“เวลาคือนิรันดร์ พื้นที่ว่างเป็นตัวชี้วัด โลกถูกแบ่งเป็นหยินและหยาง และครอบครองห้าธาตุ
ทองส่งเสริมน้ำ น้ำส่งเสริมไม้ ไม้ส่งเสริมไฟ ไฟส่งเสริมดิน ดินส่งเสริมทอง
ทองข่มไม้ ไม้ข่มดิน ดินข่มน้ำ น้ำข่มไฟ ไฟข่มทอง
ทองเจอกับหยินนำไปสู่ความแข็งแกร่ง นั่นคือแรงกระตุ้น ทองเจอกับหยางรวมเป็นฟ้าร้อง นั่นคือแรงดึงดูด
ไม้เจอกับหยินเป็นการให้กำเนิดพลัง นั่นคือวิญญาณ ไม้เจอกับหยางขับไล่ความชั่วร้าย นั่นคือการฝ่าอุปสรรค
น้ำเจอกับหยินควบรวมเป็นการตกผลึก นั่นคือความผิดปกติ น้ำเจอกับหยางเป็นการยกเมฆสูงขึ้น นั่นคือจินตนาการ
ไฟเจอกับหยินรวบรวมเป็นจิตวิญญาณ นั่นคือยมโลก ไฟเจอกับหยางคือสิ่งที่หยุดยั้งไม่ได้ นั่นคือสวรรค์
ดินเจอกับหยินคือสิ่งที่ไม่สิ้นสุด นั่นคือความสงบ ดินเจอกับหยางคือความแข็งแกร่ง นั่นไม่สามารถทำลายได้”
เมื่อนางเปิดบันทึกไทหยวน นั่นคือสิ่งที่เขียนไว้ในบทนำ กล่าวถึงความเป็นอยู่ของแหล่งกำเนิดและต้นกำเนิดความโกลาหลแรกเริ่ม จุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์ โลกโกลาหลไปจนถึงจุดเริ่มต้นของยุคกำเนิดโลก การแยกของสวรรค์และโลก การซ่อนของพระอาทิตย์และพระจันทร์ การเปลี่ยนแปลงของสี่ฤดู สมดุลของโลก และเวลากลายเป็นสิ่งที่มั่นคง บันทึกไทหยวนนี้วนเวียนอยู่กับ “สมดุลที่มั่นคง”
เมื่อนางเปิดศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด นางสังเกตว่าคำอธิบายในบทนำนั้นได้ถูกแทนที่ ขณะที่โม่เทียนเกอศึกษาไปทีละบรรทัด นางก็ต้องถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ สำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเช่นนาง การเป็นเทพเจ้าผู้ฝึกตนนั่นเทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตบนสวรรค์ จงมู่หลิงไม่ได้มีร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ แต่เพียงแค่ตรวจสอบวิธีที่พลังวิญญาณไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของโม่เทียนเกอ เขาก็เขียนศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดในรูปแบบที่เหมือนกับว่าโม่เทียนเกอเป็นคนสร้างมันขึ้นมาได้ ทุกส่วนเล็กส่วนน้อยนั้นสอดคล้องกับวิธีที่พลังวิญญาณไหลเวียนในร่างของโม่เทียนเกอ นางเพียงแค่ต้องอ่านเพื่อให้รู้แจ้งเท่านั้น
หลังจากจำเนื้อหาได้ทั้งหมดแล้ว นางก็พยายามฝึกตนอยู่ที่กระท่อม
นางนั่งขัดสมาธิ เริ่มจากการเคลื่อนพลังวิญญาณของนางรอบวงโคจรจุลจักรวาลและชี้นำมันอย่างช้าๆ ไปตามเส้นลมปราณของนาง พลังวิญญาณของนางได้เปลี่ยนเป็นพลังแห่งหยิน และในตอนนี้นางเพียงแค่เคลื่อนมันไปตามเส้นลมปราณของนางตามหลักที่เขียนไว้ในศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด
