ทุ่งหญ้าก่อตัวเป็นคลื่น อาทิตย์อัสดงแผดเผา ทุ่งหญ้าที่ยาวไกลสุดลูกหูลูกตามองไปคล้ายทะเลมรกต ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับขอบฟ้า ณ ดินแดนอันไกลโพ้น และ ณ ขอบฟ้าแห่งนั้น ฝุ่นตลบอบอวล เสียงเกือกม้ากระแทกปฐพี คนกลุ่มใหญ่กำลังควบม้ามุ่งหน้าเข้ามา
เมื่อเข้ามาใกล้ คนกลุ่มนี้จึงหยุดลง ระหว่างนั้นทุกอย่างก็เงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงลมโชยพัดเท่านั้น
ที่น่าประหลาดใจก็คือ คนกลุ่มนี้ทั้งหมดสวมใส่ชุดเครื่องแบบทางการ ขากางเกงล้วนเก็บรวบอยู่ในรองเท้าหุ้มข้อที่ทำด้วยหนังลา อีกทั้งยังเป็นหญิงสาวทั้งหมด
ในมือของหญิงสาวที่เป็นผู้นำถือธนูคันยาว ขาสองข้างหนีบอยู่แนบลำตัวม้าพลางขี่ขึ้นมาข้างหน้า เมื่อมองเห็นกลุ่มสีแดงท่ามกลางคลื่นหญ้า นางยกยิ้มในแววตา คลายมือลงในฉับพลัน ลูกธนูก็พุ่งฉิวออกไปทันที
ขณะเดียวกันนั้นเอง มีลูกธนูอีกดอกหนึ่งจากคันธนูของหญิงสาวอีกคนซึ่งอยู่ใกล้กันยิงออกมา ลูกธนูทั้งสองดอกพุ่งไปยังจุดสีแดงเดียวกันนั้น
ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องดังขึ้น จุดสีแดงนั้นสั่นไหวอยู่พักใหญ่ หญ้าโดยรอบหมอบโค้งลงทุกทิศทาง
หญิงสาวซึ่งเป็นผู้นำเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยด้วยความโมโห “โอวหยางเถา เจ้ามาแย่งข้าอีกแล้ว!”
โอวหยางเถาใบหน้ากลมมน มิได้ดูขาวผุดผาดอย่างตอนอยู่ที่เมืองหลวง พวงแก้มดูมีเลือดฝาดของนางชวนให้รู้สึกฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น นางหรี่ตาลง หัวเราะพลางเอ่ย “องค์หญิง ตกลงกันไว้แล้วนี่นาว่าผู้ใดพบจิ้งจอกแดงก่อนก็จะตกเป็นของผู้นั้น นี่พวกเราเจอพร้อมกันเลยกระมัง อีกประการหนึ่ง ฝีมือธนูของข้าก็แข็งแกร่งว่าท่านอยู่บ้าง ยิงลูกธนูดอกนี้เสริมเข้าไป เจ้าจิ้งจอกแดงตัวนี้จะได้หนีไม่ได้อีก”
“โอวหยางเถา แน่จริงเจ้าก็พูดอีกรอบสิ!” ชูสยาจวิ้นจู่ซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีแดงถลึงตาโต เห็นได้ชัดเลยว่าโมโหเข้าแล้วจริงๆ ทว่าเมื่อมองจากลักษณะท่าทางและการเอ่ยวาจานั้น ก็พอมองออกถึงความสนิทสนมของทั้งสอง
โอวหยางเถากลับไม่กลัวนางเลยสักนิด นางแลบลิ้นพลางเอ่ย “พี่สะใภ้คนดี อย่าโกรธเคืองข้าเลยนะ ข้ารู้ว่าท่านต้องการจิ้งจอกแดงตัวนี้ไปทำเป็นผ้าพันคอ ข้าไม่แย่งชิงกับท่านแล้วก็ได้”
