เทพผู้ฝึกตน!
ฉินซีจ้องมองไปยังชายสองคนด้านหน้าเขา ความประหลาดใจของเขามีมากเกินกว่าการระมัดระวัง ถึงแม้ว่าเขาจะเคยได้ยินจากท่านอาจารย์ของเขาว่าเทพผู้ฝึกตนนั้นมีอยู่บนโลกนี้ คนเหล่านั้นก็ได้เก็บตัวเงียบเป็นเวลานานแล้ว เกือบจะหนึ่งพันปีแล้วตั้งแต่ที่มีคนเคยพบเจอพวกเขาสักคนหนึ่ง เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอทั้งสองคนในคราวเดียว!
จงมู่หลิงเงยหน้ามองฉินซี เขาพูดด้วยตาที่หรี่ลง “ไอ้หนู หลายวันก่อนข้าอารมณ์ดีและปล่อยเจ้าไป วันนี้เจ้ากลับเข้ามาที่ม่านพลังทำไมอีก”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น ฉินซีก็รีบตั้งสติดึงตัวเองออกจากภาวะงุนงง เขาคารวะชายทั้งสองพร้อมพูดว่า “ท่านพี่โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย ข้าน้อยไม่เจตนาจะรีบเข้ามาที่ม่านพลัง ข้าน้อยมาเพื่อตามหาใครบางคน”
“ตามหาใครบางคน?” หยวนเป่าพินิจพิเคราะห์ชุดคลุมที่ฉินซีสวมใส่อยู่และถาม “เจ้ากำลังตามหาใคร”
ฉินซีตอบด้วยความเคารพ “ข้าน้อยเป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนซิง มาตามหาสหายศิษย์ด้วยกัน ในเมื่อข้าน้อยเข้ามาที่ม่านพลังนี้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ข้าน้อยหวังว่าท่านจะให้อภัย”
หยวนเป่าและจงมู่หลิงหันมองหน้ากันเอง ทั้งคู่ต่างเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเห็นว่าชายผู้นี้กล้าเสี่ยงชีวิตรีบเร่งเข้ามาในม่านพลังเพื่อสหายของเขาและในเมื่อเขาแสดงให้เห็นถึงความเคารพที่มีให้โดยที่ไม่มีแม้แต่เจตนาจะประจบประแจงพวกเขา จงมู่หลิงก็ค่อนข้างประทับใจชายผู้นี้ เขาปรับน้ำเสียงให้ดูอ่อนโยนขึ้น “มีคนที่อยู่ที่นี่กับข้า แต่ข้าไม่รู้ว่าใช่คนที่เจ้าตามหาอยู่หรือไม่ เจ้าจงบอกชื่อมาก่อน”
ฉินซีได้ยินเช่นนั้น ก็รู้ทันทีว่าโม่เทียนเกอจะต้องอยู่ที่นี่ เพราะเขารู้สึกได้ว่าท่านพี่ทั้งสองคนนี้ค่อนข้างเป็นมิตร เขาจึงพูดเข้าประเด็นในทันที “คนที่ข้าน้อยกำลังตามหาชื่อว่าโม่เทียนเกอ ไม่ทราบว่าเป็นคนเดียวกับที่ท่านพี่ทั้งสองรู้จักหรือไม่”
มุมปากจงมู่หลิงยกขึ้นเล็กน้อย เขามองที่ฉินซีด้วยท่าทางครุ่นคิดและพูด “เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับนางถึงยอมที่จะเผชิญกับอันตรายที่ใหญ่หลวงเพียงเพื่อช่วยนาง”
ฉินซีตอบ “ในฝ่ายของพวกเรา ข้าน้อยคือผู้อาวุโสของนาง ย่อมต้องเสียสละและพยายามช่วยนางเป็นแน่แท้”
“เช่นนั้นหรือ” จงมู่หลิงชำเลืองมองดูที่เขาและโบกมือ กระบี่สีทองลอยข้ามมาตกที่มือของเขา เขาพูด
“กระบี่อัคนีสามพลังหยาง… ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่ขัดเกลามันในที่สุด”
ฉินซีสะดุ้งตกใจ ก่อนเอ่ยถาม “ท่านพี่รู้จักกระบี่นี้หรือขอรับ”
จงมู่หลิงทำเสียงฮึดฮัดพร้อมโบกมือ โยนกระบี่อัคนีสามพลังหยางคืนให้ฉินซี “ข้าเคยเห็นมันในบันทึกการฝึกตนมาก่อน เจ้านี่โชคดีอย่างคาดไม่ถึงทีเดียวที่เจ้าได้ครอบครองอาวุธวิเศษในยุคอดีตอันไกลโพ้นเช่นนี้”
