ตอนที่ 115 ร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณ

ลำนำสตรียอดเซียน

ฉินซีดูสภาพรอบตัวเขาด้วยความระมัดระวัง ทุกที่ที่เขามองไปเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่ซัดขึ้นลงราวกับพายุที่จับตัวกัน เกิดเป็นคลื่นพุ่งขึ้นสูงไปบนท้องฟ้า เขายืนอยู่เหนือมหาสมุทรประดุจแหนที่อยู่ท่ามกลางกระแสน้ำแรง ยังคงถูกซัดสาดด้วยพลังวิญญาณบ้าคลั่งอย่างต่อเนื่อง รู้สึกปวดไปทั่วสรรพางค์กาย

 

 

ด้วยว่าแม้แต่ตะเกียงวัดใจของเขายังไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติอะไรได้ เขาจึงรู้ว่าสิ่งนี้ต้องเป็นม่านพลังระดับสูงมากและผู้ครอบครองมันต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่เป็นอย่างน้อยแน่นอน อย่างไรก็ตาม เขายังรู้อีกว่าผู้ครอบครองสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาสู้กับสัตว์ปีศาจระดับเจ็ด ในระหว่างการต่อสู้นั้น แม้ว่าเขาจะสามารถตัดหัวสัตว์ปีศาจตัวนั้นได้หลังจากลงแรงไปมากมาย แต่ตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บ และเขาเดินเข้ามาสู่ม่านพลังนี้โดยบังเอิญ

 

 

ในช่วงเวลาหลายวันที่เขาติดอยู่ที่นี่ ผู้ครอบครองที่นี่ไม่ได้ทำอะไรกับเขา ม่านพลังนี้เป็นเพียงม่านพลังดักจับ ไม่ใช่ม่านพลังพิฆาต เขาจึงเพียงสงบจิตสงบใจและฟื้นตัวอยู่ในที่แห่งนี้ เมื่อบาดแผลของเขาหาย บางทีอาจจะเพราะผู้ครอบครองรู้สึกเบื่อ หรือบางทีอาจจะเพราะพวกเขาคิดว่าเขาค่อนข้างต้องตาต้องใจ พวกเขาจึงเปิดม่านพลังและยอมปล่อยให้เขาออกไปได้

 

 

อย่างไรก็ตาม ผู้ครอบครองที่นี่นั้นไม่มีเจตนาร้ายกับเขาเมื่อเขาเข้ามาในม่านพลังนี้โดยบังเอิญ แต่ตอนนี้ที่เขาตั้งใจพรวดพราดเข้ามาในนี้ บางทีม่านพลังดักจับนี้อาจจะเปลี่ยนเป็นม่านพลังพิฆาตก็เป็นได้

 

 

เมื่อฉินซีกำลังพยายามคิดหาแผนการ สายฟ้าฟาดลงมาจากเบื้องบน ร่างของฉินซีขยับหนีไปหนึ่งร้อยจั้งทันที เหงื่อเย็นๆ ไหลทั่วร่างพอเขาหันกลับไปมอง

 

 

จุดที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้กลายเป็นมหาสมุทรที่ขยายออกไปซึ่งปะทะเข้ากับฟ้าผ่า เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องทำให้สวรรค์และโลกต้องสั่นสะเทือน

 

 

แขนเสื้อเขาส่วนหนึ่งถูกเผาไหม้จนเกรียม

 

 

เป็นดังคาด ม่านพลังนี้ได้กลายเป็นม่านพลังพิฆาตไปเสียแล้ว

 

 

ครั้งสุดท้ายที่เขาอยู่ข้างใน ม่านพลังนี้เพียงแค่ปรากฏออกมาเป็นม่านพลังมายาหรือไม่ก็ม่านพลังที่ทำให้สับสนเท่านั้น และไม่ได้ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่แท้จริงต่อตัวเขา ทว่า ณ ตอนนี้ หากเขาขยับช้าไปเพียงแค่หนึ่งวินาที ชะตาของเขาคงจะขาดเช่นเดียวกับแขนเสื้อของเขาเป็นแน่

 

 

หลังจากใช้เวลาคิดพักหนึ่ง ในที่สุดฉินซีก็หลับตาลงและปล่อยจิตสัมผัสออกไป

 

 

