบะกลายเป็นขั้นสร้างฐาน แม้ความสามารถของพวกเขาจะแตกต่างจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานตัวจริงอยู่มากโข แต่หากซ่อนตัวและร่ายอาคมจากที่ไกลๆ พวกเขาก็จะดูไม่ต่างจากกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานตัวจริงแม้แต่น้อย… หากไม่มีวิชากระจุกดาวของสำนักเจ็ดดารา เจ้าสำนักคงจะรับมือกับพวกเขาได้ยากแน่
คำถามก็คือ วิชาประเภทใดกันที่สามารถเพิ่มขั้นตบะให้ผู้บำเพ็ญเซียนนับสิบคนได้พร้อมๆ กัน!?
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง เป็นเพราะเจ้าสำนักเจ็ดดาราสกัดการโจมตีของพวกเขาได้อย่างง่ายดายทั้งยังทำให้พวกเขาหลายคนบาดเจ็บ กลยุทธ์เหมืองพลังปราณฟ้าดินจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า!
เพื่อที่จะรับมือกับสำนักเจ็ดดารา หวังลู่ได้ให้พวกชาวบ้านขุดเหมืองพลังปราณฟ้าดินตามแนวเส้นฮวงจุ้ย ที่ที่พลังปราณฟ้าดินจะถูกสกัดออกมา เช่นนี้แล้วจึงสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้พลังอิทธิฤทธิ์ของเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนได้มากขนาดที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณมีพลังอิทธิฤทธิ์สูงในระดับเดียวกับขั้นสร้างฐาน!
หวังลู่คิดว่าเขาจะสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ด้วยจำนวนคนที่มากกว่า เขาจึงสอนเพลงดาบกระจ่างใจให้คนเหล่านั้นสองสามกระบวนท่า เมื่อบวกรวมกับค่ายกลแล้ว หวังลู่คิดว่าผู้ฝึกเซียนเหล่านี้คงจะสร้างปัญหาให้เจ้าสำนักเจ็ดดาราไม่น้อย ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์นั้นแข็งแกร่งกว่าที่หวังลู่จินตนาการไว้มาก เจ้าสำนักสามารถจัดการผู้บำเพ็ญเซียนของเขาได้อย่างง่ายดาย! หากไม่ใช่ผลจากพลังปราณฟ้าดินตามแนวเส้นฮวงจุ้ยที่ช่วยปกป้องร่างของคนเหล่านี้ไว้ หมัดของเจ้าสำนักเจ็ดดาราคงทำให้พวกเขากลัวกระเจิดกระเจิงกันหมดเป็นแน่!
“ชิ วิชาเรียกปีศาจอะไรนี่ไม่เห็นจะได้ความ… พอที พวกเจ้าถอนตัวไปได้แล้ว”
คำสั่งของหวังลู่ฟังไม่ต่างจากประกาศอภัยโทษ แม้แต่เจ้าสำนักเจ็ดดาราเองก็ยังหยุดมือ ไม่ใช่เพราะเขามีจิตใจปรานี แต่เพราะไม่อยากใช้พลังอิทธิฤทธิ์ที่แสนมีค่าไปกับพวกแมลงตัวเล็กตัวน้อยต่างหาก
ทว่าทันทีที่เขาหยุดมือ แสงกระบี่หลายสายก็พุ่งตรงมายังเขาทั่วทิศทาง
“ระยำ! นี่มันการต่อสู้ประเภทไหนกันแน่!?”
เจ้าสำนักไม่มีเวลาเรียกใช้วิชากระจุกดาว เขาจึงใช้มือข้างหนึ่งต่างหัตถ์กระบี่เพื่อปัดป้องแสงกระบี่ที่พุ่งเข้ามา และใช้มืออีกข้างร่ายอาคมป้องกันตัวที่สายรัดผ้าคลุมของเขา ถือเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากไม่น้อย
“ฮ่าๆๆ ท่านเจ้าสำนัก เจ้าคงไม่คิดว่าข้าออกคำสั่งไปเช่นนั้นจริงๆ หรอกนะ”
เจ้าสำนักโกรธมากเสียจนเกือบจะผรุสวาทออกไป ตั้งแต่แรกฝ่ายตรงข้ามใช้วิชาส่งเสียงผ่านอากาศเพื่อดึงดูดความสนใจเขา ทว่าอีกฝ่ายยังมีวิธีอื่นในการออกคำสั่งโดยที่เขาไม่ได้ยิน… เขาพลาดท่าให้กับอุบายง่ายๆ เช่นนี้เสียได้!
