เล่มที่ 16 ตอนที่ 9

Memorize

ตั้งแต่ผมสามารถบุกเข้ามาได้ ผมก็เกิดความกังวลว่าควรจะไปเริ่มจากจุดไหนก่อนดี เพราะพวกมันกระจายตัวอยู่ทั้งสี่ทิศเลย ทันใดนั้นเองผมรู้สึกได้ถึงความสั่นไหวของพลังเวทร้อนวูบวาบ พลังเวทนั้นกำลังแผดเผาอยู่ทั้งสองด้านรอบกายผม พอพิจารณาดูทั่วทั้งสี่ด้าน จึงเห็นเปลวไฟสองเส้นกำลังพุ่งเข้ามายังตัวผม หลังจากนั้นผมจึงรีบฟันดาบซ้ายขวาอย่างต่อเนื่องเพื่อปัดมันออกไป ก่อนที่เปลวไฟนั้นจะเข้ามาถึงตัว

 

 

เคร้ง! เคร้ง!

 

 

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวบังเกิดขึ้น ผมมองไปยังเหล่านักเวทที่ถูกเฉือนอวัยวะ แล้วจึงได้ยินเสียงใครบางคนกำลังอดกลั้นไม่ให้มีเสียงครวญครางเล็ดลอดออกมา และในตอนนั้นเองเป็นช่วงที่พวกเร่ร่อนที่บุกเข้ามาทางด้านหลังตามมาไล่ล่าจับตัวผม

 

 

หลังจากที่ผมได้ส่งกระแสเวทมนตร์ไปยังเหล่านักเวทที่คอยร่ายเวทเข้ามา ผมจึงรีบหมุนตัวกลับทันทีทันใด และก็เจอพวกเร่ร่อนคนหนึ่งกำลังถือกระบองใหญ่โตมโหฬารที่มีแกนเหล็กแหลมยื่นออกมาปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้า

 

 

ในช่วงที่พวกเร่ร่อนเข้ามาถึงตัวผมได้สำเร็จ มันใช้มือทั้งสองข้างหวดกระบองที่เต็มไปด้วยแสงสีฟ้าอย่างเต็มแรง แต่ถึงอย่างนั้นผมยังสามารถหมุนตัวมาทางซ้ายหลบหลีกได้ทัน ซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ดาบของผมรับกระบองของมันได้อีกด้วย ทันใดนั้นข้อศอกของพวกมันจึงงอไปในทิศทางตรงกันข้าม แล้วหลังจากนั้นพวกมันจึงได้เห็นภาพที่หัวของตัวเองกำลังโดนตีแตกเป็นเสี่ยงๆ ผมจึงออกแรงหมุนตัวโดยวางเท้าซ้ายเป็นแกน หลังจากนั้นก็เตะพวกมันเต็มแรงจนกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

 

ผัวะ!

 

 

“อึ้ก!”

 

 

ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างหนักๆ ตรงหลังเท้า ถึงจะไม่ได้เบนสายตาไปมอง แต่ในความรู้สึกคือมีดาบกำลังกวัดแกว่งอยู่ อีกทั้งยังรู้สึกว่ามีบางสิ่งเฉือนบางอย่างที่อ่อนนุ่มออกไป

 

 

สถานการณ์ในขณะนั้น ผมต้องวนอีกรอบหนึ่งเพื่อที่จะได้หมุนดูโดยรอบ แต่แล้วผมก็ได้หยุดการเคลื่อนไหวของร่ายกายพักหนึ่ง เพื่อที่จะได้หยุดพักหายใจให้ทัน

 

 

“ฟู่ว”

 

 

ทันทีที่ผมหันหน้ากลับไป จึงได้รู้ว่าแผนการกระดมยิงได้ถูกทำลายไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

ผมเบนสายตาไปมองด้านหน้าครู่หนึ่ง แพคซอยอนฟุบอยู่กับพื้นราวกับว่าได้ตายจากไปแล้ว ส่วนที่ไกลๆ ฟากฝั่งนู้นมีเหล่าบรรดาต้นไม้ ป่าไม้น้อยใหญ่เจริญเติบโตอย่างกะทันหันเตะตาผม

 

 

