ตอนที่ 117 โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน

ลำนำสตรียอดเซียน

โม่เทียนเกอเดินออกจากกระท่อม ก็สังเกตเห็นจงมู่หลิงกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างบ่อน้ำ เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

 

 

โม่เทียนเกอเดินไปหาเขาอย่างแผ่วเบาจากนั้นทำความเคารพเขา “ท่านบรรพบุรุษ”

 

 

หลังจากผ่านไปนาน จงมู่หลิงก็ขยับตัวในที่สุด เขาเหลือบมองนางและพูดว่า “เจ้าอยู่ที่นี่มาเจ็ดวันแล้ว ตอนนี้เจ้าควรไปได้แล้วล่ะ”

 

 

“…” โม่เทียนเกอพยักหน้าแล้วจึงตอบว่า “ท่านบรรพบุรุษมีคำแนะนำอื่นอีกไหมเจ้าคะ”

 

 

“เจ้ามีชะตากรรมของตัวเอง ทำไมเจ้าถึงต้องการให้ข้าคอยสั่งสอน” เขาพูดอย่างเรียบเฉยก่อนจะเหวี่ยงแขนเสื้อ ทำให้กระเป๋าเอกภพปรากฏขึ้นบนโต๊ะไม้ข้างๆ ตัวพวกเขา “ข้าทำการขัดเกลาจี้ซ่อนวิญญาณของเจ้าใหม่เรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่เจ้าใส่มันไว้ เจ้าจะไม่เป็นอะไรต่อให้เจ้าแสร้งทำว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาก็ตาม”

 

 

“ขอบพระคุณท่านบรรพบุรุษมากเจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอรับกระเป๋าเอกภพมา วิชาซ่อนลมปราณของนางอย่างดีที่สุดก็แค่พอใช้ได้ ดังนั้นด้วยของสิ่งนี้ นางสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจมากขึ้นในอนาคต

 

 

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากจี้เส้นนั้น กระเป๋าเอกภพยังเต็มไปด้วยของอีกมากมายหลายอย่าง

 

 

“ท่านบรรพบุรุษ ของพวกนี้คือ…”

 

 

“เตาไม้สีม่วงคือเตาหลอมยาที่ข้าใช้เมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้มันไร้ประโยชน์สำหรับข้าแล้ว ในเมื่อเจ้ากำลังเรียนเรื่องการปรุงยา ข้าจะมอบให้เจ้า ส่วนผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมผืนนั้นคืออาวุธป้องกันวิเศษ แต่ยังสามารถใช้ในการบินได้ด้วย ข้าบันทึกศาสตร์ที่ใช้ในการควบคุมมันไว้แล้วในแผ่นหยกบันทึก เส้นทางแห่งการฝึกตนต้องเดินด้วยตัวเอง ดังนั้นข้าจึงสามารถช่วยเจ้าได้มากสุดเพียงเท่านี้ ไม่ว่าเจ้าจะสามารถก้าวไปสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ หรือแม้แต่ดินแดนแห่งเทพได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเอง”

 

 

ขณะที่โม่เทียนเกอเก็บข้าวของทั้งหมด นางก็เกิดความนึกคิดขึ้นมา โชคชะตาระหว่างนางและท่านบรรพบุรุษท่านนี้ถือได้ว่ามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เทพผู้ฝึกตนอย่างเขาสามารถใช้เวลากว่าร้อยๆ ปีในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ เขาอาจจะไม่ได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยภายในเวลาพันปีข้างหน้า ไม่ว่าพวกเขาจะได้เจอกันอีกในอนาคตหรือไม่ก็ยังเป็นเรื่องไม่แน่นอน

 

 

“เอาละ ข้าจะไปส่งเจ้าทั้งสอง”

 

 

“เจ้าค่ะ”

 

 

จงมู่หลิงยกมือขึ้น ก่อให้เกิดจุดแสงสว่างขนาดเท่าเม็ดถั่วปรากฏขึ้นตรงหว่างคิ้วของเขา ขณะที่เขาขยับปากร่ายมนตร์เงียบๆ จุดแสงสว่างก็สว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ กลายเป็นไข่มุกเม็ดใหญ่ก่อนที่จะตกลงสู่ฝ่ามือเขา

 

 

สายตาโม่เทียนเกอจับจ้องอยู่ที่ไข่มุกเม็ดนั้นพร้อมกับขมวดคิ้ว

 

 

จงมู่หลิงยังไม่หยุดร่ายมนตร์จนท้ายที่สุดคาถานั้นก็พุ่งตรงเข้าไปยังไข่มุก

 

 

รอยแตกของมิติขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าทันที

 

 

“ไป!”

