อีกไม่ช้าเดือนสิบสองก็จะมาถึงแล้ว หิมะโปรยปรายตลอดทั้งคืน เมื่อรุ่งเช้ามาถึง บรรยากาศจึงแจ่มใสเป็นพิเศษ
ณ จวนเจิ้นกั๋วกง บรรดาหญิงรับใช้ที่รับหน้าที่ปัดกวาดล้วนตื่นแต่เช้าตรู่ พวกนางปัดกวาดทางเดินที่เจ้านายมักเดินผ่านจนสะอาดสะอ้าน หิมะระหว่างทางเดินสองข้างทับถมกันกองพะเนิน
เจินเมี่ยวสวมเสื้อคลุมสีชาดค่อยๆ ก้าวลงไปตามทางเดินหินที่ถูกปัดกวาดแล้ว คอเสื้อนางทำจากขนจิ้งจอกหิมะปลอดดูช่างงามตายิ่งนัก
หลัวเทียนเฉิงเดินเคียงคู่นาง พลางยกมือขึ้นคอยประคองคนสำคัญมิให้ล้มลง ทั้งยังเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “หิมะเพิ่งจะตกลงมา อากาศหนาวเย็นถนนก็พลอยลื่นไปด้วย เหตุใดจู่ๆ จึงอยากออกมาดูดอกเหมยเล่า”
เจินเมี่ยวย่นจมูกแดงระเรื่อ พลางอังมือกับเตาอุ่นมือรูปทรงค้างคาวสีทับทิมในมือแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อเช้าน้องสามเด็ดกิ่งเหมยมาจำนวนหนึ่ง ทั้งยังปักลงไปในแจกันปากเหลี่ยมสีฟ้าหลังฝนมามอบให้ข้า เมื่อวางไว้บนโต๊ะเขียนอักษรแล้ว สีแดงชาดของมันมองแล้วช่างเบิกบานใจ ข้ามองแล้วแสนสบายใจ จึงอยากไปเดินดูในป่าเหมยสักหน่อย อย่างไรกันเล่า ชื่อจื่อลำบากใจงั้นหรือ ตั้งแต่ท่านรู้ว่าข้าตั้งครรภ์ ท่านก็เอาแต่ชักสีหน้าไม่หยุด ไม่คิดเลยว่าลูกสาวข้าช่างอาภัพนัก ยังมิทันได้เกิดมาก็ไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านพ่อเสียแล้ว”
“พูดจาเลื่อนเปื้อนอันใดกัน!” หลัวเทียนเฉิงเหลือบมองไปยังท้องของเจินเมี่ยวครั้งหนึ่งด้วยความตื่นตระหนก “ระวังลูกจะได้ยิน”
ตั้งแต่เจินเมี่ยวบอกเขาว่า เด็กในครรภ์จะเริ่มได้ยินเสียงภายนอกตั้งแต่สี่เดือนขึ้นไป เขาก็เกรงว่าผู้เป็นแม่อย่างนางจะเป็นดั่งหอคอยใกล้น้ำที่ได้เห็นดวงจันทร์ก่อนใคร[1] แล้วจะว่าร้ายเขากับลูกในครรภ์ ช่วยไม่ได้ ใครให้นางรู้ว่าตั้งแรกที่ตั้งครรภ์ เขาไม่เพียงแต่ไม่ยิ้มแย้ม ทั้งยังทำสีหน้าไม่ยินดีอีกด้วย
“ใครบอกว่าข้าไม่ต้องการลูกสาวกัน ก็ข้ากังวลว่าตอนเจ้าคลอดจะลำบากนี่!” หลัวเทียนเฉิงเอื้อมมือออกไปลูบท้องของนางเบาๆ อดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะลงจุมพิตพวงแก้มที่ราวกับลูกท้อของนาง
หญิงรับใช้ที่ติดตามอยู่ไกลๆ มิได้แปลกใจกับภาพที่ได้เห็นจนคุ้นตา แม้แต่หนังตาก็มิได้ยกขึ้นมอง
เจินเมี่ยวเอียงคอมองเขา “พูดดีอยู่หรอก แต่ข้าก็ยังอยากเห็นดอกเหมยอยู่ดี ท่านก็เอาแต่พูดโน่นพูดนี่อยู่ได้”
