เล่มที่ 16 ตอนที่ 8

Memorize

ใบหน้าของพวกเร่ร่อนทุกคนล้วนชาไปหมด หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตของพวกมันใกล้ถึงจุดจบแล้วนั่นเอง ในขณะที่แพคซอยอนที่เป็นทั้งผู้นำและผู้บังคับบัญชาของพวกมันตกอยู่ในสภาพที่แสนว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งใด แต่แล้วก็มีพวกเร่ร่อนคนหนึ่งได้ออกมาแสดงไหวพริบในการแก้ปัญหาครั้งนี้ ซึ่งนั่นก็คือการใช้วิชาแปลงกายเป็นหมอก อันเป็นความสามารถเฉพาะในการขวางกั้นหนทางที่อยู่ตรงหน้า แต่ถึงกระนั้นก็โล่งใจไปได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

 

 

ชัดเจนแล้วว่าพวกเร่ร่อนที่ใช้วิชาแปลงกายเป็นหมอกนี้กำลังแสดงความสามารถของตัวเองอยู่ แต่เขาไม่ได้ปลุกความสามารถข้อนี้ขึ้นมาเพื่อขวางกั้นแต่เพียงอย่างเดียว เขาทั้งแสดงความสามารถประเภทหนึ่งให้ทุกคนได้เห็น อีกทั้งยังได้ปิดกั้นเส้นทางที่ดาบจะเข้าถึงตัวแพคซอยอนอีกด้วย แต่ทว่าดาบที่กำลังส่องสว่างอยู่นั้นกลับฟาดฟันม่านหมอกนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ แขนขวาของแพคซอยอนเองก็ถูกเฉือนขาดออกไป ณ วินาทีนั้นด้วยเช่นเดียวกัน

 

 

ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์อันเกิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด พวกเร่ร่อนที่ใช้วิชาแปลงกายเป็นหมอกคิดว่าคิมซูฮยอนจะใช้เวทตัดผ่านซึ่งเป็นเวทชั้นสูงตอบโต้ตนเอง แต่ถ้าหมอนั่นรู้ว่าคิมซูฮยอนเป็นคลาสลับผู้ชำนาญดาบล่ะก็ หมอนั่งคงไม่วิ่งเข้าใส่แบบนี้แน่

 

 

พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเร่ร่อนที่ถูกฆ่าไปเมื่อครู่นั้น ล้วนตกอยู่ในสภาพที่ต้องจำยอมตายถวายชีวิตตัวเองทั้งสิ้น

 

 

แต่ทว่าพวกเร่ร่อนยังมีอะไรที่ไม่รู้อยู่อีกมาก เรื่องที่พวกเร่ร่อนยังไม่รู้เลยก็คือ คิมซูฮยอนตัดแขนของแพคซอยอนไปแล้วเรียบร้อย

 

 

แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำและการปฏิบัติในสิ่งต่างๆ ของแพคซอยอนก็รวดเร็วเหมือนกัน ทั้งเรื่องแขนของตัวเองที่โดนศัตรูฟัน, อาวุธทุกอย่างสูญหายไปจนหมด ไหนจะม่านหมอกที่สร้างขึ้นมาขวางกั้นโดนทำลายไปเสียหมดสิ้น ในหัวของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะเพิ่มระยะห่างจากคิมซูฮยอนอย่างไรดี

 

 

หลังจากที่หล่อนโดนฟันแขนขวาจนขาดไปแล้ว หล่อนรู้สึกว่าความสมดุลของร่างกายแปลกไปนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ถึงขนาดที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ แพคซอยอนเชื่อสนิทใจว่าที่ตัวหล่อนสามารถรอดชีวิตมาได้ เพราะมีม่านหมอกนั้นมาช่วยไว้ หล่อนจึงจัดระเบียบร่างกายของตนให้เรียบร้อย เพื่อที่จะได้เตรียมหนีไปทางด้านหลังให้ได้เร็วที่สุด

 

 

พลั่ก!