ข้างกายเขา หยวนเป่าหัวเราะเบาๆ พร้อมพูด “อาหลิง เมื่อเทียบกับลูกประคำวิญญาณพลังหยางในร่างกายของเขาแล้ว กระบี่อัคนีสามพลังหยางนี้ด้อยไปเลย แหม ลูกประคำวิญญาณพลังหยาง… ข้าไม่รู้เลยว่าเด็กคนนี้มีโชคแบบไหนเขาถึงได้ครอบครองสมบัติที่มีค่ามหาศาลเช่นนี้ หากข้ามีลูกประคำวิญญาณพลังหยาง คงไม่ติดอยู่ในจุดเริ่มต้นของดินแดนแห่งเทพเจ้านานนัก!” ยามที่พูด เขาก็ยังคงเหลือบมองไปทางฉินซีอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าเจตนาที่หยวนเป่าจ้องมองฉินซีนั้นทำให้เขาขนลุก แต่ฉินซีรู้ว่าเขาไม่มีค่าอะไรนอกจากเป็นเพียงแค่มดต่อเทพผู้ฝึกตนเท่านั้น ไม่ว่าพวกเขาต้องการที่จะทำอะไร เขาไม่สามารถต่อต้านได้ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน ดังนั้นเขาจึงรีบสงบลง
“ท่านพี่ช่างสายตาเฉียบคมยิ่งนัก ในร่างกายข้าน้อยมีลูกประคำวิญญาณพลังหยางอยู่จริง ข้าน้อยได้ครอบครองมันเมื่อหลายปีก่อน ภายหลังจากที่ผ่านมาหลายปี ข้าน้อยเพิ่งจะสามารถควบรวมเข้ากับร่างกายและใช้มันได้ขอรับ”
ความสงบนิ่งของฉินซีทำให้หยวนเป่าประหลาดใจ ผู้ซึ่งหลังจากนั้นหันไปทางจงมู่หลิงและพูดด้วยเสียงหัวเราะ “อาหลิง เขามีจิตใจที่แข็งแกร่งเทียบได้กับเจ้าทีเดียว”
จงมู่หลิงพูดอย่างแผ่วเบา “อย่าคิดว่าทุกคนจะต้องเหมือนกับเจ้าสิ”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะเบา แต่คำพูดที่ดูถูกของเขานั้นชัดเจน หยวนเป่ารับรู้ได้ถึงสิ่งนั้นและรีบตะโกนออกมา “นี่เจ้าหมายความว่าอะไร”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้น” จงมู่หลิงพูดด้วยท่าทางที่สุขุมเยือกเย็น โดยที่ไม่รอการตอบโต้กลับของหยวนเป่า เขาหันกลับไปทางฉินซีและพูดว่า “น้องชาย ด้วยความเคารพที่มีต่อกระบี่อัคนีสามพลังหยาง ข้าจะให้เจ้าได้พบกับคนที่เจ้ากำลังตามหาหากเจ้าออกไปจากม่านพลังนี้”
ฉินซีไม่ทันได้มีโอกาสตอบ หลังจากที่เขาพูดจบ จงมู่หลิงโบกมือของเขาในทันทีและหายตัวไปพร้อมกับหยวนเป่า
ฉินซีได้แต่จ้องมองธารน้ำแข็งที่อยู่เบื้องหน้าของเขา เขาขมวดคิ้วติดกันแน่น เขาต้องการที่จะถอนหายใจ แต่เขาก็จับที่หน้าอกและกระอักเลือดออกมาในทันที
—
เมื่อโม่เทียนเกอเปิดประตูเข้ามามองเห็นชายผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น นางก็ต้องงุนงง
“ศิษย์พี่ฉิน!”
นางไม่รู้ว่าจงมู่หลิงผู้ที่กำลังให้ความสนใจต่อทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในกระท่อมกำลังขมวดคิ้ว หลังจากช่วงเวลาแห่งการตกตะลึง นางก็รีบเดินเข้าไปหาฉินซี
จากที่จงมู่หลิงพูด นางเข้าใจว่าคนที่มาตามหานางคือท่านอาจารย์โส่วจิ้ง ในขณะนั้น นางก็คิดว่านางจะได้เจอกับท่านอาจารย์โส่วจิ้งที่มีชื่อเสียงผู้ซึ่งนางไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่นางก็ต้องประหลาดใจ แท้จริงแล้วคือศิษย์พี่ฉินนี่เอง!
