บทที่ 52-1 คุกในมรสุม โดย Ink Stone_Fantasy
คุณสาวใช้เข้าใจภูมิหลังของเจ้าของร้านอย่างถ่องแท้
เธอคิดว่าเจ้าของร้านจะหยิบรูปเก่านี้กลับไปด้วย แต่เจ้าของร้านกลับแปะมันกลับไปบนผนังตามเดิม
เจ้าของร้านยิ้ม แล้วยื่นมือออกไปลูบมันทีหนึ่ง ให้มันดูเหมือนไม่เคยถูกดึงลงมาแม้แต่ครั้งเดียว
ลั่วชิวเพียงหยิบมือถือออกมาถ่ายภาพเก่านี้เก็บไว้เท่านั้น
ตอนนี้ลั่วชิวถึงได้จ้องไปทางโยวเย่ พูดเสียงเบาว่า “ถ้ารูปบนผนังนี้หายไปแม้แต่รูปเดียวก็คงดูไม่สวยนัก จริงไหม?”
คุณสาวใช้พยักหน้าเบาๆ
ลั่วชิวดึงมือเธอขึ้นมาวางบนขอบหน้าต่าง เขาเปิดบานเกล็ดแบบโบราณของที่นี่ขึ้นมาเพื่อเพิ่มแสงสว่างจากแสงแดด พร้อมกับยิ้มแล้วพูดว่า “มาสิ ฉันช่วยถ่ายให้เธอรูปหนึ่ง”
โยวเย่ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ทำตามอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะเธอตอบสนองความต้องการของนายท่านจนคุ้นชิ้นไปเสียแล้ว
คุณสาวใช้ไม่ได้เดินไปอยู่ใต้แสงแดดตรงๆ เธอรู้ว่าตัวเองควรยืนอยู่ตำแหน่งไหนจึงจะได้แสงสวย
แต่เจ้าของร้านไม่ได้ใช้มือถือในมือมาถ่าย ทันทีที่เขาพลิกฝ่ามือ กล่องไม้สีวอลนัทกล่องหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
ก็แค่สมบัติชิ้นหนึ่งที่หยิบออกมาจากห้องเก็บของของสมาคมเท่านั้น
เขาเปิดกล่องไม้ออก ข้างในใส่กล้องถ่ายรูป…เป็นสิ่งที่เจ้าของร้านต้องการใช้ขณะนี้
กล้องฮาสเซลบลาด 500C แต่งขอบสีทอง
เจ้าของร้านก้มหน้า บิดเอวเล็กน้อย มองไปที่เลนส์บนกล้องฮาสเซลบลาด 500C “อืม ถึงไม่ได้ทำผมทรงจีนโบราณ แต่เธอก็เอาอยู่ทุกชุดจริงๆ เชิดคางขึ้นหน่อยสิ”
เวลาผ่านไปไวราวกับเสียงกดชัตเตอร์ที่ดังขึ้น จากนั้นก็เลือนหายไปอย่างเงียบๆ
…
…
เมื่อเหล่าเฝิงเปิดประตูเหล็กบานนั้นออก เวลาก็เหมือนจะเริ่มเดินอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากเปิดประตูเหล็กออกแล้ว เหล่าเฝิงก็มองไปยังช่องประตูด้านในแวบหนึ่ง เขาซ่อนใบไม้ใบหนึ่งไว้ใต้ประตูบานนี้…ถึงตอนนี้มันก็ยังเสียบอยู่ที่เดิมเป็นอย่างดี
ตรงตำแหน่งที่สูงจากข้อเท้าไม่มาก
ตอนนี้เหล่าเฝิงถึงได้รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขายื่นมือไปหยิบใบไม้ออกมา แล้วถึงเปิดประตูเดินเข้าไป เหล่าเฝิงมองห้องเก่าๆ นี้อย่างพินิจพิเคราะห์
แต่เขาก็ยังไม่วายรู้สึกสงสัยอยู่ดี แต่ก็ไม่เห็นว่าตรงไหนผิดปกติไปแต่อย่างใด เหล่าเฝิงส่ายหน้า คิดว่าตัวเองคงจะคิดมากเกินไป