ทั่วทุกที่เป็นมหาสมุทร… ฉินซีถอนหายใจด้วยความผิดหวัง เขาหรี่ตาลง แน่นอนว่าเขาไม่สามารถทำลายม่านพลังนี้ด้วยความสามารถปัจจุบันได้แน่ คนเช่นไรกันที่เป็นผู้ครอบครองที่แห่งนี้ เขาเคยเห็นม่านพลังของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่มาบ้าง และเขายังเคยทำลายกำแพงอาคมของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ด้วยการใช้ตะเกียงวัดใจด้วยซ้ำ หากเขาต้องเผชิญหน้ากับผู้เยี่ยมยุทธจากดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ เขาอาจไม่มีความสามารถที่จะตอบโต้ กระนั้นอย่างน้อยเขาก็ยังพอทำอะไรได้บ้าง เขาไม่เคยถูกย่ำยีเช่นนี้มาก่อน มันรู้สึกราวกับว่าเขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะหนีได้เลย

 

 

เขาถอนหายใจแผ่วเบาอีก แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาหลับตาลงอีกครั้งและบีบอัดพลังวิญญาณของเขา เรียกกระบี่อัคนีสามพลังหยางจากภายในตานเถียนออกมา คมมีดของมันปกคลุมไปด้วยไฟโหมร้อนแรงและแสงสีทองระยับ

 

 

กระบี่อัคนีสามพลังหยางนี้เป็นอาวุธวิเศษโดยกำเนิดของเขา ย้อนไปตอนนั้นในการผจญภัยครั้งแรกของเขา เขาบังเอิญได้รับคู่มือวิชาการฝึกตนและวิธีที่จะขัดเกลากระบี่เล่มนี้มา ซึ่งเดิมทั้งสองมาเป็นชุดคู่กัน เมื่อเห็นว่าการรวมกันของทั้งสองสิ่งนั้นก่อให้เกิดพลังที่สุดยอด และเนื่องจากมันยังเข้ากันได้ดีกับรากวิญญาณของเขา เขาจึงเลือกมันเป็นอาวุธวิเศษโดยกำเนิด หลังจากสร้างขุมพลังของตัวเองได้ เขาต้องผ่านความยากลำบากมากมายและในที่สุดก็สามารถขัดเกลากระบี่นี้โดยใช้ไฟธาตุทองแท้ การรังสรรค์กระบี่นี้ถึงขนาดกระตุ้นให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ขณะที่เกิดขึ้นนั้น การก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจก็ได้เกิดขึ้นในปีนั้นเช่นเดียวกัน ฉินซีที่ต้องอาศัยกระบี่เล่มนี้และเพิ่งเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังจึงได้กลายเป็นคนมีชื่อเสียงโดดเด่นไปทั่วทั้งคุนอู๋ตะวันตก ความจริงแล้วเขารู้สึกว่าถ้ามีพลังวิญญาณอยู่มากพอ เขาอาจจะมีพลังสู้กับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ด้วยกระบี่เล่มนี้เลยยังได้

 

 

บัดนี้เมื่อต้องติดอยู่ในม่านพลัง เขารู้สึกได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามของผู้ครอบครองสถานที่นี้ ในตอนนี้ระดับการฝึกตนของเขาอยู่แค่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดังนั้นเขาจึงต้องหวังพึ่งกระบี่อัคนีสามพลังหยางเล่มนี้เท่านั้นเพื่อให้รอดไปได้

 

 

แสงวาบผ่านท้องฟ้าไปอีกครั้งหนึ่ง แต่ฉินซียังคงนิ่ง กระบี่อัคนีสามพลังหยางลอยอยู่กลางอากาศ ด้วยแรงหนุนจากพลังวิญญาณของเขา แสงระยิบระยับรอบๆ กระบี่ยิ่งสว่างขึ้น

 

 

ในที่สุดฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมา เขายกมือขึ้นทำให้กระบี่อัคนีสามพลังหยางเคลื่อนไปในอากาศและชนปะทะเข้ากับสายฟ้าฟาดอย่างจัง คมมีดของมันสั่นสะท้านแต่ยังสามารถยืนหยัดได้อยู่

 

 