ผมเอียงหัวไปมาอย่างใช้ความคิดพักหนึ่ง แต่ก็ตั้งใจว่าจะไม่ไปใส่ใจอะไรกับสิ่งนั้นให้มากนัก ทั้งทักษะแฝง พรคุ้มครองแห่งสงคราม พรรคพวกของผมกำลังบอกให้ผมรู้ว่าพวกเขาปลอดภัยดี

 

 

ในบรรดาประมาณสี่สิบเอ็ดคน ซึ่งรวมแพคซอยอนอยู่ในนั้น มีอยู่ยี่สิบหกคนกำลังบุกเข้ามาหาผม มีกำลังพลเกือบสามสิบนายมุ่งหน้าเข้ามา แต่ทว่าพวกเร่ร่อนที่หลงเหลืออยู่ในขณะนี้ เหลือไม่มากเท่าไหร่แล้ว หากนับเป็นจำนวนก็คงเป็นเลขหลักหน่วยเท่านั้น ชัยชนะกำลังจะเป็นของเราแล้ว และสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดคือแพคซอยอนหมดสติอยู่ เพราะฉะนั้นแล้วเราจึงต้องมากำจัดพวกเร่ร่อนที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้ให้เป็นเพียงธุลีไร้ค่าให้ได้ ผมจับความรู้สึกเพื่อค้นหาพลังเวท หลังจากที่สามารถจับสัญญาณของพวกเร่ร่อนได้แล้ว ผมจึงมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว

 

 

ตอนนี้จำเป็นจะต้องทิ้งอะไรให้ไว้ดูต่างหน้าเสียหน่อยแล้ว

 

 

“โกยอนจู ร่างกายยังไหวอยู่ใช่ไหมครับ”

 

 

ผมพูดกับโกยอนจูที่กำลังนั่งไม่เต็มก้นอยู่บนก้อนหิน ริมฝีปากหล่อนมีรอยเลือดซึมอยู่จางๆ โกยอนจูค่อยๆ หันมามองผมช้าๆ

 

 

“ยังพอทนได้ค่ะ ฉันเองก็พอรู้เรื่องการระดมยิงมาบ้างนะคะ แต่พอเจอจริงๆ แล้วน่ากลัวไม่ใช่เล่นเลย แล้วซูฮยอนล่ะคะ ไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

ผมพยักหน้าตอบกลับ

 

 

“แล้วเรื่องความเสียหายล่ะครับ”

 

 

“สามคนครับ สมาชิกเผ่าของเราปลอดภัยดี”

 

 

“สามคนงั้นเหรอ ไม่เลวเลยนี่”

 

 

สงครามของพวกสะกดรอยได้เสร็จสิ้นลงแล้ว จำนวนผู้เสียชีวิตของพวกเร่ร่อนคือสามสิบเก้าคน ส่วนคนเจ็บและไม่ได้สติมีอยู่สิบเอ็ดคน ผู้เล่นที่เสียชีวิตมีเพียงสามคนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สงครามการต่อสู้ระหว่างพวกเร่ร่อนกับผู้เล่นได้สิ้นสุดลง โดยชัยชนะตกเป็นของผู้เล่นอย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

“ถ้าดูแต่ผลลัพธ์ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วค่ะ ฉันเองเกือบจะโดนลูกหลงจากการระดมยิงอยู่ครั้งหนึ่ง แต่โชคดีที่ผู้ชายคนนั้นคอยช่วยบรรเทาความเสียหายไปได้ค่ะ”

 

 

คนที่โกยอนจูพูดถึงคือ โจซึงอู เขาตั้งใจตั้งรับในสมรภูมิรบในช่วงที่กำลังดุเดือดสุดๆ ด้วยเหมือนกัน บางทีป่าไม้รกทึบที่ผมเห็น อาจเป็นพลังเวทที่โจซึงอูปลุกขึ้นมาเพื่อใช้ป้องกันก็เป็นได้

 

 

“ซูฮยอน ว่าแต่”

 

 

“ครับ”

 

 

“ทำไมถึงปล่อยให้พวกเร่ร่อนรอดชีวิตถึงสิบเอ็ดคนเลยล่ะคะ”

 

 

“พวกมันยังมีค่าพอที่จะให้รอดชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไงละครับ ตอนนี้พวกเรากำลังขาดข้อมูลบางอย่างอยู่”

 

 

“ถึงจะว่าแบบนั้นก็เถอะ แต่ว่ามัน…”

 

 

