“แม่นางอยากพบข้าหรือ”
“ท่านคือ…”
เจินเมี่ยวแย้มยิ้ม “แม่นางต้องการพบข้า แต่ไม่รู้ว่าข้าเป็นใครอย่างงั้นหรือ”
หญิงในชุดเรียบง่ายตะลึงงัน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทันใดนั้นนางก็คุกเข่าลง “ฮูหยิน ช่วยข้าด้วย!”
เจินเมี่ยวเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เดินเข้าไปในศาลาที่อยู่ในมุมหนึ่ง สาวใช้คนหนึ่งกระวีกระวาดประคองหมอนรองนั่งผ้าดิ้นวางลงบนเก้าอี้หิน มู่จือประคองนางให้นั่งลง
เจินเมี่ยวถึงได้มองไปยังหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
หญิงในชุดเรียบง่ายก้มหน้า เผยให้เห็นลำคอขาวนวล นี่ทำให้นางอดคิดหนึ่งหญิงนางหนึ่งไม่ได้ เยียนเหนียง
“แม่นางลุกขึ้นพูดเถิด คุกเข่าไปก็มิอาจแก้ปัญหาได้” เจิ้นเมี่ยวส่งสายตาให้หญิงรับทั้งสองใช้ออกไปประคองหญิงผู้นั้นขึ้นมา
หญิงในชุดเรียบง่ายหลบเลี่ยง โขกศีรษะลงกับพื้น “ฮูหยิน ข้า…ข้าไม่มีทางเลือก ถึงได้มาหาถึงที่จวน ช่วยเปิดทางรอดชีวิตให้ข้าด้วย”
“คำพูดเหล่านี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร” เจินเมี่ยวได้ยินมาว่ามีหญิงนางหนึ่งมาขอพบ ก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล เวลานี้ก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้นไปอีก
หญิงสาวในชุดเรียบง่ายเงยหน้า มองเจินเมี่ยวปราดหนึ่งด้วยความหวาดกลัว ราวกับว่าตัดสินใจได้แล้ว เอ่ยพลางกัดฟัน “ข้า…ข้าเป็นหญิงที่ซื่อจื่อเลี้ยงดูไว้นอกบ้านเจ้าค่ะ”
“หา!” เมื่อได้ยินคำนี้ สาวใช้ต่างพากันร้องด้วยความตกใจ
ดวงหน้าของจื่อซูผู้เป็นภรรยาของพ่อบ้านพลันเคร่งเครียด นางตรวจสอบดู “หญิงหน้าไม่อายจากที่ใดก็ไม่รู้ พูดแต่เรื่องไร้สาระอยู่ได้!”
เจินเมี่ยวยกมือขึ้น “ฟังนางพูดให้จบก่อน”
ซู่ซู่เห็นว่าดวงหน้าของเจินเมี่ยวนิ่งเรียบ นางก็ค่อนข้างแปลกใจ ดวงหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ ดวงตาอันงดงามคู่นั้นสอดส่องสายตามองเจินเมี่ยวปราดหนึ่ง แล้วจึงก้มหน้าลงอีกครา “ฮูหยิน ข้ามิกล้าพูดเพ้อเจ้อ หลายปีก่อนซื่อจื่อจัดสรรให้ข้าอยู่ที่ตรอกเชวี่ยจื่อ ถัดจากตรอกซิ่งฮวาไปสองถนน ทุกๆ ระยะก็มักจะไปที่นั่นสักคราหนึ่ง หากท่านมิเชื่อ ส่งคนให้ออกไปสอบถามดูก็จะรู้”
“อ้อ เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงร้องขอชีวิตจากข้าเล่า” ดวงตาของเจินเมี่ยวเปล่งประกายใสแจ๋ว มองทอดลงบนตัวนาง ราวกับว่ามองเห็นทะลุปรุโปร่งอย่างไรอย่างนั้น
ซู่ซู่เงยหน้าขึ้น สบสายตากับเจินเมี่ยว “เหตุเพราะข้า…เพราะข้าตั้งครรภ์ ทว่าซื่อจื่อเห็นท่านสำคัญที่สุด พอทราบข่าวนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ชอบใจ ซ้ำยังบังคับให้ข้าเอาเด็กออก ฮูหยิน ท่านเองก็เป็นแม่คน รู้ว่าลูกก็คือชีวิตของคนป็นแม่ ข้าจะตัดใจลงได้อย่างไร ข้ามาขอร้องท่านโดยไม่แยแสว่าซื่อจื่อจะไม่พอใจ ยอมให้ข้าคลอดลูกคนนี้ด้วยเถิด ข้ามิกล้าขอตำแหน่งใด เพียงแต่ขอบ้านอันปลอดภัยให้ลูกของข้าก็เพียงพอ”
นางเอ่ยจบ ก็รู้สึกว่าบรรยกาศช่างหนาวจับใจ เมื่อใช้หางตาเหลือบมอง ก็เห็นว่าสาวใช้แต่ละคนต่างมีสีหน้าโกรธขึ้ง บางคนถกชายแขนเสื้อขึ้นทั้งยังกำหมัด ดูท่าแล้วเพียงแค่ฮูหยินออกคำสั่ง ก็พร้อมจะเข้ามาตบตีนางทันที
ซู่ซู่ลอบถอนใจอย่างอดมิได้
นายท่าน ภารกิจนี้ช่างยากเหลือเกิน!