 

 

โม่เทียนเกออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่นางจะได้โอกาสนั้น ก็เห็นความมืดวาบผ่านตามมาด้วยแสงสว่าง ร่างนางหายไปจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน

 

 

โม่เทียนเกอเหลือบมองด้านบนเพื่อดูรอบๆ ตัว นางอยู่บนยอดเขาและไม่มีอะไรอยู่รอบตัวนางเลย บางทีนางอาจจะออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้วก็เป็นได้

 

 

นางอดไม่ได้ที่จะถอนใจและรู้สึกเศร้าด้วยความโหยหา นางยังมีอะไรที่อยากถามจงมู่หลิงอีก…

 

 

“เทียนเกอ?”

 

 

“อือ…” โม่เทียนเกอหันไปเมื่อนางได้ยินเสียงฉินซี ทว่าเมื่อนางทำเช่นนั้น ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

 

ฉินซีดูเหมือนจะยืนอย่างไม่ค่อยมั่นคง ใบหน้าเขาซีดเผือด เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บของเขายังไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย ท่านบรรพบุรุษบอกว่าอาการของเขาไม่รุนแรง แล้วทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้

 

 

“ศิษย์พี่ฉิน ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า”

 

 

ฉินซีพยุงตัวขึ้น ส่ายหน้าและพูดว่า “เรากลับกันก่อนเถอะ”

 

 

เขาไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมและเรียกหากระบี่บินของเขามาทันที ดึงตัวนางขึ้นไปบนกระบี่จากนั้นจึงบินไปทางผาลั่วเยี่ยน

 

 

จงมู่หลิงเป็นคนรอบคอบ เขาปล่อยพวกเขาลงตรงจุดที่ห่างไกลจากป่า

 

 

สีหน้าฉินซีเคร่งเครียด สายตาโม่เทียนเกอชำเลืองมองเขาแต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน

 

 

ในเวลาเพียงไม่นาน พวกเขาก็ลงจอดยังอาณาเขตของผาลั่วเยี่ยน

 

 

ทันทีที่พวกเขาร่อนลง ฉินซีพูดว่า “อย่าพูดเรื่องนี้กับใคร หากมีใครถาม ก็แค่บอกไปว่าข้าห้ามไม่ให้เจ้าพูดอะไร”

 

 

“อ้อ ตกลง…” ถึงแม้ดูเหมือนเขายังอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาก็ไม่ได้พูด เขาแค่มองไปทางอื่นโดยไม่ได้พูดอะไรอีก

 

 

ขณะที่สายตาของนางมองตามร่างของเขาไป จู่ๆ นางก็คิดว่าเขาดูค่อนข้างหดหู่

 

 

แต่ก่อนที่นางจะมีโอกาสได้พูดอะไร พวกศิษย์ที่มีหน้าที่ลาดตระเวนได้เข้ามาหา ในไม่ช้าม่านพลังจึงเปิดออกและทั้งสองคนเข้าไปข้างใน

 

 

หลังจากร่ำลากับฉินซี นางไปตามทางของนางต่อด้วยสีหน้าครุ่นคิด ภาพจงมู่หลิงที่กำลังเปิดโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนยังคงติดตรึงในจิตใจของนาง

 

 

ไม่มีคนอยู่ในกระโจมเมื่อนางกลับไป แม้แต่หลัวเฟิงเสวี่ยเองก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น

 

 

โม่เทียนเกอนั่งอยู่ในที่นั่งของตัวเอง นางคิดอยู่นานก่อนที่นางจะคลำเข้าไปในกระเป๋าเอกภพและเอาบางอย่างออกมา มันคือไข่มุกขนาดเท่ากำปั้นของเด็ก มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณและเหมือนกับกับของจงมู่หลิงมาก

 

 

นางได้มันมาจากการฆ่าชายคนนั้นจากกลุ่มอันบนเขาอวิ๋นอู้ ก่อนถึงวันนี้ นางไม่เคยเข้าใจเลยว่ามันมีไว้เพื่ออะไร ดังนั้นนางจึงเก็บมันอยู่ในกระเป๋าเอกภพมาตลอดโดยไม่เคยใช้มัน

 

 

นางไม่รู้ว่ามันเป็นเหมือนกับของจงมู่หลิงหรือไม่ แต่มันก็ดูคล้ายคลึงกับของเขามาก นอกจากนี้ แม้แต่วิธีที่พลังวิญญาณของมันตอบสนองก็ยังเหมือนกันด้วย

 

 