แม้สีหน้าของโกยอนจูจะเห็นด้วยกับผมก็จริง แต่ทว่าผมยังมองเห็นสีหน้ากังวลเล็กๆ ของหล่อน ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมผมถึงล่วงรู้ความกังวลของหล่อนได้

 

 

“ถึงจะบอกให้ทิ้งศพไปอย่างไร…แล้วพวกเร่ร่อนที่หมดสติอยู่ล่ะคะ จะทำอย่างไรดีคะ”

 

 

“ผมได้สั่งให้เอาพวกมันไปรวมกันไว้ตรงสถานที่แห่งหนึ่งแล้วครับ และสั่งให้ถอดเสื้อผ้าทิ้งไปให้หมดอีกด้วย”

 

 

“หืม แล้วอุปกรณ์ล่ะคะ”

 

 

“อืม…ก็มีอยู่บ้างครับ แต่…”

 

 

“…แต่?”

 

 

ผมมีความคิดว่าจะเอาอุปกรณ์ทั้งหมดเก็บกลับไปด้วยอยู่แล้ว เพราะว่าของชิ้นไหนที่เสียหายไปแล้วในช่วงสงคราม เราก็ใช้การอะไรมันไม่ได้อยู่ดี ส่วนของที่ยังเหลืออยู่นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นของที่ผมคาดหวังอยากจะใช้ทั้งสิ้น

 

 

แต่ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าจะข้อมูลหรืออุปกรณ์ ล้วนกลายมาเป็นปัญหาที่สองในตอนนี้ โดยเฉพาะการล้วงข้อมูล ผมมีอะไรบางอย่างที่จะต้องทำก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อที่เราจะสามารถล้วงข้อมูลนั้นมาได้

 

 

ผมหักคอตัวเองซ้ายที ขวาที แล้วจึงลุกขึ้นยืนจากตรงก้อนหิน บิดไล่ความขี้เกียจออกไปสักเล็กน้อย แล้วจึงเปิดปากพูดว่า

 

 

“ก่อนอื่นผมคิดว่าเราจะต้องทำลายเวทมนตร์ย้อนกลับของพวกมันเสียก่อนครับ”

 

 

 

 

* * *

 

 

 

 

สถานการณ์ในตอนนี้เรียกได้ว่าจะดีก็ว่าดี แต่จะว่าแย่ก็ได้เช่นเดียวกัน พวกเร่ร่อนผ่านเลยตัวคิมซูฮยอนไป หลังจากนั้นจึงเข้าบุกที่ที่เหล่าผู้เล่นรวมตัวกันอยู่ ไม่รู้ว่าเนื่องด้วยสาเหตุอันใด พวกมันถึงไม่เป็นฝ่ายรุกในการบุกครั้งนี้ หากจะให้ว่ากันตรงๆ คือเป็นการเคลื่อนตัวเข้าใกล้เพื่อสกัดกั้นอะไรบางอย่างก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นสถานการณ์การต่อสู้ในตอนนี้อยู่ในขั้นสูสี โดยศักยภาพในการรบของพวกเร่ร่อนนั้นล้วนอยู่ในค่าเฉลี่ยระดับบน ซึ่งเหนือกว่าเหล่าผู้เล่นทั้งสิ้น

 

 

หากลองเทียบดูแล้ว สิ่งที่เหล่าผู้เล่นนำหน้ากว่าพวกเร่ร่อนมีอยู่สองสิ่งด้วยกัน คือความเป็นทีมและราชินีแห่งเงามืด มีบ้างบางครั้งที่ทั้งการสนับสนุนของพวกนักเวทกับนักบวชและโกยอนจูนได้ปลุกพลังเงามืดขึ้นมา ซึ่งหากพวกเขาไม่เข้ามาแก้ไขสถานการณ์ในสมรภูมิรบแล้วล่ะก็คงมีที่ใดที่หนึ่งโดนอีกฝ่ายกุมเอาชัยชนะไปแล้วก็เป็นได้

 

 

แต่ทว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง สถานการณ์การต่อสู้ที่จากแต่เดิมสูสีคู่คี่กัน กลับพลิกมาเป็นกระแสการต่อสู้อย่างดุเดือดไปเสียได้

 

 