“แม่นางเอ่ยจบแล้วใช่หรือไม่” เงียบไปสักครู่ เจินเมี่ยวจึงเอ่ยปากถาม
ซู่ซู่มองสีหน้าของเจินเมี่ยวอย่างสงบเสงี่ยม พยักหน้าด้วยความลังเล
เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากพลางแย้มยิ้ม “เช่นนั้น ข้าเองก็มีคำถามบางอย่าง อยากจะถามแม่นาง”
“ฮูหยินเชิญเอ่ย”
“ไหนๆ แม่นางก็บอกว่าตัวเองเป็นบ้านเล็กของซื่อจื่อ อีกทั้งยังอยู่กับเขามาหลายปี เช่นนั้น ซื่อจื่อชอบกินอาหารใดเป็นที่สุด ชอบดื่มชาอะไร”
ซู่ซู่สีหน้าแข็งค้าง ฝืนใจตอบออกไปภายใต้สายตาของเจินเมี่ยว “ทุกครั้งที่ซื่อจื่อมาหาไม่ค่อยได้รับประทานอาหารมากนัก…”
นางเอ่ยอย่างกระวนกระวาย “เรื่องอาหาร ซื่อจื่อเขาไม่โปรดของรสจัด มักจะดื่ม…ชาอวิ๋นอู้”
นายท่านไม่ชอบรสจัดจ้าน ทั้งยังมิได้รับประทานอาหารที่นั่นบ่อยนัก ทุกครั้งจะต้องมีชาอวิ๋นอู้ หลัวซื่อจื่อเองก็เป็นคุณชายตระกูลใหญ่ คิดว่าอาหารที่ชอบคงจะคล้ายคลึงกัน
เจินเมี่ยวแย้มยิ้ม “แม่นางกล่าวได้ไม่เลวเลย”
นัยน์ตาของซู่ซู่ทอแววดีใจ
“เสียดายที่รสปากของซื่อจื่อพิเศษกว่าใคร เขาชอบกินกีบเท้าหมูเป็นที่สุด เกลียดการกินผักเป็นที่สุด ส่วนเรื่องชา เขาไม่ชอบชาชนิดใดเลย สมัครใจดื่มน้ำเสียมากกว่า ที่ดื่มชาตอนไปเป็นแขก ก็เพียงแต่ทำท่าทำทางไปอย่างนั้น”
ซู่ซู่หน้าซีดทันที รู้ว่าแผนของตนเห็นทีจะแตกแล้ว
ชายคนหนึ่ง เลี้ยงดูบ้านเล็กบ้านน้อยเอาไว้หลายปี ไม่มีทางทำทีเหมือนเป็นแขกอย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่ไม่ชอบดื่มชา ยังทำทีว่าดื่มเข้าไป
นอกจากนั้น มีคุณชายสูงศักดิ์คนใดบ้างชอบกีบเท้าหมู นี่กล่าวหากันหรือเปล่า!
ซู่ซู่ตอบไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง เจินเมี่ยวทำสีหน้าเคร่งขรึม “อีกอย่าง เจ้าบอกว่าตั้งครรภ์กับซื่อจื่อ ซื่อจื่อไม่ยอมให้เจ้าคลอดเด็กออกมา หึๆ ซื่อจื่อช่างไร้ความสามารถเสียเหลือเกิน ปล่อยให้เจ้ามาหาข้าได้ถึงที่บ้าน เจ้าไม่เพียงดูถูกสติปัญญาของข้า ทั้งยังดูถูกสายตาของจักรพรรดิองค์ก่อนและองค์ปัจจุบันด้วย”
ซู่ซู่แทบไม่อยากเชื่อเลยว่ามีตรงไหนที่ไม่ถูกต้องกันแน่ เหตุใดหัวข้อนี้จึงชักนำให้นางดูแคลนจักรพรรดิทั้งสองพระองค์ได้เล่า
นายท่าน ข้าน้อยรู้แก่ใจดีว่าภารกิจนี้ยากยิ่ง เกรงว่าจะถูกด่าทอและทุบตี ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่คิดว่าจะมีอันตรายถึงชีวิต!