พลังวิญญาณของนางวนบรรจบครบวงโคจรและกลับสู่ตานเถียนของนาง ทันใดนั้นมีบางสิ่งบางอย่างถูกกระตุ้นจากการกระทำนั้น นางรู้สึกได้ทันทีว่าเส้นลมปราณของนางหดตัวและรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย
พลังวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนั้นเข้มข้นมาก ในทันทีทันใดมันก็เหมือนกับพลังวิญญาณมหาศาลพุ่งเข้าสู่ตานเถียนของนาง ในเมื่อโม่เทียนเกอรู้ว่านี่เป็นสิ่งปกติ นางจึงค่อยๆ ชี้นำพลังวิญญาณนั้นไปที่เส้นลมปราณของนาง สอดผสานมันเข้ากับพลังวิญญาณของนาง
ใต้ต้นไม้นอกกระท่อม จงมู่หลิงและหยวนเป่านั่งอยู่ตรงข้ามกันกำลังเล่นหมากรุกและพูดคุยกันอย่างเกียจคร้าน
หลังจากที่เขามองจงมู่หลิงที่คอยหันไปจ้องมองทางกระท่อม หยวนเป่าหยอกเขา “นี่เจ้าจะเป็นอย่างนี้หรือ พวกเราทั้งสองอยู่ที่นี่ ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นจริง เจ้ายังกังวลว่าพวกเราจะช่วยนางไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
จงมู่หลิงยู่ปากและพูด “ปัญหาอะไรที่จะเกิดขึ้น ข้าสร้างวิชาการฝึกตนนี้ตามกฏแห่งการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ นางสามารถฝึกตนกับมันได้จนถึงดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่โดยไร้ซึ่งปัญหา”
“งั้นเจ้าจะมัวมองอะไร” หยวนเป่าวางหมากบนกระดานพร้อมพูดอย่างระมัดระวัง “เด็กหญิงคนนี้ดูเหมือนจะมีความเข้าใจที่ดี ข้าคิดว่าเจ้าควรปล่อยให้นางโตโดยที่ไม่ต้องเข้าไปยุ่งอะไร ถ้านางยังคงไม่สามารถเข้าใจได้ถึงวิชาการฝึกตนหลังจากที่เจ้าให้นางไป เจ้าก็ไม่ควรที่จะต้องคาดหวังอะไรกับนางอีก”
ข้อเสนอแนะที่ชั่วร้ายนี้ต้องเจอกับการที่จงมู่หลิงถลึงตาใส่ เขาพูด “นางเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง เจ้าคิดว่านางจะมีความเข้าใจได้เหมือนกับพวกเราเชียวหรือ”
“ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” หยวนเป่าพูดอย่างไม่ละอายใจ “ข้าจะไม่พูดเกี่ยวกับตัวข้าเอง แต่ก่อนที่เจ้าจะก่อแก่นขุมพลัง เจ้าก็ไม่มีคนช่วยไม่ใช่หรือ นางเป็นถึงศิษย์ระดับหัวกะทิของโรงเรียนชั้นนำ และนางก็มีผู้อาวุโสในฝ่ายคอยดูแล ถ้านั่นยังไม่พอแล้วนางจะคุ้มค่าให้ฝึกหรือ การทำให้สำเร็จผลไม่สามารถสำเร็จได้โดยการพึ่งเพียงแค่ผู้อาวุโส ทุนทางธรรมชาติและนิสัยของผู้นั้นก็ต้องไม่ขาดตกบกพร่องเช่นกัน หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะติดอยู่ในคอขวดในช่วงผ่านเข้าสู่แต่ละดินแดน อา… ข้าก็เคยประสบกับความทรมานแบบนี้มาก่อน” เมื่อเขาพูดจบ น้ำเสียงของเขาก็ดูจริงใจขึ้น
ด้วยการหวังพึ่งกับต้นทุนทางธรรมชาติที่ดี เขาฝึกตนจนถึงระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเขาใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพเจ้า ถึงแม้ว่าต้นทุนธรรมชาติของโม่เทียนเกอจะไม่ได้แย่นัก ร่างกายพลังหยินบริสุทธิ์ของนางจำกัดรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด อีกอย่างนางเองก็ไม่ได้เก่งเช่นจงมู่หลิงหรือหยวนเป่า ดังนั้นคาดว่าในอนาคตนางจะต้องเผชิญกับบททดสอบที่ทรหดทีเดียว