โกยอนจูเงยหน้ามองด้านบน ใบหน้าของหล่อนชื้นไปด้วยเหงื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคลื่นความร้อนที่แผ่ซ่านออกมาจากท้องฟ้าหรือไม่ บนท้องฟ้านั้นมีแสงสว่างส่องอยู่ท่ามกลางความมืดมิดกำลังรวมตัวกันอยู่เป็นก้อนกลมๆ

 

 

โกยอนจูจึงควักไทร์ฟิงค์ออกมา หล่อนจำต้องบังคับจิตใจตัวเองในการใช้ดาบ เนื่องจากหล่อนไม่มั่นใจกับการใช้ไทร์ฟิงค์ของตัวเองเลย แต่สถานการณ์ในตอนนี้ต่างไปจากเดิมแล้ว คลื่นความร้อนสัมผัสเข้าใบหน้าจนรู้สึกได้เมื่อครู่นี้กำลังค่อยๆ เพิ่มระดับความร้อนวูบวาบมากขึ้น อีกทั้งพวกเร่ร่อนยังบุกเข้ามาทางด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

 

 

หล่อนมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง หากทำให้สำเร็จไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องพังทลายหมดแน่ ตอนนี้ไม่มีเวลามานั่งคิด ไม่มีเวลาให้หยุดพักอีกต่อไปแล้ว โกยอนจูจึงไม่รอช้า รีบปลุกพลังเวทเข้าสู่ไทร์ฟิงค์อย่างสุดกำลัง พร้อมกับกระซิบเบาๆ ว่า

 

 

“ฟิงค์ฟิงค์จ๋า ช่วยอดทนหน่อยได้ไหม”

 

 

ชริ้ง!

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นคำตอบของคำถามเมื่อครู่นี้หรือไม่ เพราะไทร์ฟิงค์ส่งเสียงออกมาราวกับจะฉีกกระชากอะไรสักอย่าง หลังจากนั้นพลังเวทอันแสนน่ากลัวก็ค่อยๆ เริ่มแผ่ซ่าน

 

 

กลุ่มเงามืดที่คอยช่วยเหลือเหล่าผู้เล่นเริ่มหมุนล้อมทั่วบริเวณโดยรอบ ความเร็วในการหมุนวนเป็นวงกลมค่อยๆ ไต่ระดับความเร็วมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นก็ขยับหมุนวนอย่างรวดเร็วมากจนไม่สามารถมองได้ทันเลยทีเดียว

 

 

โกยอนจูผ่าทะลุเข้าไปตรงกลางกลุ่มเงาดำที่ถูกปลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อครู่ ทันใดนั้นกลุ่มเงามืดที่หมุนวนไล่มาตั้งแต่พื้นเมื่อครู่นี้กลับกลายเป็นเพียงก้อนดำๆ ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ หลังจากนั้นก้อนดำเหล่านั้นจึงเริ่มโผบินขึ้นมาอย่างช้าๆ จากด้านล่าง

 

 

ในขณะที่ม่านมืดได้เข้ามาปกคลุมห้อมล้อมบริเวณที่อยู่ของเหล่าผู้เล่น การระดมยิงของพวกเร่ร่อนก็ได้ปะทะเข้ากับม่านที่ล้อมรอบม่านมืดแห่งนี้

 

 

กึก!

 

 

ณ ตอนนั้นโกยอนจูเกือบจะส่งเสียงครวญครางออกมาอย่างที่หล่อนไม่รู้ตัว แต่แล้วหล่อนก็กัดปากอดทนอดกลั้นเอาไว้ได้ ทั้งพลังเวทและลูกธนูจำนวนมากที่คอยปิดกั้นเส้นทางต่างประเดประดังเข้ามา ซึ่งทุกครั้งที่สิ่งเหล่านั้นกระทบเข้ากับม่านมืดแห่งนี้ หล่อนรู้สึกกระวนกระวายอยู่ข้างใน

 

 

ค่าพลังเวทของโกยอนจูอยู่ที่เก้าสิบสามพอยต์ ซึ่งอาจมีคนสองคนในบรรดาพวกเร่ร่อนที่มีค่าพลังเวทสูงมากกว่าหล่อนก็เป็นได้ พลังเวทที่พุ่งเข้ามาเองก็ไม่ได้มีแค่นัดสองนัด หากรวมลูกธนูเข้าไปด้วยแล้ว ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่มีจำนวนเยอะมากๆ หากลองคำนึงถึงสิ่งเหล่านั้น แล้วหันกลับมามองไทร์ฟิงค์ จะพบว่าอานุภาพของไทร์ฟิงค์สุดยอดเหลือเชื่อมาก แม้จะถูกไล่ต้อนอย่างไร แต่ก็ยังสามารถอดทนต่อแรงของลูกธนูที่ถูกยิงเข้ามาได้อย่างดี

 

 

และตอนนั้นเอง

 

 

ฟิ้ว! เพล้ง!