เจินเมี่ยวไม่ต้องการให้เสียเวลาอีกต่อไป “ให้คนเข้ามา จับคนโกหกไปมัดไว้ นำตัวไปยังจวนจิ่งเทียน แล้วไปดูที่ศาลาว่าการว่าซื่อจื่อออกจากวังแล้วหรือยัง หากอยู่ที่นั่นก็เตือนเขาด้วยว่า มีคนคิดวางเพลิงในจวนของเขา มีเรื่องกับใครในราชสำนักหรือไม่ ใช้ให้คนไม่เอาไหนลงมือด้วยวิธีสกปรก ให้เขาระวังตัวด้วย”
“เจ้าค่ะ!” บรรดาสาวใช้ที่บันดาลโทสะอยู่ก่อนแล้วรุมเข้ามาหา แถวนั้นไม่มีเชือก มีคนใจถึงดึงแถบผ้ารัดเอวออก จับตัวซู่ซู่มัดไว้อย่างแน่นหนา ทั้งยังใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดปากเอาไว้แล้วดันตัวออกไป
เฉินชิ่งตี้ที่ส่งคนไปสอดแนมความเคลื่อนไหวที่จวนกั๋วกงลุกพรวดขึ้นมา “อะไรนะ จยาหมิงคิดว่ามีคนส่งคนร้ายเข้าไปลงมือด้วยวิธีสกปรก ถึงได้ส่งตัวหญิงผู้นั้นออกไปอย่างนั้นหรือ”
องครักษ์ลับที่กลับมารายงานพยักหน้า
เส้นโลหิตที่ตรงขมับของเฉินชิ่งตี้พลันเต้นตุบๆ มองไปยังหลัวเทียนเฉิง
หลัวเทียนเฉิงเผยรอยยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ย “ฝ่าบาท เช่นนี้กระหม่อมชนะแล้วใช่หรือไม่”
เฉินชิ่งตี้กลอกตาอย่างดุดัน สะบัดชายแขนเสื้อ “ภูมิใจอะไรของเจ้า รีบออกไปจากวังไปเดี๋ยวนี้”
“เช่นนั้นน้องสาวของกระหม่อม…”
“หึ ก็แค่หญิงสามัญชนคนหนึ่ง คิดว่าเราจะพิศวาสถึงเพียงนั้นเลยหรือ เราจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร เอาละ ชนะก็ชนะไป ถ้ายังไม่ไป ประเดี๋ยวเราอาจจะเปลี่ยนใจได้”
หลัวเทียนเฉิงอมยิ้มพลางถวายบังคม “เช่นนั้นกระหม่อมทูลลา”
รอจนเขาไปแล้ว เฉินชิ่งตี้ถีบเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างแรง กัดฟันถาม “ซู่ซู่อยู่ที่ใด”
องครักษ์ลับปลุกปลอบความกล้าของตนแล้วเอ่ยขึ้น “น่าจะอยู่ระหว่างทางไปจวนจิงเทียนพ่ะย่ะค่ะ…”
เฉินชิ่งตี้สีหน้าถมึงทึง เตะเข้าที่ขาโต๊ะ
เสียงกร๊อบดังขึ้น เฉินชิงตี้กัดฟันพลางเอ่ยขึ้น “แย่แล้ว หักแล้ว!”
องครักษ์ตื่นตกใจโค้งศีรษะลง เอ่ยอย่างรีบร้อน “กระหม่อมจะให้คนเอามาเปลี่ยนให้ใหม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินชิ่งตี้คำรามลั่น “ขาของเราหัก รีบไปเชิญหมอหลวงมาสิ!”