เมื่อเห็นฉินซี นางทั้งรู้สึกโล่งใจและเป็นกังวล นางโล่งใจเพราะตอนนี้ฉินซีอยู่ตรงหน้านางและไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต นางรู้สึกเป็นกังวลเพราะตอนนี้เขาไม่ขยับตัว ใบหน้าเขาซีดเผือด ดวงตาปิด มือเท้าเย็นชืด ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงนาง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาบาดเจ็บสาหัส
โม่เทียนเกอจับมือของเขาไว้ เมื่อรู้ว่ามือของเขานั้นเย็นแค่ไหน นางก็รีบเรียก “ท่านบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่! เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่ฉินหรือเจ้าคะ”
หลังจากความเงียบครู่หนึ่ง เสียงของจงมู่หลิงก็ตอบมา “พลังงานเริ่มต้นของเด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บในม่านพลังมายานภา เจ้าไม่ต้องกังวลไป รากวิญญาณธาตุทองกับธาตุไฟของเขานั้นมีพลังแห่งหยาง เมื่อรวมกับลูกประคำวิญญาณพลังหยางภายในร่างกายของเขาแล้ว น้ำแข็งและหิมะไม่สามารถทำร้ายเขาได้ ตอนนี้กล้ามเนื้อและเส้นเลือดของเขาถูกแช่แข็งไว้ เขาจะตื่นขึ้นมาเองในอีกไม่ช้า”
“โอ้…” เมื่อได้รับการรับรองจากจงมู่หลิง โม่เทียนเกอก็ถอนใจอย่างโล่งอกในที่สุด พอเห็นฉินซีไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว โม่เทียนเกอก็ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจนั่งข้างๆ เขา
คิ้วของฉินซีตอนนี้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง โม่เทียนเกอเดาว่าน่าจะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากม่านพลังน้ำแข็งทำลาย คล้ายกับม่านพลังทะเลทรายทำลายที่นางเผชิญ แต่ทำไมศิษย์พี่ฉินถึงอยู่ที่นี่?
“ท่านบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่!” นางเรียกอีกครั้ง
“อื้อ”
“ท่านสามารถช่วยศิษย์พี่ฉินได้หรือไม่เจ้าคะ”
จงมู่หลิงหยุดไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดอย่างหงุดหงิด “ช่างมีปัญหาเสียจริง! เขาจะไม่เป็นอะไรหลังจากที่เขาปรับลมหายใจของเขาระยะหนึ่ง!”
“แต่…”
“เงียบ! เจ้านี่เสียงดัง! เจ้าก็เพียงแค่นั่งอยู่เงียบๆ ก็พอ”
“โอ้…” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจงมู่หลิงไม่ได้เต็มใจนัก โม่เทียนเกอจึงไม่กล้าที่จะถามต่อและเพียงแค่ยืนขึ้นอย่างเงียบๆ ด้านข้างคอยมองมาที่ฉินซี
หลายวันที่ผ่านมา นางได้รับโอกาสมากมายที่ทำให้นางลืมเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกไปชั่วคราว ตอนนี้เมื่อนางเจอฉินซี นางก็ได้แต่เพียงสงสัยอย่างช่วยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่นางจะหลุดเข้ามาในม่านพลัง เกิดอะไรขึ้นกับหลัวเฟิงเสวี่ย ผู้ที่กำลังคุยอยู่กับศิษย์พี่รองเว่ย? หลัวเฟิงเสวี่ยจะสามารถโน้มน้าวศิษย์พี่รองเว่ยได้หรือไม่ พวกเขาจะทำอย่างไรถ้าโน้มน้าวศิษย์พี่รองไม่สำเร็จ พวกเขาจะเป็นอะไรไหม
เปลือกตาฉินซีขยับเล็กน้อยก่อนเขาจะลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ สิ่งแรกที่เขาเห็นคือใบหน้าที่มีความสุขกำลังยิ้มให้เขา
“ศิษย์พี่ฉิน ในที่สุดท่านก็ฟื้น”
ฉินซีหลับตาลงอีกครั้ง หลังจากที่ลมหายใจของเขาค่อยๆ สงบนิ่ง เขาจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เทียนเกอ เจ้าเป็นอะไรไหม”