 

 

บางส่วนของม่านมืดได้ถูกเจาะทะลุ จนกิดเสียงแตกของกระจกดังขึ้น พรัอมกับหอกที่ร้อนราวกับไฟขาวโผล่เผยตัวออกมา ปลายหอกแบ่งออกเป็นสองทาง โดยตรงกลางจะมีประกายสีเหลืองอำพันกะพริบเป็นระยะๆ และเจ้าหอกนี้เองที่ได้จุดระเบิดลูกใหญ่เพื่อเจาะทะลุม่านมาเมื่อครู่นี้ โกยอนจูทุ่มสุดกำลังเพื่อเสริมเกราะป้องกันให้กับสถานที่ที่ถูกฉีกขาดแห่งนี้ แต่ทว่าเจ้ารูนั้นกลับเอาแต่ขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุดหย่อน

 

 

โกยอนจูรู้สึกว่าแขนและมือของตนกำลังเ**่ยวย่นขึ้นทีละน้อยๆ เข้าขั้นวิกฤติเสียแล้วสิ เป็นเพราะม่านเงามืดถูกกระเทาะเข้ามาแน่ๆ สถานการณ์จึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ คำสั่งต่างๆ ที่ดังมาจากรอบข้างนั้น หล่อนทั้งได้ยินและล้วนจดจำคำที่ว่านั้นได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถขวางกั้นมันได้อยู่ดี โกยอนจูจึงได้แต่กัดปากอดทน เพราะคิดว่าในท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องปกป้องสมาชิกเผ่าให้ได้

 

 

“ได้แล้วครับ! ช่วยอดทนรอหน่อยนะครับ!”

 

 

โกยอนจูหันขวับกับคำพูดของโจซึงอู ถึงแม้จะมีหยาดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า แต่เขาก็ยังส่งยิ้มมาให้ เขาแกว่งมือซ้ายไปมาเบาๆ เหมือนกับว่าอยากจะให้ไฟส่องสว่างไปทั่วทั้งสี่ด้าน หลังจากไฟนั่นจึงค่อยๆ ซึมลงไปในดิน

 

 

“จงเติบโต ณ บัดนี้!”

 

 

เกิดการเปลี่ยนแปลงของอะไรบางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงเย็นๆ ซื่อๆ ที่ได้ยินอยู่ในหู เริ่มมีต้นอ่อนผลิงอกขึ้นมาบนผืนดินอันแสนเย็นชืด เจ้าสิ่งนั้นได้เติบโตกลายมาเป็นใบแรกผลิในเวลาต่อมา หลังจากนั้นต่างต้นต่างก็เจริญเติบโตขึ้น บางต้นแปรเปลี่ยนเป็นดอกไม้ บางต้นกลายเป็นหญ้า และบางต้นเติบโตขึ้นมาเป็นต้นไม้สูงใหญ่

 

 

และแล้วในช่วงเวลาอันแสนสั้น จึงบังเกิดป่าไม้ใหม่ถูกสรรสร้างขึ้นมาบริเวณโดยรอบเหล่าผู้เล่น ทั้งเหล่าผู้เล่นและพวกเร่ร่อนต่างก็มองสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่นี้ด้วยสายตาตกตะลึง

 

 

“ปฏิบัติตามที่ตกลง!” (Contract, Execute!)

 

 

พรึ่บ!

 

 

และในตอนที่ได้ยินเสียงตะโกนของโจซึงอูเช่นนั้นเอง พลังเวทอันแสนยิ่งใหญ่ได้เกิดการสั่นสะท้าน ส่งเสียงดังไปทั่วทุกสารทิศ พร้อมกันนั้นเหล่าต้นไม้ใบหญ้าที่เจริญเติบโตเมื่อครู่ ต่างก็เริ่มส่องแสงประกายสีฟ้าออกมา

 

 

 

 

* * *