อย่างไรเสีย เมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมาจากสำนักที่สูงส่ง เขาก็คาดหวังว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะยุติธรรมและทรงเกียรติ แต่ไม่คิดว่า…มันจะเป็นการต่อสู้ที่โสมมเช่นนี้
ทว่าในฐานะเจ้าสำนักที่ต่อสู้ดิ้นรนในจุดที่ต่ำสุดของโลกแห่งเซียนมานักต่อนัก เหตุใดเขาจึงต้องกลัวการต่อสู้ที่สกปรกเช่นนี้ด้วย เมื่อเปรียบกับผู้บำเพ็ญเซียนที่ทรงพลังและโอหังของพันธมิตรแห่งเซียน เขานี่แหละคือปรมาจารย์ด้านการสู้แบบโสมมมิใช่หรือ
คิดได้ดังนี้ มุมปากด้านหนึ่งของเจ้าสำนักเจ็ดดาราก็เหยียดขึ้น ความตื่นกลัวในแววตาค่อยๆ เลือนหายไป
จากนั้นเขาก็คว่ำแผนที่เจ็ดดาราลง ตัดสินใจไม่เก็บกำลังไว้ และคิดใช้พลังทั้งหมดที่มีบดขยี้ฝ่ายตรงข้าม… ทว่าทันใดนั้นแผนที่เจ็ดดารากลับสั่นไหวอย่างรุนแรง!
เจ้าสำนักรู้ในทันใดว่ามันคือสัญญาณบ่งบอกว่าพลังอิทธิฤทธิ์ไม่เพียงพอ… เขารีบกระตุ้นวิหารหยกขั้นพิสุทธิ์ในร่างและส่งผ่านพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปยังแผนที่เจ็ดดาราเพื่อบรรเทาอาการสั่นนั้น ทว่า…
เมื่อเจ้าสำนักมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ใจก็ดิ่งยวบทันที ก่อนหน้านี้ดวงจันทร์ยังส่องสว่างเจิดจ้าอยู่บนฟ้า แต่ตอนนี้ท้องฟ้ากลับมืดมิดปราศจากแสงใดๆ ราวกับว่าถูกคลุมไว้ด้วยผ้า จนทำให้แสงจันทร์และแสงดาราไม่อาจส่องผ่านลงมาได้!
พลังของแผนที่เจ็ดดารานั้นไร้ขอบเขต แต่ทุกครั้งที่ใช้ มันผลาญพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาลซึ่งเกินกว่าที่เจ้าสำนักจะกักเก็บไว้ได้ ดังนั้นพลังอิทธิฤทธิ์ส่วนใหญ่จึงมาจากแสงจันทร์และพลังของการโคจรของดวงดาว เขานัดหมายเซี่ยฉือในเวลากลางคืน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหากต้องลงแรงกันจริงๆ ภายใต้ม่านแห่งราตรีกาล แผนที่เจ็ดดาราจะเป็นกุญแจสำคัญในการกุมชัยชนะ
แต่ดูเถิด ความลับของแผนที่เจ็ดดารานั้นฝ่ายตรงข้ามได้สืบค้นจนล่วงรู้ และได้ตระเตรียมรับมือไว้เรียบร้อยแล้ว!
ภายในสำนัก นอกจากเจ้าสำนักมีเพียงผู้อาวุโสใกล้ชิดไม้กี่คนที่รู้ความลับของแผนที่เจ็ดดารา… ยากที่จะเชื่อว่าคนเหล่านี้ทรยศต่อเขา แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่มีคำอธิบายอื่นอีก
“ฮ่าๆ เจ้าคิดอย่างไรที่ข้าจัดแจงเรื่องดวงจันทร์”
ทันทีที่หวังลู่ถามจบ เจ้าสำนักก็สังเกตเห็นลำแสงสีเงินที่ส่องประกอบอยู่รอบยอดเขา หากสังเหตดูดีๆ จะเห็นได้ว่ามันมีรูปร่างคล้ายบ่อน้ำ แสงจันทร์และแสงดาวที่สาดส่องไปทั่วฟ้าถูกดึงไปบรรจบกันในนั้น ทำให้มองดูคล้ายม่านน้ำใสกระจ่าง เมื่อเห็นดังนั้น ใจของเจ้าสำนักก็เย็นเยียบลง บ่อจันทราไม่มีทางตระเตรียมได้ในเวลาสั้นๆ นั่นหมายความว่า… พวกที่เขาไว้ใจที่สุดทรยศต่อเขามานานเพียงไรแล้วก็ไม่รู้
“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเหมือนว่าจากนี้ไปเจ้าจะไม่เชื่อใครอีก ข้าไม่จำเป็นต้องติดสินบนคนรอบกายเจ้าก็สามารถเดาความลับจิ๊บจ๊อยของเจ้าได้”
“หึ” เจ้าสำนักพ่นลมออกจมูก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดนี้แม้แต่น้อย