เหล่าเฝิงรีบปิดประตูทันที แล้ววางกล่องอุปกรณ์ของตัวเองลง วันนี้เขาไม่ได้เริ่มทำงานทันที แต่หยิบสมุดที่จดส่วนสูงของซย่ามั่นออกมาเปิดดูอย่างรวดเร็ว
เหล่าเฝิงถือกรรไกรขึ้นมา แล้วเดินไปยังมุมกำแพง เขาใช้ตลับเมตรวัดตามความสูงของซย่ามั่น
เหล่าเฝิงสลักส่วนสูงนี้ลงบนกำแพงอย่างระมัดระวัง
แม้ว่ามันจะใหญ่กว่ารอยขีดอีกหลายรอยบนมุมกำแพง แต่เหล่าเฝิงก็พอใจกับรอยขีดนี้ที่สุด
เหล่าเฝิงลูบรอยขีดนี้อย่างเบามือ ก่อนเผยรอยยิ้มน้อยๆ
เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตัวเองยังมีวันได้จดบันทึกแบบนี้อยู่ด้วย…เหล่าเฝิงรู้สึกว่าสิ่งนี้มีค่ามากเหลือเกิน มากเสียยิ่งกว่าชีวิตของเขาอีก
…
…
นักโทษหลบหนีไม่สามารถใช้ข้ออ้างมาบิดเบือนเรื่องราวในอดีตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักโทษที่ถูกมองว่าเป็นตัวอันตรายอย่างยิ่ง
นอกจากประกาศนำจับตามสถานีโทรทัศน์อย่างเป็นทางการแล้ว ก็ยังมีการตั้งองค์กรเล็กๆ ขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษด้วย
นอกจากแผนกที่เซอร์หม่าดูแลแล้ว ในห้องประชุมก็ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่แบ่งออกเป็นสองกลุ่มอยู่ด้วย
พวกเขากำลังรายงานสถานการณ์ล่าสุดกันอยู่
“สองวันนี้ คนของพวกผมคอยเฝ้าอยู่ตามสถานีขนส่ง สถานีรถไฟ ไปจนถึงสนามบิน แต่ยังไม่พบร่องรอยของคนร้ายเลย”
“ผมตรวจสอบพวกเจ้าของรถเถื่อนผิดกฎหมายมาหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่พบเบาะแส จ้าวหรูไม่ได้ทิ้งบันทึกการใช้จ่ายเอาไว้เลย แต่พวกผมก็ให้ธนาคารอายัดบัญชีของเธอไว้แล้ว”
“ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานจากสายของเรา แล้วเธอก็ไม่ได้ย้อนกลับไปที่พักเดิมของเธอด้วย”
“เซอร์หม่าครับ เป็นไปได้ไหมที่จ้าวหรูจะหลบหนีออกจากเมืองนี้ไปแล้ว? เธออาจจะให้เพื่อนช่วยพาเธอออกไป แล้วถ้าเป็นอย่างที่ว่า พวกเราก็ไม่รู้ว่าเพื่อนของเธอเป็นใคร โอกาสที่เธอจะหนีไปได้มีสูงมาก พวกเราขอกำลังเสริมจากเขตอื่นดีไหมครับ?”
“อืม” หม่าโฮ่วเต๋อเคาะปากกาแล้วพูดว่า “ผมแจ้งเขตอื่นไปแล้ว พวกเขากำลังเริ่มปฏิบัติการ แต่ผมคิดว่าโอกาสที่เธอจะไปจากเมืองนี้มีน้อยมาก”
“เซอร์หม่าครับ คุณคิดว่าคนร้ายยังอยู่ที่นี่หรือครับ?” ตำรวจนายหนึ่งถามอย่างฉงน “เธออยู่ในรายชื่อประกาศตามจับแล้ว เธอจะอยู่ที่นี่ต่อเพื่ออะไรล่ะครับ?”