ไข่มุกของจงมู่หลิงได้ถูกหลอมรวมเข้าไปในร่างกายเขาและเขาใช้มันเพื่อเปิดโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ดังนั้นมันจึงน่าจะเป็นอาวุธวิเศษที่เกี่ยวข้องกับโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางสงสัยว่านางจะครอบครองโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนบ้างได้หรือไม่กับของสิ่งนี้ในมือนาง

 

 

อดไม่ได้ที่จินตนาการของโม่เทียนเกอจะลอยไปไกลแสนไกล จะดีเพียงใดกันหากนางมีถ้ำเซียนที่นางสามารถถือไปไหนมาไหนก็ได้เหมือนอย่างโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ในสถานที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นเช่นนั้น พืชวิญญาณทุกชนิดเจริญงอกงามได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น นางสามารถพกมันไปกับนางได้ทุกที่โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกคนอื่นเจอเข้า

 

 

ยิ่งนางคิดถึงมันมากเท่าไร ความโหยหาในจิตใจนางก็ยิ่งทนไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น โชคร้ายที่ตอนนางกำลังจะถามให้กระจ่างเกี่ยวกับไข่มุก จงมู่หลิงได้ส่งนางออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเสียก่อน บัดนี้นางไม่เหลือใครให้ถามได้แล้ว ถึงแม้ว่านางจะมีมันอยู่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ถอนใจอย่างหมดหนทาง

 

 

ช่วงเวลาของความตื่นเต้นตามมาด้วยช่วงเวลาของความผิดหวัง

 

 

โม่เทียนเกอกำลังจะโยนไข่มุกกลับเข้าไปในกระเป๋าเอกภพเมื่อจู่ๆ นางก็นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่หยวนเป่าพูด

 

 

ครั้งหนึ่งเมื่อหยวนเป่าคุยกับนาง เขาบอกนางว่าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นอาวุธวิเศษที่มีเจ้าของ นอกจากว่าจิตวิญญาณเริ่มต้นของผู้ครอบครองมันได้หายไปจนหมดสิ้น ไม่มีใครสามารถฉกฉวยมันไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่มันยังรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ มันก็จะไม่หนีไปไหน

 

 

ขณะที่นางคิดเรื่องนี้ ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้าสู่จิตใจในทันใด นางรวบรวมพลังวิญญาณของนางและทำท่าฟันเบาๆ เกิดเป็นรอยบาดตื้นๆ ที่ปลายนิ้ว

 

 

เลือดเริ่มไหลและนางหยดเลือดหนึ่งหยดลงบนไข่มุก หยดเลือดสีแดงสดค่อยๆ ซึมลงสู่ไข่มุกสีขาววาววับช้าๆ และค่อยๆ หายไปจากบนพื้นผิวของมัน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงอาการปวดหัวฉับพลัน ข้อมูลมากมายเหลือคณาแพร่เข้าสู่จิตใจในชั่วพริบตา

 

 

นางเห็นยุคอดีตอันไกลโพ้นที่แสนป่าเถื่อน สัตว์ป่านกกาหลากหลาย …

 

 

วัตถุวิญญาณแทบทุกชนิด ผู้ฝึกตนและสัตว์ปีศาจ…

 

 

งานเขียนมากมาย รูปภาพนับไม่ถ้วน…

 

 

ทั้งหมดนั้นวาบผ่านสายตาของนางไป นางรู้สึกเหมือนกับนางได้พบเจอกับเรื่องทั้งหมดนั้นมาด้วยตัวเอง ราวกับว่ามีใครบางคนจับเรื่องทั้งหมดนั้นยัดเข้าใส่สมองของนาง

 

 

ความเจ็บปวด

 

 

โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร บางทีอาจจะผ่านไปนานมากหรือบางทีอาจจะแค่ครู่เดียว ทว่าความเจ็บปวดในหัวของนางค่อยๆ หายไป ในที่สุดเมื่อนางเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตานางเบิกโพลงทันที

 

 

บัดนี้นางไม่ได้อยู่ในกระโจมบนผาลั่วเยี่ยนอีกต่อไปแล้ว ในทางกลับกัน มันเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยที่มีพลังวิญญาณหนาแน่น

 

 

กระท่อมไม้ไผ่มากมายซ่อนอยู่ในป่าไผ่หนาทึบสามารถมองเห็นได้ ลำธารไหลคดเคี้ยวไปสู่ที่ไกล สายลมเย็นโชยเอื่อยพัดพากลิ่นหอมของพืชวิญญาณกระทบจมูกนาง

 

 

ป่าไผ่ กระท่อม ลำธาร สวนสมุนไพร… นางดีใจสุดขีด!

 

 

นี่คือโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน! ต้องเป็นโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแน่!