หวังลู่หัวเราะ “ในเมื่อเจ้าเดาได้ว่าข้ามาจากสำนักชั้นนำ เจ้าก็ควรรู้ว่าในฐานะศิษย์ของสำนักนั้น แม้ขั้นตบะของข้ายังต่ำอยู่ แต่ความรู้ในโลกแห่งเซียนของข้ากว้างขวางกว่าผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักขยะเช่นเจ้ามากนัก ดังนั้นอย่าได้ใช้ระดับความรู้ที่เจ้ามีมาวัดความสามารถด้านเหตุและผลของข้าเลย ทันทีที่ข้ารู้ว่าอาวุธหลักของเจ้าคือแผนที่เจ็ดดารา ข้าก็เดาที่มาของเจ้าได้แล้ว หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าน่าจะมาจากสำนักปริดาราซึ่งเป็นสำนักย่อยของสำนักดาราจรัส แก่นวิชาในการบำเพ็ญเซียนของเจ้าน่าจะเป็นผลพวงจากเคล็ดวิชาเจ็ดดาราเลอเลิศ แต่ด้วยความที่เจ้าไม่ได้เข้าใจวิชานี้อย่างแจ่มแจ้ง เจ้าก็จับแพะชนแกะเอาเองจนกลายมาเป็นเคล็ดวิชาเจ็ดดารา อาจจะเรียกได้ว่าเจ้าเดินไปบนอีกเส้นทางหนึ่ง แต่มันก็สามารถนำพาเจ้ามาถึงขั้นพิสุทธิ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่น่าเศร้าที่มันเป็นเพียงการคาดเดาเคล็ดวิชาเจ็ดดาราเลอเลิศเท่านั้น เจ้าทำได้เพียงคำว่าใกล้เคียง แต่ก็ไม่อาจเป็น
ของจริงไปได้”
เจ้าสำนักนิ่งเงียบแต่ใบหน้ากลับซีดเซียว นั่นเพราะสิ่งที่หวังลู่พูดเป็นความจริงทั้งหมด
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ผู้ทรงภูมิเช่นเขา ผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหวาดกลัว ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามมีตบะขั้นสร้างแกน ขวัญของเขาก็ยังไม่สั่นไหวรุนแรงถึงเพียงนี้ ทว่า…พอความลับที่ฝังไว้ลึกสุดในใจถูกขุดขึ้นมาประจานเช่นนี้เขากลับรู้สึกไม่ต่างจากอาจมเลยสักนิด ทว่าขวัญของเจ้าสำนักกระเจิงไปเพียงครู่เดียว ผ่านไปพักหนึ่ง ความรู้สึกสดชื่นก็แพร่กระจายไปทั่ววิหารหยกของเขา ทำให้จิตวิญญาณนักสู้ของเขากลับคืนมาดังเดิม
จริงอยู่ที่ผู้บำเพ็ญเซียนชั้นล่างนั้นขาดหลายสิ่งเมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักชั้นสูง ทว่าในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนชั้นล่างที่ต่อสู้ดิ้นรนมานานหลายปี แรงใจของเขานั้นเทียบไม่ได้กับผู้บำเพ็ญเซียนที่ใช้ชีวิตราวกับองค์ชาย… เขาเคยประสบกับสถานการณ์ที่เข้าตาจนยิ่งกว่านี้มานักต่อนัก ตราบใดที่เขายังคลานได้ เขาย่อมต้องหาทางออกได้แน่นอน
“หมดเวลาพูดจาไร้สาระแล้ว หากเจ้ามีความสามารถสูงส่งจริงๆ เหตุใดต้องใช้แผนลวงด้วย แผ่ไอตบะขั้นสร้างแกนของเจ้าออกมาสิ แล้วข้าจะหมอบกราบยอมรับความพ่ายแพ้เดี๋ยวนี้เลย ทำได้ไหมล่ะ”
เมื่อเรียกขวัญและกำลังใจกลับคืนมาแล้ว เจ้าสำนักก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด “มีเพียงผู้อ่อนแอเท่านั้นที่ใช้อุบาย ในเมื่อเจ้ามาจากสำนักที่น่าเคารพ งั้นก็ควรทำตัวให้ชวนเคารพ ออกมาสู้กับข้าอย่างยุติธรรมเสียเถอะ!”
ทว่าวิธีพูดยุยงให้อีกฝ่ายลงมือของเจ้าสำนักกลับถูกปัดตกในทันใด
“เช่นนั้นก็ได้ หากเจ้าคลานเข่ามาหาข้า ข้ายอมสู้กับเจ้าเลยเอ้า”
ระยำ! หมอนี่มียางอายบ้างไหนเนี่ย!?
…………………………………..