ขณะมองภาพเบื้องหน้า ฉินซีทำท่ามุทรา กระบี่อัคนีสามพลังหยางเริ่มจะซึมซับสายฟ้าเข้ามา มันคงที่อยู่และไม่ขยับเขยื้อนขณะที่สายฟ้าอ่อนกำลังลงอย่างช้าๆ สิ่งหนึ่งสว่างและอีกสิ่งหนึ่งมืดมิด ความรุนแรงของไฟจากคมมีดของกระบี่อัคนีสามพลังหยางยิ่งรุนแรงขึ้นและสายฟ้าก็ค่อยๆ มอดดับไป

 

 

เมื่อสายฟ้าหายลับไปในที่สุด กระบี่อัคนีสามพลังหยางก็เหมือนกับดวงอาทิตย์อันร้อนแรงสาดส่องแผดเผา สว่างมากเสียจนไม่สามารถมองใกล้ๆ ได้ ฉินซีทำท่ามุทราอีกครั้ง แรงเคลื่อนไหวที่น่ากลัวทะยานสูงขึ้นในทันใดเกือบจะตัดแยกท้องฟ้าออกเป็นรูกว้าง

 

 

ในไม่ช้า สีผิวของฉินซีค่อยๆ เปลี่ยนเป็นซีดเผือด พลังวิญญาณของเขาดูเหมือนไม่สามารถจะทนอยู่ได้นาน แต่เขาไม่อาจหยุดได้

 

 

ธาตุทองส่งเสริมสายฟ้าในขณะที่ธาตุไฟข่มสายฟ้า กระบี่อัคนีสามพลังหยางของเขาบังเอิญมีร่างธาตุทองและรูปลักษณ์ธาตุไฟ ดังนั้นตอนแรกเขาจึงใช้ธาตุไฟเพื่อสู้กับสายฟ้าฟาดจากนั้นใช้ธาตุทองเพื่อช่วยเขาในการดูดพลังของมันมา พลังของสายฟ้าไม่ใช่พลังของเขาแต่แรก เพราะอย่างนั้นเขาจึงแทบจะไม่สามารถควบคุมมันได้เลย ถ้าเขาหยุดตอนนี้เขาจะต้องถูกมันโจมตีแน่ ตอนนี้วิชากายาพิสุทธิ์ของเขายังไม่สมบูรณ์ ถ้าเขาถูกสายฟ้าจากสวรรค์ที่น่าสะพรึงเช่นนั้นเล่นงานเข้าล่ะก็ แม้แต่โครงกระดูกของเขาก็จะไม่มีเหลือ!

 

 

“อาฮะ เจ้าเด็กคนนี้ใช้ได้เลย เขามีความสง่างามแบบเดียวกับที่ข้ามีสมัยก่อน!” ขณะนั้นเอง หยวนเป่ากำลังพูดพึมพำกับตัวเองอยู่ในภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน “ไม่เลว เขาเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่เขากล้าที่จะสู้กับม่านพลังมายานภาโดยใช้หลักการของการส่งเสริมและข่มระหว่างธาตุทั้งห้า เยี่ยม! ในเมื่อเจ้าน่ามองขนาดนี้ ข้าก็จะเล่นกับเจ้าเอง!”

 

 

จากนั้นหยวนเป่าสะบัดแขนเสื้อ ก่อให้เกิดรอยแตกของมิติตรงหน้าซึ่งเขาโผเข้าไปทันที

 

 

ขณะเดียวกัน จงมู่หลิงกำลังช่วยโม่เทียนเกอให้ลุกขึ้นนั่ง นางนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ เขาวางฝ่ามือข้างหนึ่งบนหัวนางขณะที่เอากล่องหยกขนาดเล็กออกมาด้วยมืออีกข้าง

 

 

ฝ่ามือของจงมู่หลิงปล่อยพลังวิญญาณบริสุทธิ์อย่างหาที่เปรียบมิได้ พลังวิญญาณนี้ไม่ใช่หยินหรือหยาง มันประกอบไปด้วยธาตุทั้งห้าแต่ก็ไม่ใช่พลังวิญญาณผสม ดูเหมือนจะเป็นพลังวิญญาณประเภทใหม่ที่ทั้งบริสุทธิ์และอ่อนโยนโดยสิ้นเชิง มันเข้าสู่เส้นลมปราณและตานเถียนของโม่เทียนเกอได้อย่างง่ายดาย ค่อยๆ หลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว

 

 