จงมู่หลิงได้ยินคำพูดของหยวนเป่า ก็ได้แต่เงียบนิ่งเฉย
ทั้งสองคนเล่นหมากรุกกันต่อไปในความเงียบงันครู่หนึ่งก่อนที่หยวนเป่าจะพูดขึ้นอีกครั้ง “หลายวันแล้วที่พวกเรามาที่ขั้วแห่งท้องฟ้านี้ พวกเรากลับไปที่อวิ๋นจงและสำรวจดูรอบๆ ไหม”
“โอ้…” จงมู่หลิงพึมพำอยู่กับตัวเองครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาจึงพูด “อย่างนั้นก็ได้ ถ้ามันไม่มีปัญหาอะไรกับวิชาการฝึกตนของเด็กคนนี้ พวกเราค่อยกลับไปอวิ๋นจงหลังจากที่เสร็จจากที่นี่แล้ว พวกเราจะได้ไปหาตาแก่ฮันเฉวียนตอนที่พวกเราอยู่ที่นั่นด้วย”
หยวนเป่าหัวเราเสียงแหลมเมื่อได้ยินชื่อนั้น เขาพูด “ความคิดดี! นกฟินิกซ์ของเขากำลังจะสละขนพอดี พวกเราไปจะได้หาผลประโยชน์บ้าง!”
“ฮึ่ม! เจ้าคนเดียวนะที่อยากจะหาผลประโยชน์ ตกลงไหม ขนของเจ้านกนั้นไร้ประโยชน์สำหรับข้า”
“อั๊ย… เจ้านี่เลิกขวานผ่าซากได้ไหม! อะไรที่เป็นของข้าก็เป็นของเจ้า อะไรที่เป็นของเจ้าก็เป็นของข้า พวกเรารู้จักกันมานาน จำเป็นต้องแบ่งของแต่ละคนกันอีกหรือ”
“ไปซะ!” จงมู่หลิงจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจและพูดว่า “มีสิ่งใดที่เจ้าใช้แล้วไม่ใช่ของข้าบ้างเล่า เจ้าก็แค่พ่นออกมาอย่างไม่จริงใจ คำหวานไร้สาระ!”
“โอ้ ถ้าเจ้าไม่ชอบ ข้าจะไม่พูดคำหวานไร้สาระอีกต่อไป ในอนาคต ข้าจะใช้แต่สิ่งของของเจ้า”
“เจ้า…” เพียงโบกมือ แผ่นผนึกทรงสี่เหลี่ยมก็ปรากฏขึ้นอยู่บนมือของจงมู่หลิง ในพริบตาแผ่นผนึกก็ขยายขนาดเท่ากับภูเขาเล็กๆ และพุ่งตรงหาหยวนเป่า
ร่างหยวนเป่าหายตัวไปและไปโผล่อีกครั้งห่างออกไปถึงหนึ่งจั้งร้อยจากจุดเดิม “ตู้ม!” ด้วยเสียงอันดัง สวนสมุนไพรใกล้ๆ สลายกลายเป็นผุยผง ในขณะที่หยวนเป่าไร้ซึ่งความบาดเจ็บ
“เจ้ารู้ไหม…” หยวนเป่าแค่ต้องการพูด แต่จงมู่หลิงทำท่ากวักมือเรียก แผ่นผนึกทรงสี่เหลี่ยมลอยกลับไปที่มือของเขา หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยมันให้พุ่งเข้าหาหยวนเป่าอีกครั้ง
ด้วยความตกใจ หยวนเป่ารีบคลำไปรอบๆ เอวของเขา เกราะป้องกันสี่เหลี่ยมเล็กๆ ปรากฏขึ้นในมือเขา มันถูกลมพัดไปและขยายใหญ่ขึ้น จนป้องกันแผ่นผนึกสี่เหลี่ยมของจงมู่หลิงได้ทั้งหมด
“เจ้ารู้ไหม…” ในระหว่างการต่อสู้ด้วยพลังวิญญาณกับจงมู่หลิง หยวนเป่าพยายามอย่างมากที่จะพูด “เจ้าไม่กลัวว่าการผันผวนของพลังวิญญาณนี้จะใหญ่ไปอย่างนั้นหรือ… การฝึกตนของเด็กคนนั้นจะถูกรบกวนได้… และนางอาจจะถูกครอบงำด้วยมารร้ายได้ไม่ใช่หรือ”
จงมู่หลิงตกใจและรีบเรียกแผ่นผนึกสี่เหลี่ยมก่อนที่เขาจะหายไปจากสายตา