ชูสยาจวิ้นจู่ยื่นมือออกไป ทั้งยังบีบแก้มแดงๆ ของนางเข้าเต็มรัก “อย่ามาเรียกข้าว่าพี่สะใภ้เชียว ใครพี่สะใภ้เจ้ากัน ข้าไม่เอาไปทำผ้าพันคอให้คนนิสัยแย่ผู้นั้นหรอก เขาอยากทำอะไรก็ช่าง ใครสนใจกันเล่า”
โอวหยางเถานัยน์ตาระยิบระยับ นางไม่ได้สนใจในจิ้งจอกแดงที่นอนอยู่บนลานหญ้าอีกต่อไป พลางกระตุกบังเ**ยนคุมม้าให้ก้าวเข้าไปใกล้ขึ้น ส่งเสียงต่ำถามออกไป “องค์หญิง ยังขุ่นเคืองใจชิงหลังอ๋องอยู่อีกหรือเพคะ”
ปีก่อนองค์ชายใหญ่รับตำแหน่งอ๋อง ได้รับสมญานามว่าชิงหลังอ๋อง ชูสยาจวิ้นจู่จึงกลายเป็นต้าหวังโฮ่วทันที
“ขุ่นเคืองอะไรกัน ในเมื่อเขาจะเป็นหรือตายก็ไม่ยอมให้ข้าแม้แต่ไปเยี่ยมเยียน ข้าก็จะไม่สนใจในตัวเขาอีก” เมื่อชูสยาจวิ้นจู่คิดถึงที่ท่านอ๋องไม่ยินยอมให้นางกลับเมืองหลวงไปเยี่ยม ในใจก็เต็มไปด้วยโทสะที่ไม่รู้มาจากแห่งหนใด”
สายตาของโอวหยางเถามองไปยังบรรดาหญิงสาวที่ติดตามมาด้านหลัง ทั้งยังหัวเราะอย่างขบขัน “ไม่สนใจก็ดีแล้ว เฮ้อ เช่นนั้นข้าจะไปนำจิ้งจอกแดงตัวนั้นกลับมาให้นะเจ้าคะ”
นางเร่งควบม้าไปยังทิศที่จิ้งจอกแดงตัวนั้นอยู่พลางลอบหัวเราะ หลั่งน้ำตาแห่งความเห็นใจให้กับองค์ชายใหญ่
ด้วยมิเคยเห็นสามีภรรยาคู่ใดที่ขุ่นเคืองใจกันแล้ว ฝ่ายภรรยานำอนุทั้งหลายออกมาเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่อยู่ภายนอก ทิ้งสามีไว้อีกทาง ดูเหมือนว่าคงอีกไม่นานชิงหลังอ๋องคงต้องก้มหัวให้เสียแล้ว
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงควบม้าดังขึ้น หันหลังกลับไปมองก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งควบม้าเข้ามา ผู้นำก็คือองค์ชายใหญ่นั่นเอง
เขาควบม้าทะยานพุ่งตรงไปหาชูสยาจวิ้นจู่ คิ้วเข้มและดวงตากลมโตยิ่งขับให้ความขุ่นเคืองชัดเจนขึ้นไปอีก เขาจับแขนของชูสยาจวิ้นจู่เอาไว้พลางเอ่ย “ชูสยา เจ้าก่อนเรื่องอีกแล้วนะ ไม่รู้รึว่าแถวมีหมาป่าชุกชุม อาจจะออกมาทำร้ายคนได้ เช่นนั้นเหล่าพวกผู้หญิงอย่างพวกเจ้าจะทำอย่างไรกัน”
ชูสยาจวิ้นจู่สลัดแขนของเขาออกไป แค่นเสียงเหอะคราหนึ่ง “ท่านจะสนใจทำไมกัน”
ว่าแล้วก็ฟาดลงที่บั้นท้ายม้าอย่างรุนแรง “ย่าห์!”