กับบางคนก็มิได้รู้สึกอารมณ์เสียหลังการตั้งครรภ์ เอาแต่ใจอย่างไร้เหตุผล หรือว่าเอาแต่น้อยใจ
เพียงแต่การมองของนางในครานี้ ราวกับเกิดเกลียวคลื่นในดวงตา อ่อนโยนราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ มองหลัวเทียนเฉิงเสียจนหัวใจเต้นถี่ ลำคอแห้งผาก ท้องน้อยหดเกร็งโดยไม่รู้ตัว
เขาออกแรงบีบมือน้อยๆ นุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูกของนาง พลางข่มความรู้สึกฟุ้งซ่าน เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เจี๋ยวเจี่ยว เหมือนว่าเจ้าจะงดงามขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียอีก”
“จริงหรือ” เจินเมี่ยวเลิกคิ้ว เต็มไปด้วยความยินดี “ข้าได้ยินมาว่า หากได้บุตรชายมารดาจะน่าเกลียด หากเป็นลูกสาวมารดาจะผุดผ่องนัก ข้าดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนจริงหรือ เช่นนั้นท้องนี้จะต้องเป็นบุตรสาวอย่างไม่ต้องสงสัย”
นางหลงลืมอารมณ์ขุ่นมัวก่อนหน้าในทันที เดินมาถึงมุมหนึ่งของป่าเหมย นางยิ้มพลางเอ่ย “มิน่าเล่า ยามนี้ข้าถึงได้ชอบดูบรรดาดอกไม้ใบหญ้า ที่แม้มิใช่ข้าที่อยากดู แต่เป็นคนที่อยู่ในท้องนี่เอง บุตรสาวอย่างไรก็แตกต่างกับบุตรชาย”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้นางพลันตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย หยิบยกบุตรชายทั้งสองขึ้นมาเปรียบเทียบ “คิดถึงสภาพตอนที่ข้าอุ้มท้องเสียงเกอกับอี้เกอแล้ว ก่อนกินข้าวก็เอาแต่ขบคิดว่าอยากกินอะไร หลังกินข้าวก็เอาแต่คิดว่าวันพรุ่งจะกินอะไร แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
หลัวเทียนเฉิงแย้มยิ้มอย่างคล้อยตาม อดไม่ได้ที่ลอบบ่นในใจ เกี่ยวอะไรกับบุตรชายทั้งสองกันเล่า ตอนที่เจ้าไม่ได้อุ้มท้องก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เฮ้อ อย่างไรหญิงตั้งครรภ์ก็เป็นใหญ่ เขาเงียบปากไว้จะดีที่สุด
จู่ๆ บรรยากาศก็พลันปรองดองหาใดเทียบ คู่สามีภรรยาร่วมดื่มด่ำความงามของดอกเหมย จากนั้นจูงมือกันเดินกลับมายังเรือนชิงเฟิง
เสียงเกอและอี้เกอต่างสวมใส่เสื้อผ้ามากชิ้นจนตัวกลมราวกับตุ๊กตาหิมะ ทั้งสองวิ่งเข้ามา “ท่านแม่ ท่านกับท่านพ่อไปไหนมาขอรับ”
เจินเมี่ยวหัวเราะตอบด้วยความอ่อนโยน “พาน้องสาวเจ้าไปชมดอกเหมยมาน่ะสิ”