หัวใจโม่เทียนเกอสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งแรกที่ฉินซีพูดหลังจากฟื้นขึ้นมาคือการถามถึงนาง อย่างไรก็ตามด้วยท่าทางปกติของนาง นางยิ้มและตอบ “ข้าไม่เป็นอะไร แล้วท่านล่ะ”
“ข้าก็ไม่เป็นอะไร ข้าเพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อย ข้าคงดีขึ้นหลังจากที่ได้พักฟื้นหลังจากที่เรากลับไป”
ในขณะที่เขามองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉินซีพยายามยืนขึ้นพร้อมพูด “ที่นี่คือ…” ในสถานที่ที่พลังงานทางจิตวิญญาณนั้นเข้มข้น นี่เป็นสถานที่แบบไหนกัน ถ้ำเซียนของเขาตั้งอยู่ในจุดที่พลังงานทางจิตวิญญาณเข้มข้นที่สุดในภูเขาไท่กังและมันก็ครบครันในทุกสิ่งด้วยม่านรวมพลังวิญญาณระดับสูง แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับสถานที่แห่งนี้แม้แต่น้อย
“พวกเราอยู่ที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน”
“โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน?” ฉินซีขมวดคิ้วในขณะที่ครุ่นคิดว่าเขาเคยได้ยินคำนี้จากที่ไหนมาก่อน
โม่เทียนเกอจึงรีบพูด “ศิษย์พี่ฉิน ท่านอย่าคิดมากเลย ที่แห่งนี้เป็นถ้ำเซียนของศิษย์พี่หยวนเป่าและบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งข้า มันจะไม่มีปัญหากับพวกเราอย่างแน่นอน”
“บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่”
“ถูกต้องแล้ว” โม่เทียนเกอพยักหน้าและอธิบายต่อ “ข้าเองก็ตกใจเช่นกันตอนที่ข้ารู้เรื่องนี้ ท่านบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของข้าคือแซ่จง และชื่อของท่านคือมูหลิง ท่านยังเป็นผู้ครอบครองที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน”
“…” เป็นเจ้าของที่แห่งนี้… นั่นหมายถึง เทพสองคนนั้น? เมื่อเขานึกมาถึงจุดนี้ สายตาฉินซีล้วนเต็มไปด้วยความประหลาดใจและสับสน “บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่” นั่นหมายถึง ปู่ของปู่นางหรือ แต่ช่วงชีวิตของผู้ฝึกตนนั้นยาวนาน พวกเขาน่าจะมีผู้สืบทอดหลายชั่วอายุคน แล้ว “บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่” ก็มักจะถูกใช้โดยผู้สืบทอดที่มีสายเลือดเดียวกันโดยตรงเพื่อกล่าวถึงบรรพบุรุษผู้ที่ไม่ได้มีตำแหน่งที่แน่ชัดในชั้นวงศ์ตระกูล นั่นหมายความว่าหนึ่งในท่านเทพสองคนนั้นมีสายเลือดที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับโม่เทียนเกอเช่นนั้นหรือ
ทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในจิตใจของเขา ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขารู้สึกอารมณ์เสียทันที ขณะที่เขากำลังจัดลำดับความคิดที่สับสน โม่เทียนเกอพูด “ข้าจะบอกท่านเกี่ยวกับรายละเอียดหลังจากที่เรากลับไป ศิษย์พี่ฉินท่านไม่เป็นไรจริงๆ แล้วอย่างนั้นหรือ”
ฉินซีพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร อย่าได้กังวลไป ข้าเพียงแค่ต้องปรับลมหายใจสักระยะหนึ่งและบาดแผลของข้าก็จะไม่เป็นอะไร เจ้าต่างหากที่น่าเป็นกังวล เจ้าได้รับบาดเจ็บอะไรไหม”
โม่เทียนเกอหัวเราะพร้อมพูดว่า “ไม่เพียงแต่ข้าไม่บาดเจ็บ แต่ข้ายังได้ครอบครองผลประโยชน์ตั้งหลายอย่าง”
“หืม?”