องค์ชายใหญ่เห็นเช่นนั้น ก็เร่งรุดตามไปทันที
เหลือเพียงองค์ชายรองที่ตามมาด้วยกำลังนวดขมับของตนอยู่ เมื่อเห็นจิ้งจอกแดงในมือโอวหยางเถาดวงตาเขาก็พลันเป็นประกาย “เถาจื่อ จิ้งจอกแดงตัวนี้ช่างงดงามนัก ฮะฮ่า เจ้าจะมอบมันให้กับข้างั้นหรือ”
ผู้หญิงหมานเหว่ยล้วนชำนาญเรื่องการขี่ม้าและยิงธนูล่าตัวเป้าหมายไปให้คนที่ตนชอบพอ ทั้งนี้ล้วนเป็นประเพณีนิยมที่ปฏิบัติต่อกันมา
“มิใช่เสียหน่อย นี่เป็นสิ่งที่องค์หญิงจะมอบให้ท่านอ๋อง” โอวหยางเถาตอบ”
องค์ชายรองหน้าเสียทันที “องค์หญิงยังรู้ว่าต้องมอบของให้พี่ใหญ่ เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าต้องให้ข้าเช่นกัน เจ้าไม่เคยมอบของขวัญที่ได้จากการออกล่าด้วยตัวเองให้ข้าเลยสักครั้ง”
คลื่นในดวงตาของโอวหยาวเถากระเพื่อมไหว ยกมุมปากเอ่ย “ให้ข้ามอบก็ได้ แต่ว่าท่านต้องรับปากเงื่อนไขข้าข้อหนึ่ง”
“เงื่อนไขอะไร” องค์ชายรองขยับเข้ามาใกล้
“หลายวันก่อนมิใช่ว่าปาหลุนจะให้ลูกสาวของเขาแต่งเป็นชายาของท่านหรอกหรือ ท่านรีบปฏิเสธเสีย แล้วข้าจะมอบให้ท่าน”
“หากอยู่ที่ต้าโจว จะรับชายาสักคนนางจะไม่ใส่ใจ แต่กฎเกณฑ์ที่หมานเหว่ยแตกต่างออกไป บุรุษในราชตระกูลแต่งภรรยาได้หลายคน ถึงตอนนั้นลูกที่เกิดมาก็ล้วนเป็นผู้สืบทอด มีสิทธิ์ในการครองตำแหน่งอ๋องเช่นกัน นางไม่อยากให้บุตรชายต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ในภายภาคหน้า
เมื่อองค์ชายรองนึกถึงรูปลักษณ์อันงดงามของลูกสาวปาหลุนแล้วก็รู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่าเถาจื่อเป็นหญิงที่ดีมากอยู่แล้ว ทว่าเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เขาย่อมอยากลิ้มรสหลีจื่อ[1] หรือซิ่งจื่อ[2]ดูบ้าง แม้แต่เหล่าบรรดาอ๋องทั้งน้องพี่ต่างก็หัวเราะเยาะเขา หลายปีมานี้เฝ้าอยู่กับหญิงสาวที่มาจากต้าโจวเพียงผู้เดียว ไม่รู้เลยว่าหญิงอื่นเป็นเช่นไรบ้าง
องค์ชายรองค่อนข้างลังเล ทอดสายตาไปยังร่างของจิ้งจอกแดงอีกครา อย่างไรความรู้สึกอิ่มเอมที่ได้รับของขวัญที่ล่าได้เองจากภรรยาก็ยังมีมากกว่า
ช่างเถอะ เขาเพียงแค่หวั่นไหวอยากลิ้มลองก็เท่านั้น ทว่าเรื่องนี้หรือจะสู้ของขวัญที่เถาจื่อมอบให้ได้
“ได้ ปฏิเสธก็ปฏิเสธสิ แต่เจ้าต้องให้หนังจิ้งจอกที่ดียิ่งกว่านี้กับข้า”
โอวหยางเถายิ้มกริ่มพลางรับคำ เมื่อทั้งสองกลับไปที่ตำหนักแล้ว ตกดึก จึงสรรหานางกำนัลใบหน้างดงามมามอบถึงกระโจมขององค์ชายรอง