“เฮ้อ…” หยวนเป่าถอนใจ แล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง “เจ้าเด็กคนนี้… ระดับการฝึกตนของเขาพัฒนาเร็วเกินไป ข้าจำเป็นต้องใช้พลังบางส่วนไปถ้าข้าต้องการที่จะชนะเขาในตอนนี้ เขาจะเหนือกว่าข้าไม่ช้าก็เร็ว…” น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายอย่างที่สุด ปราศจากซึ่งความยากลำบากที่เขาแสดงให้เห็นตอนที่ต่อสู้กับจงมู่หลิงอย่างสิ้นเชิง ในทางกลับกัน ระดับการฝึกตนของเขาก็สูงกว่าจงมู่หลิงมากนัก
ในขณะนั้นจงมู่หลิงอยู่ในกระท่อม ขมวดคิ้วราวกับว่าเขาปวดหัวอย่างรุนแรง บนเสื่อสวดมนต์ โม่เทียนเกอนั่งตัวเอียง ไร้ซึ่งสติ
ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังตัวเล็กๆ อย่างนางจะอดทนต่อแรงกดดันของพลังวิญญาณเมื่อทั้งสองเทพผู้ฝึกตนกำลังต่อสู้กันได้อย่างไร หากร่างกายนางไม่ได้ครองพลังแห่งหยินบริสุทธิ์ กระบวนการฝึกตนทั้งหมดของนางคงไร้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม สถานะของนางนั้นไปไกลเกินกว่าคำว่าดีแล้ว ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของนางจะไม่ได้รับผลกระทบ ภายใต้อิทธิพลพลังวิญญาณของพวกเขา นางได้ขาดการควบคุมเหนือพลังวิญญาณของนาง ตอนนี้เส้นลมปราณของนางทุกเส้นถูกทำลาย และตานเถียนของนางก็เสียหายอย่างหนัก
“นี่เป็นปัญหาแล้ว…” จงมู่หลิงครุ่นคิดครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงพูด “คิดซะว่าเจ้าโชคดี ตอนนี้ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากช่วยเจ้ารื้อฟื้นตานเถียนและแก้ไขเส้นลมปราณของเจ้า ข้าอาจจะต้องใช้ผลไม้ห้าวิญญาณเพื่อเปลี่ยนกล้ามเนื้อและชำระล้างไขกระดูกของเจ้าออก”
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าผลไม้ห้าวิญญาณคืออะไร มันคือพืชวิญญาณที่โตในช่วงต้นกำเนิดโลก หนึ่งต้นถูกแบ่งออกเป็นห้าธาตุ และผลไม้ห้าลูกรวมเป็นลูกเดียว ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าผลไม้ห้าวิญญาณ ใช้เวลาหมื่นปีในการแตกหน่อ หมื่นปีในการแตกกิ่งก้านสาขา หมื่นปีในการโตเป็นต้นไม้ หมื่นปีในการเบ่งบาน และอีกหมื่นปีในการออกผล รวมทั้งหมดห้าหมื่นปีที่ต้องใช้ในการที่จะได้ผลไม้หนึ่งลูก มันถูกพิจารณาว่าเป็นของที่หายากมากแม้กระทั่งในอดีตอันไกลโพ้นก็ตาม
โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเลียนแบบพลังวิญญาณเช่นเดียวกับทรัพยากรธรรมชาติจากยุคสมัยอันไกลโพ้น เมื่อเขาครอบครองโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ มันมีผลไม้ชนิดนี้สองต้นโตอยู่ภายใน ตอนนี้ต้นหนึ่งผลไม้โตเต็มที่แล้ว
เมื่อนึงถึงสิ่งนี้ จงมู่หลิงก็รู้สึกปวดใจอยู่ภายใน ผลไม้นี้ยังไม่ทันจะผ่านมือเขาได้นานเลย แต่มันก็จะต้องเอาไปให้กับคนอื่นเสียนี่! ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้าทึ่มนั่น!