 

 

เขารู้สึกได้ถึงลางบอกเหตุที่ว่าแพคซอยอนตั้งใจจะหนีไปทางด้านหลัง ทันใดนั้นเขาจึงก้าวขาขวาเข้าไป แล้วชกเข้าที่ท้องของหล่อนทันที ทั้งๆ ที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่คิมซูฮยอนจะเห็นความตั้งใจที่ว่าของหล่อน จริงๆ แล้วหล่อนอยากจะพาร่างโผขึ้นฟ้าไปเสียให้หมดเรื่อง แต่ทว่าหลังจากนั้นหล่อนก็ตกตุ้บลงมาที่พื้นอย่างเต็มแรง แล้วเริ่มเกลือกกลิ้งไปมาอยู่กับพื้น

 

 

จะว่าเขาชนะแล้วในศึกครั้งนี้ก็ย่อมได้ แต่ทว่าคิมซูฮยอนกลับไม่หยุดการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย

 

 

คิมซูฮยอนปรี่เข้าไปเพื่อลดระยะทางระหว่างเขากับแพคซอยอนด้วยความรวดเร็วอย่างทันท่วงที หลังจากนั้นจึงขึ้นคร่อมอยู่เหนือร่างของหล่อน แม้ตอนนี้เขาจะอยู่ท่ามกลางการห้อมล้อมของเหล่าพวกเร่ร่อน แต่ทว่าพวกมันกลับมีท่าทีที่ไม่อยากเข้ามาก้าวก่ายแต่อย่างใด คิมซูฮยอนสามารถขึ้นมาอยู่เหนือร่างหล่อนได้สำเร็จ ถึงแม้แพคซอยอนอยากจะมัดแขนซ้ายของคิมซูฮยอนเอาไว้ แต่แล้วคิมซูฮยอนกลับมือไวกว่า เขาจึงชกเข้าไปที่ใบหน้าของหล่อนอย่างเต็มแรง

 

 

พลั่ก!

 

 

“อ๊าก!”

 

 

ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด แพคซอยอนก็ไม่เคยส่งเสียงกรีดร้องออกมาเลย แม้กระทั่งตอนนี้ แต่แล้วหล่อนก็ได้ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมาเป็นครั้งแรก ค่าความแข็งแรงของคิมซูฮยอนอยู่ที่เก้าสิบหกพอยต์ ซึ่งแรงนั้นไม่สามารถนำมาเทียบกับพลังหมัดที่กำลังไต่ระดับขึ้นสูงเรื่อยๆ ในตอนนี้ได้เลย หากค่าความอดทนของแพคซอยอนไม่ได้อยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมแล้วล่ะก็ บางทีหล่อนอาจจะหัวระเบิดหรือไม่ก็หน้าเละไม่มีชิ้นดีไปแล้วตั้งแต่ต่อสู้ครั้งแรก

 

 

และในวินาทีที่ได้ยินเสียงร้องของแพคซอยอน พวกเร่ร่อนต่างก็มีท่าทีสะดุ้งตกใจ ไม่รู้ว่า ณ วินาทีนั้นเองหรือไม่ ที่ร่างกายของพวกมันได้ถูกละลายน้ำแข็งไปจนหมดสิ้นแล้ว ในความเป็นจริงแล้วเวลาผ่านไปเพียงห้าหกวินาทีเท่านั้น แต่สถานการณ์กลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังกันเลยทีเดียว

 

 

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

 

 

“อึก! อ๊าก! ยะ…หยุด อ๊าก!”

 

 

เสียงร้องอันแสนโหยหวนดังแว่วเข้ามาในหูอีกครั้ง พวกเร่ร่อนจึงรวบรวมสติแล้ววิ่งตรงมายังคิมซูฮยอน แต่ทว่าเขากลับไม่กระวนกระวายแต่อย่างใด คิมซูฮยอนยืนค้ำพื้นดินด้วยมือซ้ายที่ท่วมไปด้วยเลือด เขาใช้สายตานิ่งๆ กวาดมองบริเวณโดยรอบ แล้วจึงออกแรงโผขึ้นไปกลางอากาศ

 

 

ฉึก! ฉึก!