การจัดการเรื่องเช่นนี้ แน่นอนว่าในใจนางย่อมไม่สบายใจ ทว่านางเองเข้าใจดี แม้ว่าองค์ชายรองจะรักนางมากเพียงใด หากแต่งงานกันเป็นเวลานาน ก็ย่อมมีความปรารถนาหวั่นไหวดังเช่นนิสัยบุรุษบ้าง หากจะสกัดกั้นน้ำ มิสู้ปล่อยให้น้ำไหลอย่างมีทิศทางดี นางขัดขวางได้หนึ่งครั้งแต่ไม่อาจขัดขวางครั้งที่สองไม่ได้ ผ่านไปอีกหลายปีก็คงขัดมิได้แล้ว จะจัดหาอนุที่ทัดเทียมกับนางมาสักสองสามคน มิสู้ให้เขามีประสบการณ์ในตอนนี้มากสักหน่อย เมื่อความหวานหอมเลยผ่านไปแล้วก็เป็นใช้ได้
หญิงสาวจากหมานเหว่ยมิได้ให้ความสำคัญกับพรหมจรรย์มากนัก บรรดานางกำนัลสาวที่คัดสรรมา ฐานะค่อนข้างต่ำต้อยนัก ต่อไปก็สามารถแต่งงานออกไปได้เช่นกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โอวหยางเถาก็ไม่ได้เศร้าใจอีกต่อไป อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่สามารถควบอาชาห้อตะบึงได้อย่างอิสระ ก่อนหน้าที่อยู่เมืองหลวงแม้แต่จะคิดยังไม่กล้า
เครื่องพันธนาการของชาวหมานเหว่ยที่มีต่อหญิงสาวน้อยนิดเสียจนไม่น่าเชื่อ
องค์ชายรองอยู่ในช่วงวัยแรกรุ่นของชีวิต ด้วยนิสัยการทานเนื้อสัตว์เป็นหลักของเขาจึงมีร่างกายที่แข็งแรง ยามเมื่อเผชิญกับนางกำนัลที่องค์หญิงส่งมาให้ซึ่งมีฐานะต่ำต้อยกว่าสัตว์ป่า เขาก็มิได้ออมแรงนัก สามารถดื่มด่ำได้เต็มที่
กว่าครึ่งเดือนแล้วที่ล้วนแต่มีนางกำนัลหน้าตางดงาม แรกเริ่มยังคงมีความลุ่มหลงความแปลกใหม่ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปกลับรู้สึกว่าไม่สนุกเอาเสียเลย เมื่อไปหาโอวหยางเถา นางก็มิได้โกรธ เพียงแค่ไม่ยินยอมให้แตะเนื้อต้องตัว ไม่ถึงครึ่งปี องค์ชายรองก็เป็นผู้เบื่อหน่ายวันคืนเช่นนี้เสียเอง มอบนางกำนัลให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา แล้วเอาแต่กอดเกี่ยวชายาอ๋องเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
วันนั้นเอง โอวหยาวเถาได้มอบหมวกที่ทำขึ้นจากหนังจิ้งจอกให้แก่เขา องค์ชายรองเบิกบานใจเป็นอย่างมาก รู้สึกแต่เพียงว่าเถาจื่อของตนนั้นดีที่สุดแล้ว พวกพี่น้องเหล่านั้นก็เป็นเพียงองุ่นเปรี้ยว เขาจะไม่หลงกลของพวกเขาเหล่านั้นอีก