โม่เทียนเกอปล่อยกำลังของนางในขณะที่จ้องมองฉินซีด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นนางจึงถาม “ศิษย์พี่ฉิน ข้ามีอะไรที่แตกต่างไปบ้าง”
ฉินซีตะลึงงันเมื่อเขาสัมผัสถึงกำลังของนาง เขาพูด “นี่เจ้าเข้าสู่ระดับกลางแล้วอย่างนั้นหรือ”
“อื้อ” โม่เทียนเกอพยักหน้าอย่างรื่นเริง นางยังไม่พร้อมที่จะบอกคนอื่นเกี่ยวกับผลไม้ห้าวิญญาณแต่การที่ได้ครอบครองศาสตร์แห่งต้นกำเนิดและเข้าสู่ระดับกลาง มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปกปิดได้ถ้านางกลับไปถึงโรงเรียนเสวียนชิง ดังนั้นมันคงจะดีกว่าที่จะพูดถึงมันอย่างตรงไปตรงมา
นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานน้อยกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาแต่นางสามารถก้าวเข้าสู่ระดับกลางได้แล้วตอนนี้… แม้ด้วยโอกาสในชะตาลิขิตของเขาเอง ฉินซียังคงตกตะลึงในความโชคดีของโม่เทียนเกอ อย่างไรก็ตามเมื่อเขานึงถึงเทพผู้ฝึกตนทั้งสองคน เขาก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เขาจึงยิ้มและพูด
“การที่เข้าสู่ระดับกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานด้วยอายุของเจ้าในตอนนี้… เจ้าอาจจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ในโรงเรียนเสวียนชิงคนแรก อืม ถ้าเจ้าขยันหมั่นเพียร อาจจะเป็นไปได้สำหรับเจ้าที่จะก่อแก่นขุมพลังภายในอีกร้อยปี”
“ข้าไม่กล้าที่จะมั่นใจขนาดนั้นว่าข้าจะสามารถก่อแก่นขุมพลังได้ แต่ข้าจะถือว่าคำพูดของท่านคือคำอวยพรแล้วกัน หวังว่ามันจะเป็นจริง” แล้วนางก็นึกถึงสิ่งหนึ่งออกจึงพูด “จริงสิ! ศิษย์พี่ฉิน ท่าน… ท่านมาตามหาข้าหรือ”
“อื้อ” ฉินซีพยักหน้าและพูดต่อ “ข้าได้ยินว่าเจ้าหายไปแถวๆ นี้ ข้าก็เลยมาตรวจสอบดู”
“จริงหรือ ศิษย์พี่ฉิน ท่านไม่ได้หายตัวไปพร้อมกับท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอย่างนั้นหรือ แล้วท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งล่ะ”
ฉินซีนิ่งเงียบแต่ไม่นานก็พูดออกมา “พวกเราไม่เป็นอะไร พวกเราเป็นห่วงเจ้ามากกว่า เจ้าบอกว่าที่นี่คือถ้ำเซียนของบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของเจ้าใช่ไหม เจ้าหมายถึงหนึ่งในท่านพี่ทั้งสองหรือ”
โม่เทียนเกอพยักหน้าและพูดเชิงขอโทษ “ศิษย์พี่ฉิน ข้าขอโทษท่านด้วย หากข้ารู้เร็วกว่านี้ ท่านก็คงไม่บาดเจ็บ…”
“อย่ากังวลไปเลย” ฉินซีส่ายหัวและพูดต่อว่า “อาการบาดเจ็บของข้าไม่ได้รุนแรงเลย เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอก ว่าแต่ แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ ในเมื่อบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของเจ้าเป็นเทพผู้ฝึกตน นี่เจ้า… บางทีเจ้าอาจจะอยู่ที่นี่เลยใช่หรือไม่”
โม่เทียนเกอส่ายหัวและพูด “ไม่แน่นอนอยู่แล้ว ศิษย์พี่ฉิน ท่านเพิ่งฟื้น ทำไมท่านไม่ปรับลมหายใจของท่านต่ออีกครู่หนึ่งก่อน อย่างไรก็ตาม บางเรื่องจำเป็นต้องใช้เวลาในการพูดคุยกัน หลังจากหลายวันผ่านไป พวกเราค่อยออกไปจากที่นี่และข้าจะค่อยๆ เล่าให้ท่านฟัง”
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ หัวใจของฉินซีก็คงที่ เขายิ้มและพูด “ตกลง สถานที่นี้เต็มไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณ ดังนั้นพวกเราก็ไม่ควรที่จะทิ้งให้เสียของ พวกเราค่อยคุยกันหลังจากกลับไปแล้วกัน”
“อือ ท่านควรที่จะพักฟื้นต่อ ข้าจะไม่กวนท่านแล้ว”
เมื่อโม่เทียนเกอออกจากกระท่อมไป ฉินซีก็ล้มลงบนเสื่อสวดมนต์ เขาไม่ทันได้มีเวลาที่จะถอนหายใจเพราะทันใดนั้น พายุก็โหมกระหน่ำเข้าใส่ ไม่ทันที่จะมีเวลาให้เขาได้เตรียมตัว ร่างกายของเขาถูกโจมตี พลังงานทางจิตวิญญาณภายในร่างกายของเขาไม่สามารถควบคุมได้ส่งผลให้เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้งหนึ่ง
เสียงจงมู่หลิงดังอยู่ด้านในกระท่อม “เจ้าต้องการอะไรจากการที่เจ้าปิดบังตัวตนของเจ้ากับนาง หากเจ้าไม่อธิบายออกมาให้ชัดเจน อย่ามาโทษข้าที่จะปลิดชีวิตเจ้า!”