ภายในพระราชวังวิ่งวุ่นกันอยู่พักหนึ่ง หลัวเทียนเฉิงรีบร้อนกลับไปที่จวน
เจินเมี่ยวเห็นหน้าเขาก็เอ่ยถาม “ซื่อจื่อ ท่านมีศัตรูใช่หรือไม่ วันนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่าเป็นบ้านเล็กของท่าน อีกทั้งยังอุ้มท้องลูกของท่านอยู่ด้วย”
“นางพูดอะไรอีก”
“ทั้งยังบอกว่าท่านไม่ยอมให้นางคลอดลูก จึงมาขอร้องข้าให้นางเข้ามาอยู่ในจวน”
หลัวเทียนเฉิงสีหน้าดำทะมึนในบัดดล
ช่างลงมือได้โหดเ**้ยมเสียจริง หากนางผู้นั้นเอ่ยว่าเป็นรักแท้ของเขา เจี๋ยวเจี่ยวจะต้องไม่เชื่อเป็นแน่ นางถอยก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยเช่นนี้ เกรงว่าจะหลอกหญิงสาวส่วนใหญ่ได้เลยทีเดียว น่าแปลก เหตุใดเจี๋ยวเจี่ยวจึงไม่ตกหลุมพราง
“เจี๋ยวเจี่ยว ตอนนั้นเจ้ามิได้สงสัยข้าเลยหรือ”
เจินเมี่ยวเบ้ปาก “วิธีต่ำช้าเช่นนี้ ไม่รู้ว่าคนโง่คนไหนเป็นคนคิดออกมา หญิงนางนั้นบอกว่ารับใช้ท่านมาหลายปี ไม่รู้แม้กระทั่งว่าท่านโปรดปรานกีบเท้าหมู จะเป็นไปได้อย่างไร”
“เจ้าบอกนางว่าข้าชื่นชอบกีบเท้าหมูอย่างนั้นหรือ”
“แน่สิ ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนที่นางได้ยินข้าพูดเช่นนั้น ถึงกับตกตะลึงเชียวละ”
หลัวเทียนเฉิงน้ำตาไหลอยู่เงียบๆ
เรื่องพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องเอามาพูดก็ได้นะ!
“ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว อย่างไรข้าก็ส่งตัวนางให้ทางการเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ท่านต้องตรวจสอบดูว่าใครเป็นคนลอบกัดท่าน จริงสิ เข้าวังวันนี้ ฝ่าบาทว่าอย่างไรบ้าง”
“น้องสามไม่ต้องเข้าวังแล้ว”
เจินเมี่ยวดวงตาเป็นประกาย สีหน้าพลันมีชีวิตชีวา “ดีเหลือเกิน เช่นนั้นข้าจะไปบอกกับน้องสามก่อน”
หลัวเทียนเฉิงรีบดึงตัวนางเอาไว้ “จะรีบไปไหนเล่า ฝากให้สาวใช้ไปบอกนางก็ได้ ข้ายังอยากพูดคุยกับเจ้าอยู่เลย”
“อื้ม” เจินเมี่ยวนั่งลง “หิวหรือเปล่า จะกินอะไรหน่อยหรือไม่”
“เอาสิ”
เจินเมี่ยวกำชับสาวใช้ให้ไปยกอาหารมา หลัวเทียนเฉิงนั่งลงข้างกายนาง เอื้อมมือไปโอบนางเอาไว้ ยิ้มพลางเอ่ย “ความจริงแล้ว หญิงที่มาจวนเราในวันนี้เป็นแผนการของฝ่าบาท”
เจินเมี่ยวหรี่ตาลง “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
หลัวเทียนเฉิงถึงได้เล่าที่มาที่ไปของเหตุการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน
รอจนเขาเล่าจบ เจินเมี่ยวส่ายศีรษะ “ข้าว่าแล้วเชียวว่าใครกันที่มีความคิดสกปรกเช่นนี้ ท่านยังไปพนันกับฝ่าบาทอีก ไม่กลัวว่าข้าจะกลัดกลุ้มหรอกหรือ”
หลัวเทียนเฉิงหัวเราะเบาๆ กระซิบข้างหูของนาง “กลัวสิ ข้าถึงได้คิดอยู่ตลอดว่าเอาเป้าธนูไปวางไว้ที่ใด เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าไม่รู้หรอกว่าฝ่าบาทอยากเห็นเรื่องสนุกนี้มากเพียงใด หากข้าไม่ตกลง น้องสามจะต้องเข้าวังอย่างเดียวเท่านั้น เจ้าเองก็เป็นคนใจอ่อน ถึงเวลาจะต้องโมโหโทโสโทษตัวเองเป็นแน่”