แต่ชูสยาจวิ้นจู่ที่กำลังพาบรรดาหวังโฮ่วเล่นไพ่กันอยู่ คนที่ต่อคิวไม่ทัน ก็ยืนดูไพ่อยู่รอบข้าง บางครั้งบางคราวยังลอบแอบบอกไพ่ให้นางด้วย ชูสยาจวิ้นจู่ชนะไปได้เป็นกองขนาดย่อม ส่วนสามคนที่เหลือพ่ายแพ้เสียจนใบหน้าหม่นหมอง เข้าทะเลาะเบาะแว้งกับบรรดาคนที่ดูไพ่
เมื่อองค์ชายใหญ่เดินมาถึง เห็นสภาพการณ์อึกทึกคึกโครมเช่นนี้ ทว่ากลับไม่มีใครสนใจจะมองมาที่เขา
เขาหลั่งน้ำตาอยู่เงียบๆ
บรรดาหวังโฮ่วตำหนักอื่นล้วนเอาใจล้อมหน้าล้อมหลังท่านอ๋อง เหตุใดหวังโฮ่วตำหนักตนจึงเอาแต่ล้อมหน้าล้อมหลังต้าหวังโฮ่วกันเล่า
องค์ชายใหญ่ผ่านวันคืนเหล่านั้นมาาอย่างยากลำบาก ส่งเสียงกระแอมในลำคอขึ้นหนึ่งที ด้วยอยากเตือนคนในกระโจมว่าตนมาถึงแล้ว
ใครจะรู้ว่าบรรดาหวังโฮ่วเพียงมองมาที่หน้าประตูแวบเดียว ขณะเดียวกันก็แสดงสีหน้าตื่นเต้น หนึ่งในนั้นอดไม่ไหวเอ่ยขึ้น “ประเดี๋ยวก็ถึงตาข้าเล่นแล้ว ท่านอ๋อง หากท่านอยากเล่น ก็มาต่อหลังข้าก็แล้วกัน”
อีกสองคนที่กำลังดูไพ่เช่นกันก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินดี “ไม่ได้สิ อย่างนั้นมิใช่แซงข้าหรอกหรือ”
ในที่สุดองค์ชายใหญ่หน้าดำคร่ำเครียด “พอแล้ว พวกเจ้าออกไปให้หมด!”
หากพยัคฆ์ไม่คำราม พวกนางคงมองว่าเขาเป็นแมวป่วยกระมัง แต่ละคนกำเริบเสิบสานยิ่งนัก
หวังโฮ่วหลายคนตกตะลึงในทันที กรูกันมองไปยังชูสยาจวิ้นจู่
ชูสยาจวิ้นจู่โบกไม่โบกมือ “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด หากยังอยากเล่นอีก วันหน้าค่อยมาก็ได้ ข้ายังรู้วิธีการเล่นอีกหลายแบบเชียวละ”
หวังโฮ่วเหล่านั้นถึงได้ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก
สามคนที่เล่นแพ้ไพ่เสียจนอารมณ์ไม่ดีนัก อีกสามคนที่รอคอยที่จะได้เล่นอารมณ์เสียยิ่งกว่า เมื่อมองเห็นแขกไม่ได้รับเชิญที่หน้าประตูก็รู้สึกไม่ถูกชะตายิ่งนัก
หวังโฮ่วที่อยู่ด้านหน้าติดตามองค์ชายใหญ่มานานที่สุด เมื่อเดินไปอยู่ต่อหน้าเข้าแล้วจึงหยุดฝีเท้า ส่งสายตาเย็นชาพลางเอ่ย “ท่านอ๋องเพคะ สองสามวันนี้ หม่อมฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก คงรับใช้ท่านไม่ได้ ท่านไปหาบรรดาน้องหญิงเหล่านั้นเถิดเพคะ”
องค์ชายใหญ่มิได้ตอบอะไร รอจนกระทั่งได้ฟังเหตุผลเดียวกันถึงห้าครั้ง ในที่สุดก็พลันโกรธขึ้ง เอ่ยกับหวังโฮ่วคนสุดท้ายว่า “เจ้าก็ไม่สบายงั้นหรือ ถอดกางเกงลงให้ข้าดูบัดเดี๋ยวนี้”
หวังโฮ่วคนสุดท้ายแต่งเข้ามาหลังจากแต่งงานกับชูสยาจวิ้นจู่ได้สองสามปี นางยังเยาว์วัยเป็นที่สุด เมื่อได้ยินองค์ชายใหญ่กล่าวเช่นนี้ จึงค่อนข้างตื่นตระหนก รีบร้อนส่ายศีรษะ
“เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะไปหาเจ้า” องค์ชายใหญ่ที่พอจะรักษาหน้าเอาไว้ได้เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“ตายจริง ไม่ได้เพคะ” หวังโฮ่วน้อยกัดริมฝีปาก เอ่ยอ้างประโยคหนึ่งขึ้นว่า “ข้า ม้าที่ข้าเลี้ยงนั้นไม่ค่อยสบาย ข้าต้องไปดูหน่อยแล้ว” เมื่อเอ่ยจบ ก็มิกล้ามองหน้าองค์ชายใหญ่ วิ่งผลุนผลันออกไปทันที
องค์ชายใหญ่ยืนอยู่กับที่ ราวกับก้อนหินก็ไม่ปาน เนิ่นนานกว่าที่เขาจะได้สติจากเสียงหัวเราะดังราวกับเสียงกระดิ่งของชูสยาจวิ้นจู่ สาวเท้ายังไปข้างกายนาง มิได้เอ่ยคำใดออกมา โอบกอดนางเอาไว้ ขยี้จูบลงไปอย่างรุนแรง
ชูสยาจวิ้นจู่ดิ้นรนสุดชีวิต ทั้งยังเหยียบเท้าองค์ชายใหญ่อย่างแรง
องค์ชายใหญ่จึงได้ปล่อยตัวนาง เอ่ยอย่างจนใจ “ชูสยา เหตุใดเจ้าจึงได้เอาแต่ใจถึงเพียงนี้ ตอนนี้ข้าเป็นถึงท่านอ๋องแห่งหมานเหว่ย ไม่อาจจากที่นี่ไปยังต้าโจวได้โดยง่าย เจ้าเป็นต้าหวังโฮ่ว จะไปคนเดียวได้อย่างไร”
“ใครว่าข้าไปคนเดียว ข้าพาโอวหยางเถาอีกไปด้วย”
องค์ชายใหญ่ลูบจมูกตนเองเบาๆ ทอดถอนหายใจให้แก่น้องชายที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน
ชูสยาจวิ้นจู่สีหน้าแข็งกระด้างทันที “ท่านยังกล้าพูดเช่นนี้อยู่อีกหรือ ปีนั้นบอกว่าจะพาข้าไป สุดท้ายพอข้าตั้งครรภ์ หลังจากนั้นสองปีกว่าจะเป็นอิสระ ท่านก็ทำให้ข้าตั้งครรภ์อีกครั้ง ผ่านไปอีกสองปี ท่านขึ้นเป็นอ๋อง หลังจากนั้นก็บอกข้าว่าอ๋องแห่งหมานเหว่ยเข้าเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีใครรังแกข้าได้เท่ากับท่านอีกแล้ว ท่านคิดเอาเองเถิด นานเพียงใดแล้วที่ข้าไม่ได้กลับไปที่นั่น ข้าไม่ปรารถนาว่าชาตินี้จะไม่ได้พบเจอกับท่านพ่อท่านแม่หรือสหายข้าอีกนะ หากท่านไม่รับปาก ก็อย่าได้มาหาข้าอีก”
นางยิ่งเอ่ยยิ่งน้อยใจ ขอบตาแดงก่ำไปหมด
องค์ชายใหญ่ที่ได้เห็นแล้วรู้สึกปวดใจยิ่งนัก สุดท้ายจึงยอมใจอ่อน “ได้ๆ ข้ารับปากเจ้าก็ได้”
“เช่นนั้น ต่อจากนี้สองปีข้าจะกลับไปหนึ่งครั้ง” ชูสยาจวิ้นจู่ถือโอกาสนี้ได้คืบจะเอาศอก
“ได้” ชายาคนอื่นๆ ล้วนแต่ถูกชูสยาจวิ้นจู่จูงจมูกไปกันหมด องค์ชายใหญ่ที่ถูกหลอกเสียจนหน้าแดงจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับชะตากรรม
——
[1] ลูกพลัม
[2] แอปปริคอต