อี้เกอเป็นเด็กนิสัยตรงไปตรงมา เขารีบเอ่ยต่อในใด “ท่านแม่ลำเอียง เหตุใดไม่พาอี้เกอไปด้วยเล่า”
เสียงเกอกระแอมขึ้นเบาๆ ขึ้นหนึ่งครั้ง
อี้เกอจึงรีบร้อนเอ่ยต่อ “ท่านพี่ก็เช่นกัน”
“เจินเมี่ยวยกมือลูบศีรษะของลูกทั้งสอง “มิใช่ว่าแม่ลำเอียง แต่เพราะว่าน้องสาวเป็นผู้หญิง แตกต่างจากพวกเจ้า”
“ไม่เหมือนกันอย่างไร” อี้เกอถามต่อ
เสียงเกอเบี่ยงศีรษะหลบทันที หลบหลีกมือของเจินเมี่ยว เอ่ยอย่างเฉยชา “ท่านแม่ ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่า อย่าลูบศีรษะของข้า ท่านหลงลืมอยู่เรื่อยเลย”
เจินเมี่ยวบีบแก้มลูกคนนี้อย่างไม่ได้เกรงใจ แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “เด็กผู้หญิงก็เหมือนกับแม่อย่างไรเล่า สวมชุดกระโปรงสวยงาม ประดับดอกไม้สวยๆ ดังนั้นน้องสาวจึงชอบดอกไม้ พวกเจ้าก็ชอบดอกไม้หรือ”
สองพี่น้องส่ายหน้าพร้อมกัน
“ข้าชอบหมั่นโถวเนื้อที่ท่านแม่เป็นคนทำ ทั้งยังชอบดาบไม้ที่ท่านพ่อทำให้ข้าด้วย” อี้เกอรีบเอ่ยบอกเจินเมี่ยว
“เสียงเกอเล่า”
เสียงเกอรู้สึกว่าคำถามนี้ช่างงี่เง่า เขาขี้คร้านจะตอบ แต่ภายใต้การเร่งรัดของเจินเมี่ยว เขาคิดในใจ แม้ว่าตั้งแต่ท่านแม่ตั้งครรภ์น้องสาวคนนี้แล้วจะดูซื่อบื้อไปเสียหน่อย ทว่าอย่างไรก็เป็นท่านแม่ที่เขาชื่นชอบที่สุดอยู่ดี จึงเอ่ยตอบเสียงเบา “อ่านหนังสือขอรับ”
อี้เกอมองพี่ชายด้วยความไม่เข้าใจ “ท่านพี่ช่างโง่นัก อ่านหนังสือดีที่ไหนกัน ไม่สนุกเท่าดาบไม้เสียหน่อย อร่อยสู้หมั่นโถวเนื้อก็ไม่ได้
แววตางดงามคู่นั้นของเสียงเกอปรากฎแก่สายตา “คนธรรมดาโง่งมจะมาเข้าใจความเปล่าเปลี่ยวของข้าได้อย่างไร” พลางเอ่ยต่อ “อ่านหนังสือแล้วจึงจะมีหมั่นโถวเนื้อและดาบไม้ ทั้งยังของดีๆ อีกมากมาย เจ้าไม่อ่านหนังสือ เมื่อกินหมั่นโถวเนื้อหมดแล้ว ก็จะไม่เหลืออะไรสักอย่าง”
“ไม่ใช่เสียหน่อย กินหมดแล้ว ท่านแม่ก็ยังทำให้ข้าอีก” อี้เกอเอ่ยอย่างถือดี
เสียงเกอสุขุมและเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เป็นครั้งแรกเลยกระมังที่ถูกอี้เกอตอบโต้เสียจนหมดท่า เมื่อคิดดูก็รู้สึกว่าที่น้องชายตนเอ่ยมาก็มีส่วนถูก จึงไม่รู้ว่าจะโต้เถียงต่อไปอย่างไร
เจินเมี่ยวมองแล้วก็รู้สึกขบขัน ทั้งยังรู้สึกว่าลูกชายพลังเหลือล้นทั้งทะเลาะกันเสียจนปวดเศียรเวียนเกล้า จึงเอ่ยปากไล่ “เจ้าทั้งสองนี่นะ วันนี้อากาศดี ไปขว้างหิมะเล่นที่ลานบ้านเถิด”