ภายใต้การบำรุงด้วยพลังวิญญาณของเขา โม่เทียนเกอดูเหมือนจะฟื้นกำลังวังชาของนางกลับมาได้อย่างเร็ว ใบหน้าซีดเผือดของนางค่อยๆ กลับมาเป็นสีเลือดฝาดตามเดิม เมื่อเห็นว่านางกำลังฟื้นตัว จงมู่หลิงโบกมืออีกข้างของเขา กล่องหยกจึงเปิดออก ภายในกล่องคือกิ่งไม้เขียวขจีพร้อมผลไม้ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ติดอยู่กับกิ่งนั้น

 

 

ว่ากันว่าเมื่อโสมอายุถึงหนึ่งพันปี จะสามารถเปลี่ยนเป็นรูปร่างมนุษย์ได้ทันทีและกลายเป็นโสมร่างเด็ก อันที่จริงพืชของเซียนสามารถเปลี่ยนเป็นรูปร่างมนุษย์ได้ ในโลกแห่งการฝึกตน โสมเป็นเพียงพืชธรรมดาที่มีพลังวิญญาณของเซียน มีพืชวิญญาณมากมายที่มีพลังวิญญาณมากกว่าโสม ทว่าโสมเป็นสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับพืชเซียนที่สุด จึงสามารถเติบโตไปเป็นรูปร่างมนุษย์ได้

 

 

ผลไม้ห้าวิญญาณคือผลไม้ของเซียน ทุกวันนี้พวกผลไม้ของเซียนประเภทนี้ไม่สามารถพบได้ในหมู่มนุษย์อีกแล้ว พวกมันคงอยู่ได้แต่ในพื้นที่ที่ลอกเลียนแบบมาจากความโกลาหลแรกเริ่มเท่านั้นอย่างโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ถึงอย่างนั้นก็ตาม โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนที่เป็นที่รู้จักไม่ได้มีมากนัก และในหมู่โลกเหล่านั้น มีแค่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนใบนี้ที่มีผลไม้ห้าวิญญาณ

 

 

จงมู่หลิงเสกผลไม้ห้าวิญญาณให้ลอยอยู่กลางอากาศ ครั้นนึกได้ว่าผ่านมาหลายวันแล้วตั้งแต่เขาเก็บผลไม้นี้มา ความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา แต่แล้วใบหน้าเขาก็กลับไปสงบนิ่งอีกครั้งในทันที เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับเทพ ดังนั้นเขาจึงควบคุมอารมณ์ได้ดีมานานแล้ว แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้เขาขุ่นเคือง แต่เขาก็สามารถข่มความรู้สึกนั้นไว้ได้ในชั่วพริบตา

 

 

ผลไม้ห้าวิญญาณถูกยกขึ้นมาด้วยพลังวิญญาณของเขา เมื่อถูกปกคลุมไปด้วยพลังวิญญาณบริสุทธิ์นั้น มันค่อยละลายอย่างช้าๆ และกลายเป็นสสารโปร่งใส เขายกสสารนั้นขึ้นมาช้าๆ จากนั้นค่อยๆ ป้อนเข้าใส่ปากโม่เทียนเกอ

 

 

สารสกัดของผลไม้ห้าวิญญาณเข้าสู่ร่างกายนางและไหลไปตามเส้นลมปราณทำให้ทุกส่วนที่มันไหลผ่านได้ฟื้นคืนชีวิตใหม่ จากนั้นมันไหลเข้าสู่ตานเถียนของนาง ฟื้นฟูตานเถียนส่วนที่เสียหายทีละนิดทีละนิด จนท้ายที่สุดมันก็ละลายโดยสมบูรณ์และหลอมรวมเข้ากับตานเถียนของนาง

 

 

หลังจากเวลาผ่านไปนาน ในที่สุดจงมู่หลิงเอามือลงและพูดอย่างอ่อนโยน “ร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณไม่สามารถถูกพลังวิญญาณของมารรุกรานเข้ามาได้ ร่างกายพลังหยินบริสุทธิ์ของเจ้า เช่นเดียวกับเส้นลมปราณของเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยผลไม้ห้าวิญญาณ เจ้าจะไม่ถูกมารเข้าสิงนับจากนี้เป็นต้นไป นอกเหนือจากมารภายในจิตใจในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดน ถือเสียว่านี่เป็นการทำหน้าที่ของข้าในฐานะบรรพบุรุษของเจ้าแล้วกัน”