 

 

โม่เทียนเกอยืนขึ้นจากพื้นทันทีและวิ่งเข้าไปสู่กระท่อมหลังหนึ่ง

 

 

กระท่อมหลังนี้ดูเหมือนจะถูกทิ้งร้างมาหลายปีแล้ว ชั้นฝุ่นหนาปกคลุมทั่วพื้น แทบจะครอบคลุมทุกสิ่งภายในกระท่อม ถึงอย่างนั้นก็ตาม นางเพียงเสกคาถาเล็กน้อยและทั้งห้องก็สะอาดเอี่ยมในชั่วพริบตา

 

 

มีโต๊ะและเก้าอี้ที่ทำจากไผ่วิญญาณ เสื่อสวดมนต์หลายผืนกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น และชั้นที่เต็มไปด้วยหนังสืออยู่ตรงมุมห้อง

 

 

โม่เทียนเกอเดินไปทางชั้นหนังสืออย่างแผ่วเบา นางเลือกหนังสือเล่มหนึ่งมาเปิดดู หนังสือเขียนขึ้นด้วยตัวอักษรโบราณสักอย่างโดยใช้คาถา ทำจากหนังสัตว์ปีศาจบางชนิดที่ยืดหยุ่นแต่ก็แข็งแรง เมื่อนางปิดหนังสือนางรู้สึกแปลก นางไม่มีความสามารถที่จะอ่านตัวอักษรโบราณเยี่ยงนั้น แต่นางกลับเข้าใจมันได้โดยแค่มองเท่านั้น!

 

 

ที่จริงแล้วนางสามารถจำทุกอย่างในห้องนี้ได้

 

 

ขณะที่นางออกจากกระท่อมและเดินไปทั่วป่าไผ่ นางเห็นว่ามีวัตถุวิญญาณหลายอย่างอยู่ทั่วทั้งพื้นที่ ต้นไม้ ดอกไม้ หญ้า เถาวัลย์ และวัตถุวิญญาณอีกนับไม่ถ้วนกระจุกรวมอยู่ด้วยกัน พื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้ชั้นแล้วชั้นเล่า นางสงสัยว่าสถานที่แห่งนี้มีชีวิตอยู่และเติบโตได้ด้วยตัวเองและสร้างภาพทิวทัศน์เช่นนี้มานานแค่ไหนกันแล้ว

 

 

โม่เทียนเกอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นอาวุธวิเศษที่อยู่ในพื้นที่ว่างที่ถูกทิ้งไว้จากยุคอดีตอันไกลโพ้น หลังจากสูญเสียผู้ครอบครองมันไป ไม่มีใครเข้าใจว่ามันคืออะไรและจากนั้นมันจึงตกไปเป็นทรัพย์สินของชายจากกลุ่มอันจนกระทั่งสุดท้ายมันตกมาอยู่ในมือนาง หากนางไม่ได้บังเอิญเข้าไปสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของจงมู่หลิง ก็อาจจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่านางมีสมบัติพิเศษอยู่ในมือจนกว่านางจะตายไป ยาวิเศษครอบจักรวาลพวกนี้เติบโตมามีค่าเทียบเท่ากับกี่ร้อยกี่พันปีกัน ท่ามกลางพวกนั้นคือพืชวิญญาณที่มีอายุมากกว่าหมื่นปี ต่อให้นางแค่เอามันออกไปเล่นๆ นางก็อาจจะทำให้ทั่วทั้งขั้วท้องฟ้าตกตะลึงเป็นแน่!

 

 

ขณะที่นางลูบหญ้าแห้งทั้งเจ็ดอายุหมื่นปีด้วยมือ โม่เทียนเกอนั่งลงบนพื้นดิน รอยยิ้มกว้างดูงี่เง่าผุดขึ้นบนใบหน้านาง ตั้งแต่นางเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน นางได้ผ่านโชคร้ายมามากและมีชะตาลิขิตแค่เพียงน้อยนิด อย่างไรก็ตาม ในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ นางได้พบกับชะตาลิขิตหลายอย่างติดๆ กันซึ่งยากสำหรับคนทั่วไปที่จะพบเจอได้ตลอดชั่วชีวิตของพวกเขา!