“นี่เป็นเพราะข้าใจสู้หรอกนะ พวกเราถึงได้ชนะ” เจินเมี่ยวปรายตามองเขาครั้งหนึ่ง
“ใช่แล้วๆ เจ้าเป็นคนใจสู้มาโดยตลอด” หลัวเทียนเฉิงกะพริบตา “เจี๋ยวเจี่ยว ตอนที่เจ้าได้ยินหญิงผู้นั้นพูดจาเลื่อนลอย มิได้คิดเป็นอย่างอื่นจริงหรือ”
เจินเมี่ยวครุ่นคิด แล้วจึงส่ายหน้า “เปล่าจริงๆ นะ พูดกันตามตรง หากเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนเรื่องของเยียนเหนียง ไม่แน่ว่าข้าอาจจะลังเลอยู่บ้าง ทว่าถึงตอนนี้แล้ว เพียงแค่รู้สึกว่าช่างน่าขันนัก”
“อย่างไรหรือ”
เจินเมี่ยวเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “ท่านไม่ได้มองลักษณะท่าทางของนางให้ละเอียดหรอกหรือ รูปร่างหน้าตาทั้งกิริยาท่าทางของนางเป็นแบบเดียวกับเยียนเหนียงไม่มีผิด แต่ถ้าบอกว่าเยียนเหนียงเป็นดวงจันทร์นวลผ่องบนฟากฟ้า เช่นนั้นหญิงผู้นั้นอย่างมากก็เป็นได้เพียงดวงดาวที่รายล้อมดวงจันทร์นวลผ่องที่มิได้ดูสะดุดตา ท่านไม่เคยมีใจให้เยียนเหนียง ไฉนเลยจะตามืดบอดไปเลือกดวงดาวที่ห้อมล้อมดวงจันทร์กันเล่า”
หลัวเทียนเฉิงตั้งอกตั้งใจฟัง จับมือของนางขึ้นมา เผยรอยยิ้มอ่อนโยนดั่งสายน้ำ “เจี๋ยวเจี่ยว ในใจของข้า เจ้าสิถึงเป็นดวงจันทร์นวลผ่อง หญิงนางอื่นล้วนแต่เป็นดวงดาวทั้งนั้น”
ดวงตาทั้งสี่ของพวกเขาประสานกัน ต่างก็หัวเราะออกมา
เมื่อรู้ถึงความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างไว้ใจกันและกัน ไม่ว่าเวลาใดก็จะจูงมือกันไปข้างหน้า ช่างดีเหลือเกิน
ในใจของเจินเมี่ยวหวานชื่น หางตาเหลือบไปเห็นมู่จือยืนถืออาหารอยู่ตรงประตูอย่างเก้อเขิน จึงกระแอมขึ้นครั้งหนึ่ง “ยกเข้ามาสิ”
มู่จือก้าวเข้ามา นำอาหารวางไว้ ไม่ทันรอให้สั่งอะไรก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้ากินนี่สิ” หลัวเทียนเฉิงคีบปีกไก่น้ำผึ้งใส่ลงในชามของเจินเมี่ยวชิ้นหนึ่ง
เจินเมี่ยวกัดคำหนึ่งอย่างไว้หน้าเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าในกระเพาะปั่นป่วน ทำเหมือนว่าจะอาเจียนอยู่พักหนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงตกอกตกใจ สบตากันกับเจินเมี่ยว ตื่นเต้นเป็นการใหญ่ “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้า เจ้าตั้งครรภ์อีกแล้วหรือ”
เจินเมี่ยวลูบคลำบริเวณท้องของตนพลางคลี่ยิ้มอ่อน
ดูเหมือนว่า โซ่ทองคล้องใจของนางจะมาแล้ว
นางมองชายหนุ่มอย่างใจจดใจจ่อ ความทรงจำอันสวยงามและความทรงจำอันไม่น่าอภิรมย์ฉายผ่านไปทีละเรื่อง ในที่สุดก็หยุดนิ่งที่ชายหนุ่มผู้ซึ่งทำสีหน้าย้อนแย้งในเวลานี้
นางคิดว่าจุดเริ่มต้นของทุกๆ คนล้วนมองไม่เห็นจุดจบ นางข้ามเวลามาเป็นพันเป็นหมื่นปี ความจริงแล้วเพียงเพื่อพบกับเขาในยามทุกข์ยากที่สุด จากนั้นจึงล้มลุกคลุกคลาน ถักทอวาสนาแห่งรักจนกลายเป็นคู่สวรรค์สรรสร้างร่วมกัน
————————-