น่าเสียดายที่เจ้าทึ่มนั่นส่งเสียงเอะอะเข้ามาในหูของเขาอีกครั้งและพูดว่า “อาหลิง มีใครบางคนเข้ามาที่ม่านพลังมายานภา!”
—
เว่ยจยาซือลืมตาด้วยความสับสน ภาพฉากแรกยังคงติดอยู่ในจิตใจนาง สัตว์ปีศาจห้าตัวจู่โจมนางในครั้งเดียวพร้อมกัน ในขณะที่ธงวิญญาณน้ำของนางถูกพังลง และนางมีเครื่องมือวิญญาณเหลือไม่กี่ชิ้น นางคิดว่านางกำลังจะตาย แต่ก็ไม่ ตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่ด้านหน้านางเลยนอกเหนือไปจากต้นไม้ที่ไร้จุดสิ้นสุดซึ่งดูเหมือนกำลังเคลื่อนที่ถอยหลัง
เคลื่อนที่ถอยหลังอย่างนั้นหรือ ด้วยความตกใจ นางยกหัวของนางขึ้น ครั้นทำเช่นนั้นนางก็ต้องตะลึงงัน เวลาผ่านไปนานก่อนที่จะพบว่านางสามารถเปล่งเสียงออกมาได้ “ท่านอาจารย์… ท่านอาจารย์ลุง…”
ฉินซีพยักหน้า เมื่อเห็นว่านางฟื้นแล้ว เขาจึงหยุดและวางนางลงจากที่อุ้มอยู่
ครู่หนึ่ง เว่ยจยาซือไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกเช่นไร มีเพียงแค่ความคิดเดียวในจิตใจของนาง ท่านอาจารย์ลุง! ท่านอาจารย์ลุงมาช่วยข้าไว้!
“ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่รอง!”
เว่ยจยาซือรีบปรับท่าทางของนาง นางหันไปรอบๆ และเห็นหลัวเฟิงเสวี่ยกำลังเข้ามาหาจากที่หนึ่งซึ่งไม่ไกลมาก
เมื่อเห็นเว่ยจยาซือไม่ได้รับบาดเจ็บ หลัวเฟิงเสวี่ยก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก นางพูด “ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม! ดีจริงๆ! ศิษย์พี่รอง ข้ากลัวแทบตาย! พวกเราโชคดีที่ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ!”