 

 

ร่างกายของคิมซูฮยอนหมุนอยู่กลางอากาศ ด้วยสรีระที่โค้งตัวอย่างสวยงาม และในขณะเดียวกันนั้นเองก็มีแสงสีเหลืองอำพันทั้งหมดเจ็ดเส้นที่ยิงกระจายอยู่รอบทิศทางกำลังจ่อมาที่ตัวเขา

 

 

การคาดการณ์ของเหล่านักธนูนั้นถูกต้อง พวกเขาสามารถคาดการณ์จุดที่คิมซูฮยอนโผตัวขึ้นไปได้อย่างแม่นยำ

 

 

แต่ก็ได้เพียงเท่านั้น ถึงพวกนั้นจะคาดการณ์ได้อย่างถูกต้องเพียงใด แต่หากยิงรัศมีมาไม่โดนตัวเขา มันก็ไร้ประโยชน์อยู่วันยังค่ำ ลูกธนูที่ล้วนโอบอุ้มพลังอำนาจอยู่ในนั้น ได้วิ่งเฉียดร่างคิมซูฮยอนไป ลูกศรแต่ละอันต่างหายลับไปในยังทิศทางที่มันถูกยิงออกมา หลังจากนั้นร่างของเขาค่อยๆ จางหายไปในท้องฟ้า พริบตาเดียวก็เกิดเสียงร้องโอดครวญดังขึ้นมาอีกครั้งจากที่ไหนสักแห่ง

 

 

ไม่มีใครล่วงรู้ว่าคิมซูฮยอนได้ใช้วิชาการเคลื่อนย้ายร่างในพริบตากลางอากาศหรือไม่ เพราะจู่ๆ เท้าของเขาก็ขึ้นมายืนเหยียบอยู่บนอกของใครคนหนึ่ง คนที่อยู่ข้างใต้นั้นคือนักบวชคนหนึ่งซึ่งอยู่ในสภาพจมอยู่กับพื้น นักบวชผู้นั้นเห็นสภาพอันน่าเวทนาของแพคซอยอน จึงตั้งใจออกมาเพื่อจะช่วยรักษาหล่อน แต่คิมซูฮยอนเข้ามาขัดขวางเสียก่อน

 

 

ในบรรดาพวกสะกดรอยตามของพวกเร่ร่อนที่ไล่ล่าเหล่าผู้เล่นในการต่อสู้ครั้งนี้นั้น มีอยู่เพียงแค่สิบคนจากทั้งหมดห้าสิบคนที่เป็นนักเวทกับนักบวช แต่แล้วในการโจมตีเพียงครึ่งแรกเท่านั้น พวกมันกลับสูญเสียกำลังพลไปแล้วเกือบครึ่งหนึ่ง สถานการณ์ในขณะนี้คือเหลือนักบวชเพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น มิหนำซ้ำนักบวชผู้นั้นยังถูกคิมซูฮยอนจับตัวเอาไว้ได้อีก คิมซูฮยอนที่ยืนเหยียบอยู่บนนักบวชผู้นั้น จึงเริ่มใช้เท้าค่อยๆ บดขยี้

 

 

“กรี๊ด!”

 

 

เหล่าพวกเร่ร่อนมองคิมซูฮยอนด้วยใบหน้าราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างงั้น ด้านคิมซูฮยอนก็มองสำรวจเหมือนกับสัตว์ที่เตรียมตัวออกล่าเหยื่อเช่นเดียวกัน

 

 

ในตอนนั้นเอง

 

 

“ทุกคน…ถอยไป…ข้างหลัง!”

 

 

มีเสียงหนึ่งเอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ เสียงนั้นเปล่งออกมาราวกับได้ปล่อยพลังอย่างสุดความสามารถแล้ว และเสียงของคนๆ นั้นคือแพคซอยอนที่สามารถพยุงตัวเองขึ้นมาได้อย่างน่าตกตะลึง แม้หล่อนจะเสียแขนไปแล้วข้างหนึ่ง มิหนำซ้ำใบหน้ายังอาบย้อมไปด้วยเลือด แต่หล่อนก็สามารถกลับมายืนได้อีกครั้ง หล่อนยืนโซซัดโซเซเหมือนคนหมดสภาพ ดูเหมือนหล่อนจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อปรับสมดุลของร่างกายใหม่ แต่แล้วแพคซอยอนก็ต้องคุกเข่าซ้ายลง

 

 

ณ ตอนนั้น พลังเวทรุนแรงเริ่มโหมกระหน่ำอยู่ด้านหลังคิมซูฮยอน

 

 

ฟิ้ว!