 

 

โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงไร ทว่าในที่สุดนางก็ตื่นขึ้น นางมีความฝันที่แปลกประหลาดมาก ในฝัน นางเหมือนจะได้กลับไปสู่จุดเริ่มต้นของความโกลาหลแรกเริ่ม ยุคที่โลกเพิ่งก่อเกิดขึ้น มีพลังวิญญาณหนาแน่นรายล้อมตัวนาง นางซึมซับพลังวิญญาณนั้นด้วยความโลภและกลืนกินพืชวิญญาณแต่ละอย่างที่นางเจอ ทั้งเส้นลมปราณและตานเถียนของนางโตขึ้นและพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว และระดับการฝึกตนของนางก็ก้าวหน้าไปด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง…

 

 

ยามที่นางได้สติกลับคืน ถึงรู้ว่าด้านหน้านางมีรอยเลือดอยู่ อ้อใช่! นางกำลังฝึกตนอยู่เมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกถึงแรงกดดันของพลังวิญญาณอย่างแรง แรงกดดันของพลังวิญญาณนี้ทำให้นางไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ในวินาทีต่อมานางก็สูญเสียการควบคุมพลังวิญญาณของนางและมันคลุ้มคลั่งอยู่ภายในเส้นลมปราณของนาง

 

 

นางรู้สึกกลัวและพยายามจะหยุดการฝึกตน แต่แรงกดดันของพลังวิญญาณนั้นยังคงกดนางไว้ ทั้งร่างของนางเจ็บปวดมากจนในที่สุดนางก็หมดสติไป

 

 

โม่เทียนเกอรู้ว่าสิ่งที่นางเจอคือ “การถูกมารเข้าครอบงำ” ที่ว่ากัน นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงง ท่านอาจารย์เสวียนอินบอกว่าสืบเนื่องจากร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ของนาง การปะทะกันของหยินและหยางจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นโอกาสที่นางจะถูกมารเข้าครอบงำจึงน้อยมาก แล้วแรงกดดันของพลังวิญญาณนั้นคืออะไรกัน มันทำให้นางไร้ความสามารถที่จะต่อต้านและสูญเสียการควบคุมพลังวิญญาณของนางไปจนหมดสิ้นได้อย่างไร

 

 

อย่างไรก็ดี นางจำเรื่องที่สำคัญกว่าได้ขึ้นมาในทันที ข้าถูกมารเข้าสิง แล้วระดับการฝึกตนของข้าล่ะ นางรีบนั่งขัดสมาธิและทดสอบพลังวิญญาณภายในร่างกายนาง ในวินาทีต่อมา นางก็ถึงกับตกตะลึง ไม่เพียงแต่การฝึกตนของนางจะไม่เสียหาย แต่ระดับการฝึกตนของนางยังก้าวหน้าไปถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังอีกด้วย!

 

 

หลังจากช่วงเวลาแห่งความตกใจ บัดนี้โม่เทียนเกอรู้สึกดีใจเป็นที่สุด เป็นเวลาน้อยกว่าหนึ่งปีตั้งแต่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง อย่าว่าแต่การก้าวหน้าเข้าสู่ขั้นกลางเลย ก่อนหน้านี้ระดับการฝึกตนของนางยังติดขัดและไม่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาแม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำไป แม้แต่การเติบโตของพลังวิญญาณของนางก็ช้ามากเสียจนแทบจะไม่สามารถสัมผัสได้ แต่อย่างไรก็ตาม จู่ๆ นางก็ก้าวหน้าไปถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังอย่างนั้นหรือ? นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินที่เข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเมื่อเขาอายุสี่สิบปีนั้นก็จัดว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว แต่การก้าวเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังในเวลาแค่ครึ่งปีนี่มันช่างเกินกว่าจะจินตนาการได้!