เว่ยจยาซือไม่ทันได้มีโอกาสที่จะตอบกลับเพราะฉินซีพูดอย่างแผ่วเบา “ตามนี้นะ เฟิงเสวี่ยข้าจะส่งพวกเจ้าสองคนกลับไปก่อน”
“หา!” หลัวเฟิงเสวี่ยตะลึงทันทีแต่นางก็รีบพูด “แต่เทียนเกอหายไป…”
ฉินซีขมวดคิ้ว “หืม”
หลัวเฟิงเสวี่ยอธิบาย “ความจริงแล้วตอนแรกพวกเราอยู่กับเทียนเกอ แต่ข้าเริ่มคุยกับศิษย์พี่รองและเทียนเกอช่วยพวกเราสำรวจพื้นที่ สุดท้ายแล้ว สัตว์ปีศาจเหล่านั้นก็เข้ามา ศิษย์พี่รองบอกให้ข้าตามหาเทียนเกอและหนีกลับไปก่อน แต่ข้าหานางไม่เจอ”
ฉินซีนึกย้อนไปเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณ หลัวเฟิงเสวี่ยตะโกน “เทียนเกอ” เมื่อคิดได้ครู่หนึ่ง เขาก็โบกมือส่งผลให้เมฆลอยได้ปรากฏออกมาอยู่ใต้เท้าพวกเขา เขาพูดว่า “ในอนาคตต่อไป เจ้าจะต้องไม่สะเพร่าเช่นนี้! มา ข้าจะพาเจ้ากลับไปก่อน”
“แล้วเทียนเกอเล่า” หลัวเฟิงเสวี่ยถามด้วยความกังวล ที่นี่คือป่า หากเทียนเกอถูกทิ้งไว้คนเดียวที่นี่อาจจะ…
ฉินซีพูด “ข้ามีแผนสำหรับนางแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
“โอ้ ตกลง…” หลัวเฟิงเสวี่ยตอบด้วยความประหลาดใจ ท่านอาจารย์ลุงมักจะคอยดูแลเทียนเกอเสมอ เขาจะไม่ทอดทิ้งนางใช่ไหม
เมฆบินได้พาพวกเขาบินไปที่ผาลั่วเยี่ยน ความเร็วอาวุธเวทบินได้ของผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังนั้นยิ่งกว่าคำว่าเร็วเสียอีก เพียงครู่เดียวพวกเขาก็มาถึงที่ผาลั่วเยี่ยน
เมื่อมาส่งเว่ยจยาซือและหลัวเฟิงเสวี่ยแล้ว ฉินซีก็กล่าว “พวกเจ้าสองคนกลับไปก่อน เฟิงเสวี่ยรายงานกับอาจารย์ของเจ้า บอกท่านว่าข้าไม่เป็นอะไรและข้าจะกลับมาเมื่อเจอเทียนเกอ”
“ท่านอาจารย์ลุง ท่านจะตามหาเทียนเกอหรือ” หลัวเฟิงเสวี่ยกังวลพร้อมพูดขณะที่ก้าวเข้าไปหาเขา
ฉินซียิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้วในตอนนี้ เจ้าเพียงแค่ต้องกลับไปและรายงานให้อาจารย์ของเจ้าทราบ”
“แต่…”
หลัวเฟิงเสวี่ยยังไม่ทันจะพูดในสิ่งที่ต้องการจบ เพราะฉินซีได้ขึ้นเมฆบินได้และเหาะออกไป สุดท้ายแล้วนางก็ทำได้เพียงแค่ถอนใจ นางเป็นห่วงเทียนเกอแต่การที่อาจารย์ลุงคนที่เพิ่งจะกลับมาจะต้องออกไปตามหาเทียนเกอก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ว่าไหม?
“ศิษย์พี่รอง?” เมื่อเห็นว่าเว่ยจยาซือเงียบ หลัวเฟิงเสวี่ยจึงเรียกออกไปอย่างระมัดระวัง
เว่ยจยาซือมองที่หลัวเฟิงเสวี่ย ส่ายหัวพร้อมพูดว่า “ข้าไม่เป็นอะไร”
ดูเหมือนว่าเว่ยจยาซือจะมีอะไรอยู่ในใจมากมาย ดังนั้นหลัวเฟิงเสวี่ยจึงไม่ค่อยเชื่อนางเท่าไร หลัวเฟิงเสวี่ยพูดอย่างเคร่งเครียด “ศิษย์พี่รอง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ท่านต้องไม่เดินไปในทางที่ผิดอีก”
ด้วยรอยยิ้มเบาๆ เว่ยจยาซือพูด “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไร อย่าได้กังวลไปเลย” หลังจากที่นางพูดเช่นนี้นางจึงหันกลับและเดินเข้าไปในกระโจมใหญ่
หลัวเฟิงเสวี่ยครุ่นคิดบางอย่างและตัดสินใจที่จะตามนางเข้าไป นางตะโกน “ศิษย์พี่รอง รอข้าด้วย!”