 

 

ทันทีที่เสียงที่คล้ายกับเสียงร้องไห้ของแพคซอยอนดังขึ้น พลังเวทและลูกธนูจำนวนมากก็ถูกยิงพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

 

สิ่งเหล่านั้นได้ข้ามผ่านร่างคิมซูฮยอนไป แล้วได้พุ่งไปยังทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ และทิศทางที่ว่านั้นก็คือ สถานที่ที่เหล่าผู้เล่นรวมตัวกันอยู่นั่นเอง

 

 

* * *

 

 

‘อย่างนี้นี่เอง’

 

 

ผมเข้าใจในสิ่งที่แพคซอยอนพูดเมื่อครู่พร้อมกับมองบรรดาเวทและลูกธนูต่างๆ ที่ถูกยิงผ่านร่างของผมไป ผมนึกสงสัยว่าทำไมต้องให้สิบคนนั้นถอยหลังไปด้วย แต่ดูแล้วแพคซอยอนน่าจะออกมาถ่วงเวลาข้างหน้าไว้ ในขณะที่คนอื่นๆ คอยซุ่มเตรียมระดมยิงนั่นเอง ผมคิดว่าบางทีพวกมันอาจจะจัดการกับเหล่าผู้เล่นที่อยู่ด้านหลังเสียก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยมาใช้กลยุทธ์ในการกำจัดผมเป็นรายต่อไป

 

 

เคร้ง!

 

 

ในขณะที่ผมกำลังสับสนว่าจะบุกเข้าไปฝั่งนั้นดีไหม แต่สุดท้ายแล้วผมก็ได้หยุดการกระทำไว้เพียงเท่านั้น เพราะว่าที่ที่เหล่าผู้เล่นรวมตัวกันอยู่นั้นมีเสียงอันน่าหวาดเสียวของไทร์ฟิงค์ดังขึ้น พร้อมกับเวทมนตร์ดำมืดอันแสนน่ากลัวกำลังแผลงอำนาจออกมา เงาสลัวค่อยๆ เข้ามาปกคลุมบริเวณโดยรอบ ผมค่อนข้างกังวลอยู่เล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวโกยอนจูและผู้เล่นคนอื่นๆ

 

 

ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทางเลือกที่ยังคงหลงเหลืออยู่สำหรับตอนนี้ มีอยู่เพียงสองทาง ผมจ้องไปทางที่แพคซอยอนอยู่ หลังจากนั้นจึงกวาดตามองพวกเร่ร่อนที่เตรียมระดมยิง จริงๆ แล้วผมรู้สึกประหลาดใจมากที่แพคซอยอนสามารถพาตัวเองลุกขึ้นมาได้อยู่ เพราะสมองหล่อนได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรงมาก ไหนจะแขนที่เสียไป กับท้องที่โดนต่อยรัวเข้ามาไม่ยั้ง แต่หล่อนก็ยังดื้อดึงจนสามารถลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง

 

 

ถึงผมจะชื่นชมจิตใจที่ห้าวหาญของหล่อน แต่มันก็เพียงเท่านั้น หล่อนได้สูญเสียศักยภาพในการสู้รบไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย อาวุธที่ใช้ประจำก็สูญหาย มิหนำซ้ำยังเหลือแขนอยู่เพียงข้างเดียว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่หล่อนจะสามารถกลับมาสู้ได้เหมือนเมื่อก่อน

 

 

ผมคิดดังนั้นแล้วจึงตัดสินใจได้ สิ่งที่ต้องจัดการเป็นอันดับแรกคือทำลายพวกซุ่มระดมยิงให้สิ้นซาก ก่อนที่จะไปจัดการกับแพคซอยอนและพวกเร่ร่อนที่อยู่รอบๆ ดังนั้นผมจึงมุ่งหน้าไปยังที่แห่งนั้น แล้วบุกเข้าไปอย่างทันท่วงที

 

 

เป้าหมายแรกของผมคือเหล่านักเวท เดิมทีแล้วอาจเป็นเพราะพลังต้านทานเวทของผมก็คล้ายกับพวกสัตว์ประหลาดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพลังเวทของเหล่านักเวททั้งหลายที่ล้วนแล้วแต่มีความสามารถนั้น จะมาประมาทผมไม่ได้เลยละ สิ่งที่สำคัญคือผมจะต้องรีบจัดการพวกมันโดยเร็ว