หม่าโฮ่วเต๋อพูดเสียงเข้ม “ยังจำได้ไหม ครั้งก่อนที่เธอคิดจะหนีเธอพกอะไรติดตัว?”
“เธอมี…มีข้อมูลพวกนั้น!”
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง เธอใช้รูปที่มีผลต่อสภาพจิตพวกนั้นมาขู่นักเรียนในสถาบันสอนพิเศษ พวกผมสันนิษฐานว่าเธอคงกลัวว่าเรื่องจะแดงจึงหนีไปเพราะกลัวความผิด แต่ก่อนจะหนีหายไป ทำไมเธอถึงไม่ทำลายหลักฐานที่เกือบทำให้ตัวเธอถึงตายได้? แล้วยังเอาติดตัวไปด้วย?”
“เซอร์หม่า คุณจะบอกว่านักเรียนที่มีรูปอยู่ในโน้ตบุ๊กของเธอยังเป็นเป้าหมายของเธองั้นหรือครับ?” นายตำรวจถามอย่างตะลึง “เธอยังกล้าลงมืออีกเหรอครับ?”
“แต่ว่า ผมเคยสอบปากคำจ้าวหรู…ผู้หญิงคนนี้มีปัญหาทางจิตนิดหน่อย” ตำรวจอีกนายเอ่ยขึ้น “สำหรับนักโทษที่ผิดปกติทางจิตแล้ว พวกเราใช้ความคิดของคนปกติไปวิเคราะห์การกระทำของเธอได้ยาก”
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า “ใช่แล้ว ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน การเฝ้าสถานีขนส่งหรือสถานีรถไฟเพื่อหาคนแบบนี้เท่ากับงมเข็มในมหาสมุทรอย่างไม่ต้องสงสัย สู้สืบหาจากนักเรียนที่อยู่ในข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้ หลินเฟิง คุณช่วยจัดคนให้ที ใช้วิธีอะไรก็ได้เพื่อติดต่อนักเรียนในรูปพวกนั้นให้เร็วที่สุด ดูว่าช่วงนี้พวกเขาได้รับพวกอีเมลอะไรน่าสงสัยบ้างหรือเปล่า…จำไว้ว่าต้องดูสภาพจิตใจของนักเรียนพวกนี้ให้ดีๆ ด้วย!”
หลินเฟิง…นายตำรวจหนุ่มผู้น้อยรีบพยักหน้า
เขาต้องทุ่มเทให้มากขึ้น…ยังไงเขาก็ทำผิดฐานปล่อยให้นักโทษหนีหายไป เขาจึงตั้งใจเป็นพิเศษ
“เอาล่ะๆ ไปทำงานได้แล้ว!” เซอร์หม่าตบมือไล่ทุกคนออกจากห้องประชุมไป
เขามองหวังเย่ว์ชวนที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องแวบหนึ่ง แล้วจึงพูดอย่างเฉยเมยว่า “เพื่อนร่วมงานหวัง พวกผมใช้ห้องประชุมเสร็จแล้ว แต่ยังเก็บกวาดข้าวของที่นี่ไม่ได้ คุณก็ทนๆ ไปก่อนแล้วกันนะ”
“ไม่เป็นไร” หวังเย่ว์ชวนเพียงก้มหน้าพิมพ์โน้ตบุ๊กของตัวเอง ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
หม่าโฮ่วเต๋อยักไหล่…ที่จริงความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย
แต่ขณะที่เซอร์หม่าก็กำลังจะออกจากห้องประชุมไป สีหน้าเขากลับเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาราวกับเจอผี เดิมทีเขาคิดว่าจะหลบอยู่ในห้องประชุมไปเสียเลย แต่ก็นึกได้ว่าหวังเย่ว์ชวนอยู่ที่นี่ เขาจึงต้องแข็งใจเดินออกไป…