 

 

“เจ้าตื่นแล้วรึ”

 

 

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูนาง เป็นเสียงของจงมู่หลิงที่พูดกับนางโดยใช้จิตสัมผัสของเขา พอรู้ว่าการพัฒนาไปถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังต้องเป็นฝีมือของท่านบรรพบุรุษท่านนี้แน่ โม่เทียนเกอก็รู้สึกซาบซึ้งต่อเขาอย่างมาก นางตอบด้วยความเคารพ “เจ้าค่ะ ท่านบรรพบุรุษ”

 

 

“อือ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“ข้าน้อยได้เข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วเจ้าค่ะ” ถึงแม้ว่านางจะสงวนท่าทีที่ดูสงบนิ่ง แต่โม่เทียนเกอยังคงรู้สึกสุขใจอยู่ข้างใน

 

 

จงมู่หลิงแค่นเสียงอย่างดูถูกเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้ถามเรื่องนั้น ลองรู้สึกถึงเส้นลมปราณและตานเถียนของเจ้าดู”

 

 

โม่เทียนเกอประหลาดใจ แต่ไม่ช้าก็ทำตามคำสั่งของจงมู่หลิง นางหลับตาลงและโคจรพลังวิญญาณของนาง เส้นลมปราณ… ก่อนหน้านี้นางยังไม่ได้สนใจมัน แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่าเส้นลมปราณของนางดูเหมือนจะมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น ไม่ว่าพลังวิญญาณของนางจะกระแทกเข้าไปเท่าไร มันก็ไม่กระทบกระเทือนเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่านางจะโคจรพลังวิญญาณอย่างไร เส้นลมปราณของนางก็สามารถรองรับได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตานเถียนของนางดูเหมือนว่า… มันสามารถรับปริมาณพลังวิญญาณได้ไม่จำกัด

 

 

“ผลไม้ห้าวิญญาณ ฮึ่ม!” ถึงแม้ว่าจงมู่หลิงจะยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่เขาก็พูดกับนางอย่างสงบนิ่งว่า “ข้าประมาทเอง ข้าลืมว่าเจ้ากำลังฝึกตนอยู่และห้ามถูกรบกวน ข้าทำให้เจ้าต้องถูกมารเข้าสิง ข้าจึงใช้ผลไม้ห้าวิญญาณช่วยเจ้าสร้างเส้นลมปราณขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนกล้ามเนื้อและชำระล้างไขกระดูกของเจ้า ในอนาคตเจ้าจะไม่ถูกมารเข้าสิงอีก แน่นอนว่าไม่รวมกับมารภายในจิตใจที่เจ้าจะต้องเจอเมื่อบรรลุผ่านดินแดนหรอกนะ”

 

 

จะไม่ถูกมารเข้าสิงอีกเช่นนั้นหรือ เมื่อโม่เทียนเกอเรียกสติปัญญากลับมาได้ นางก็ยิ่งดีใจกว่าเดิม นี่เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าการก้าวเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้เสียอีก ไม่ต้องถูกมารเข้าสิง… หมายความว่าตอนนี้ข้าสามารถฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณได้โดยไร้กังวลแล้วไม่ใช่หรือ

 

 

“สำหรับความเมตตาที่ท่านบรรพบุรุษมอบให้ ข้าน้อยไม่รู้จะตอบแทนได้อย่างไร…”

 

 

จงมู่หลิงพูดอย่างเฉยเมย “ข้ากลายเป็นเทพเรียบร้อยแล้ว ตัวตนที่แทบจะเหมือนพระเจ้าในโลกมนุษย์ ข้าจะขอให้ตอบแทนอย่างนั้นรึ เจ้าเป็นผู้สืบสกุลของข้า เพราะฉะนั้นข้าต้องยินดีที่จะดูแลเจ้าเป็นธรรมดา”

 

 

“เจ้าค่ะ ข้าน้อยเองที่พูดมากไป ข้าน้อย… จะฝึกตนอย่างขยันขันแข็งและจะไม่ทำให้ท่านบรรพบุรุษต้องผิดหวัง”

 

 

“อืม” จงมู่หลิงตอบสั้นๆ ก่อนจะพูดต่อ “มีอีกเรื่องที่ข้าต้องการพูดกับเจ้า ตอนที่เจ้าถูกมารเข้าสิง เด็กหนุ่มแซ่ฉินคนนั้นได้ฝ่าเข้ามาในม่านพลังมายานภา บอกว่าเขามาเพื่อตามหาเจ้า พอเห็นว่าเขาค่อนข้างกล้าหาญ ข้าจึงปล่อยให้เขาอยู่ต่อ เจ้าอยากจะเจอเขาหรือไม่”