 

 

พวกเร่ร่อนเริ่มจ้องมายังผม ไม่รู้ว่าเห็นผมที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้หรือไม่ เหล่านักเวทเชื่อฟังคำสั่งของแพคซอยอน โดยการถอยหลังเข้าไป ในขณะที่เหล่านักธนูกำลังเล็งเป้ามาทางผม

 

 

และในตอนนั้นเองผมรู้สึกว่าเหล่านักสู้ระยะประชิดกำลังเล็งและพุ่งตัวมาทางด้านหลัง คงคิดว่ามีผมเพียงแค่คนเดียว เลยจะใช้กลยุทธ์ในการล้อมกักตัวผมไว้อย่างแน่นอน กลยุทธ์นี้สามารถมองว่าเป็นการเฝ้าระดมยิงได้เช่นเดียวกัน

 

 

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

 

 

ผมกะเวลาให้เหมาะสมที่สุด แล้วจึงป้องปัดลูกธนูที่กำลังพุ่งเข้าใส่ เจ้าพวกที่อยู่ด้านหน้านี้ หากไม่ใช่นักธนูเก่าก็คงเป็นนักเวทแน่นอน พูดง่ายๆ ก็คือ หากลดระยะทางเข้าหาอีกฝ่ายได้ ทุกคนตรงนั้นก็เปรียบเสมือนเหยื่อที่ตกอยู่ในกำมือเรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่ผมคิดว่าจะต้องเข้าไปจัดการพวกมันโดยเร็วที่สุด ผมจึงถนอมพลังเวทของผมไว้ในเกียรติยศแห่งวิคตอเรีย แล้วจึงฟาดดาบลงไปด้านหน้าทันที

 

 

เคร้ง!

 

 

กระแสบางอย่างที่มีรูปร่างคล้ายใบพัดซึ่งผมเคยเห็นมาก่อนที่จัตุรัสเข้าโอบล้อมพวกเร่ร่อนที่อยู่ตรงนั้น คนที่อยู่ตรงท้ายสุดทั้งซ้ายและขวาหรือแม้กระทั่งพวกที่คอยซุ่มอยู่ด้านหลังต่างรีบหลบหลีกโดยทันที แต่พวกเร่ร่อนที่อยู่ตรงกลางกลับไม่ทำเช่นนั้น พวกมันรีบโผตัวทะยานขึ้นสู่ด้านบนอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงให้ไม่ตกอยู่ในกระแสเวทมนตร์เหล่านั้น

 

 

และ ณ วินาทีนั้น ผมจึงลงมือวาดดาบขึ้นไปข้างบน จึงทำให้กระแสเวทมนตร์นั้นเปลี่ยนทิศทางพุ่งทะยานขึ้นสู่ด้านบนทันทีทันใด

 

 

เฟี้ยว!

 

 

“อ๊าก!”

 

 

“อึก…อ๊าก!”

 

 

ในความวุ่นวายนั้นไม่รู้ว่าผมปลุกพลังเวทขึ้นมาต้านทานไว้หรือไม่ เพราะหลังจากนั้นก็เกิดดอกไม้ไฟปะทุออกมาชั่วครู่หนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กำลังพลที่โผตัวขึ้นมาถูกเฉือนอวัยวะบางส่วนของร่างกายออกไป ผมจัดการพวกมันไม่ให้มาเกะกะขวางทางได้สำเร็จ ผมจึงสามารถบุกเข้ามายังจุดศูนย์กลางของการระดมยิงในครั้งนี้ได้ 

 

 

ผมวาดดาบลงไปตรงพวกเร่ร่อนที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยทันที อาจเป็นเพราะพวกมันยังงงกับความเร็วที่ผมพุ่งเข้ามา เลยไม่รู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไร จึงทำให้ดาบแห่งแสงส่องกะพริบอยู่บนใบหน้าของมัน หลังจากจึงบังเกิดรอยแผลสีแดงเข้มตรงกลางหน้า

 

 

หลังจากนั้นผมจึงไปกำจัดพวกเร่ร่อนที่มาเพิ่มอีกสองคน ซึ่งสองคนนี้อยู่ในระยะวิถีกระสุน แล้วจึงค่อยมุ่งหน้าไปหาเหล่านักเวทต่อทันที