เด็กชายทั้งสองดวงตาเป็นประกายในทันที
“แต่ต้องจำไว้ให้ดี ต่อให้เล่นจนร้อนเพียงใดก็ห้ามถอดเสื้อผ้าออกมาเป็นอันขาด โดยเฉพาะเสียงเกอ อย่าได้อวดเบ่งความเป็นนายน้อยฝืนใจให้พวกนางตามใจเจ้า หากครั้งนี้เล่นจนป่วยไข้ ต่อไปจะไม่อนุญาตให้พวกเจ้าออกไปอีก”
ทั้งสองรีบรับปากแข็งขัน อี้เกอเอ่ยถาม “ท่านแม่ไม่ออกไปกับพวกเราหรือขอรับ”
เจินเมี่ยวส่ายหน้า
เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของบุตรชาย นางอดไม่ไหวที่จะเอ่ยว่าคนท้องไม่เหมือนกับหญิงทั่วไป นางรีบร้อนอธิบาย “แม่ยังต้องเย็บชุดให้น้องสาวของพวกเจ้าอีก มิเช่นนั้นรอให้น้องสาวเจ้าคลอดออกมา ไม่มีเสื้อผ้าไว้สวมใส่จะทำอย่างไร”
คราวนี้อี้เกอถึงได้ดึงตัวพี่ชายวิ่งออกไปด้วยความดีอกดีใจ
ครรภ์นี้เจินเมี่ยวนี้ไม่ลำบากนัก กินดีหลับสนิทดี ทำกิจกรรมอะไรก็ไม่ติดขัด ระยะนี้ไม่มีเรื่องอันใดให้ขุ่นเคืองใจ อารมณ์ดีมาโดยตลอด พลังงานล้นเหลือ เมื่อคิดถึงบุตรสาวที่กำลังจะคลอดออกมาก็รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ จึงตั้งใจตัดเสื้อผ้าตัวน้อยๆ ไว้ให้มากหน่อย กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าและเหล่าบรรดาหญิงรับใช้และน้องสะใภ้ทั้งหลายต่างก็รู้ว่าต้าไหน่ไหน่ตั้งตารอคอยหลานสาวที่ยังไม่ลืมตาดูโลกผู้นี้เพียงใด มอบเสื้อผ้าเด็กที่ตัดเย็บด้วยมือตนมาให้มากมาย
แม้แต่มู่จือที่เป็นผู้ตรวจนับยังเอ่ยอย่างขบขัน “ท่านย่า คุณหนูคลอดออกมาแล้วจะใส่ให้ครบได้อย่างไร ยามนี้แม้แต่เสื้อผ้าสำหรับเด็กอายุสามสี่ขวบก็ยังมีตั้ง**บหนึ่งแล้ว”
“จะเป็นอย่างไรเล่า แค่ได้มองก็รู้สึกสนุกขึ้นมาแล้ว”
คราวที่อุ้มท้องเสียงเกอและอี้เกอ เป็นช่วงเวลาที่สถานการณ์การรบตึงเครียดยิ่งนัก แม้แต่หน้าของหลัวเทียนเฉิงนางก็ไม่ได้พบ จิตใจเบิกบานเช่นนี้ นางไม่เคยเป็นมาก่อน
ต้นเดือนหกปีต่อมา เจินเมี่ยวก็เริ่มมีอาการ
นางออกอาการรวดเร็วนัก เมื่อหลัวเทียนเฉิงทราบข่าวก็รีบกลับมาที่จวน จึงได้ทราบว่านางคลอดแล้ว
“ข้าจะเข้าไปดูเจี๋ยวเจี่ยวกับลูกสาว”
ฮูหยินผู้เฒ่ารีบหยุดเขาไว้ สีหน้าแปลกประหลาดยิ่งนัก “ลูกสาวอะไรกัน ฮูหยินเจ้าคลอดลูกชายต่างหากเล่า ประเดี๋ยวอยู่ต่อหน้านาง อย่าได้ทำให้นางโกรธเชียว”
หลัวเทียนเฉิงเดินเข้าไปอย่างเลื่อนลอย
[1] หอคอยใกล้น้ำได้เห็นดวงจันทร์ก่อนใคร สำนวนเปรียบถึงการได้รับผลประโยชน์เนื่องจากความใกล้ชิด