 

 

ศาสตร์แห่งต้นกำเนิด ร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณ คำแนะนำจากเทพผู้ฝึกตน ของขวัญจากท่านบรรพบุรุษของนาง และแม้แต่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ด้วย! สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกถึงความสุขเหนือจริงราวกับฝัน

 

 

แต่พืชวิญญาณเหล่านี้เป็นของจริง ดินนี้เป็นของจริง กระท่อมพวกนั้นเป็นของจริง และพลังวิญญาณก็จริงเช่นกัน ด้วยของทั้งหมดนี้ นางยังจะต้องกังวลกับอนาคตของนางอีกหรือ

 

 

หลังจากผ่านไปหลายวินาทีเกินกว่าจะนับได้ โม่เทียนเกอค่อยๆ สงบลง

 

 

ไม่ว่านางจะมีสมบัติวิญญาณมากมายเพียงไร นางก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ตราบใดที่ปรัชญาแห่งลัทธิเต๋าของนางไม่สมบูรณ์ นางก็ยังไม่มีความสามารถพอจะปกป้องตนเองได้

 

 

อีกอย่าง การก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจก็ยังดำเนินอยู่ ดังนั้นการปกป้องชีวิตของตัวเองจึงยังเป็นเรื่องสำคัญ

 

 

คิดได้ดังนี้ โม่เทียนเกอก็ยืนขึ้น เริ่มสำรวจโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนใบนี้อย่างตั้งใจ

 

 

โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนทุกใบแตกต่างกัน ในโลกของจงมู่หลิงมีบ้านไม้และบ่อน้ำ แต่ในโลกใบนี้มีกระท่อมไม้ไผ่ ป่าไผ่ และลำธาร ถึงอย่างนั้นพลังวิญญาณในทั้งสองที่ก็ค่อนข้างเหมือนกัน ทั้งคู่ล้วนมีพลังหนาแน่น

 

 

นอกจากนี้ โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางได้เปรียบกว่าเมื่อเทียบกับของจงมู่หลิง พืชวิญญาณและวัตถุวิญญาณที่นี่มีจำนวนมาก อย่างน้อยที่สุดพวกมันก็เติบโตมาอย่างอิสระมาหลายร้อยหลายพันปี ในหมู่พืชพวกนี้มีพืชวิญญาณอายุหมื่นปีอยู่นับไม่ถ้วน เติบโตแพร่พันธุ์อย่างต่อเนื่องจนปกคลุมสวนสมุนไพรนี้และขยายออกไปจนเกือบจะไม่มีที่ว่างเหลืออยู่ ในทางกลับกัน โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของจงมู่หลิงไม่มีพืชวิญญาณมากเท่านี้ บางทีอาจจะเพราะว่าภายในเวลาหลายพันปีตั้งแต่เขากลายเป็นเทพผู้ฝึกตน เขาก็ได้ใช้และเก็บเกี่ยวพืชวิญญาณบางส่วนไปบ้างแล้ว

 

 

ขณะที่นางกวาดตามองสวนสมุนไพรไม่สิ้นสุดภายใต้ลมเย็นอ่อนๆ โม่เทียนเกอก็อดคิดไม่ได้ว่าครั้งนี้นางต้องเรียนรู้การปรุงยาเสียทีไม่ว่านางจะต้องการหรือไม่ พืชวิญญาณส่วนใหญ่เหล่านี้ไม่สามารถนำออกไปข้างนอกได้ ถ้านางต้องการใช้มัน นางทำได้แค่ปรุงยาด้วยตัวเองเท่านั้น อีกอย่าง ด้วยพืชวิญญาณมากมายขนาดนี้ นางยังจะต้องกังวลเกี่ยวกับพืชที่ต้องเสียไปเพราะความสามารถไม่มากพอของนางอีกหรือ

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น นางสามารถเริ่มรวบรวมสูตรยาโบราณให้ได้มากเท่าที่จะมากได้ ในโลกแห่งการฝึกตน ถึงแม้ว่าจะมีสูตรยาโบราณมากมายหลงเหลืออยู่ แต่ส่วนใหญ่นั้นก็ไร้ค่าเพราะพืชวิญญาณจำนวนมากที่จำเป็นต้องใช้ได้หายสาบสูญไปจากโลกนี้นานแล้ว ผู้คนไม่สามารถปรุงยาวิเศษครอบจักรวาลใดๆ ได้เลยต่อให้มีสูตรยา อย่างไรก็ตาม นางไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหานี้ พืชวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่นี่คงจะถูกปลูกโดยเจ้าของคนก่อนของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนใบนี้ ต้องมีพืชวิญญาณบางอย่างที่นี่ที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการปรุงยาแน่ ถึงแม้การเลือกพืชอาจจะขาดตกบกพร่องอยู่บ้าง แต่การที่สามารถปรุงยาวิเศษโบราณหลากหลายชนิดได้ก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง

 

 

ขณะที่นางคิดถึงเรื่องนี้ โม่เทียนเกอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกริ่มอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าเส้นทางแห่งการฝึกตนของนางเป็นเส้นทางที่สดใสเหลือเกิน