ตอนที่ 6 กู่ฉี โดย Ink Stone_Fantasy
หลังจากยักษ์ทั้งสี่ตนแหงนหน้าคำรามแล้ว ก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปเขม็ง หลังจากเสียงดังสวบ พวกเขาก็กลายเป็นเงาราง
แม้จะกล่าวว่าความเร็วด้อยกว่าร่างจริง แต่ก็เร็วเสียจนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง “ไม่เสียทีที่กายหยาบของอสนีโรจน์ผู้นี้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งของโลกทิพย์ทั้งห้า แม้แต่ร่างยักษ์ที่แบ่งออกมาก็ยังรวดเร็วถึงเพียงนี้”
“ตู้มมมม…”
ยักษ์ทั้งสี่ตนก่อให้เกิดเส้นโค้งสายแล้วสายเล่าล้อมโจมตีไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ฝ่ามือของพวกเขาราวกับสลักเสลาขึ้นจากหิน บ้างก็ตะปบเข้ามา บ้างก็คว้าเข้ามาในรูปแบบของกรงเล็บ บ้างก็ฟาดฟันเข้ามาอย่างดุเดือด…แม้การโจมตีจะยังไม่กระทบถูกร่าง แต่อานุภาพก็ทำให้มิติรอบด้านเริ่มแตกออกเสียงดังเปรี๊ยะๆๆ ราวกับกระจก รอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
นี่คือพละกำลังที่ปะทุออกมาอย่างเต็มที่! พวกมันล้วนถูกประมุขเจดีย์อสนีควบคุมโดยมองข้ามเขตลวงไป
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง เส้นสายของระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่คลุมไปทั่วฟ้าแล้วพันธนาการยักษ์ทั้งสี่ตนเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทำให้ความเร็วของพวกเขาลดลงเล็กน้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า อานุภาพของแผนภาพคลื่นจานก็ยังไม่เพียงพอ หากสามารถก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง จนถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกได้ ก็จะมีประโยชน์มากทีเดียว
ทว่าบริเวณระลอกคลื่นเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น ท่าไม้ตายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์
ทันใดนั้นโลกลวงสิบสองแห่งก็ก่อให้เกิดประกายอันสว่างเรืองรองระลอกหนึ่งขึ้นมา
ฟิ้วๆๆ…ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สิบสองสายร่อนลงมาจากความเลือนราง ตอนที่พวกมันปรากฏขึ้นมาก็ขวางอยู่ที่หน้ายักษ์สี่ตนพอดี และใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ทุกสามสายก็ล้อมโจมตีไปทางยักษ์หนึ่งตน
“ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สิบสองสายหรือ” ประมุขเจดีย์อสนีซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปด้วยความมั่นใจในตนเองเป็นอย่างมากมาตลอด เมื่อเห็นเข้าสีหน้าก็เปลี่ยนแปรไป
“ตู้มๆๆ…”
ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สิบสองสายปะทะเข้ากับยักษ์สี่ตน ยักษ์แต่ละตนเปล่งเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวออกมาพลางกวัดแกว่งฝ่ามือเข้าไปรับเอาไว้
ด้านหนึ่งคือร่างยักษ์ทั้งสี่ที่ประมุขเจดีย์อสนีฝึกขึ้นมา ซึ่งมีความสามารถในการต่อสู้ประชิดตัวขั้นสุด
ด้านหนึ่งคือใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ซึ่งรุกโจมตีเข้ามาถึงสิบสองสายด้วยกัน!
สิ้นเสียงร้องสั่นสะเทือนทั่วฟ้า
ลูกหลงจากการต่อสู้ของใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สายหนึ่งก็กวาดออกไปกว่าหมื่นลี้แล้ว ลูกหลงจากฝ่ามือของเหล่ายักษ์ที่กวัดแกว่งออกมายิ่งกวาดออกไปเป็นวงกว้างหลายหมื่นลี้ ไปจนกระทั่งหลายแสนลี้! นี่มิใช่ฝ่ามือของยักษ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากแต่เป็นพละกำลังของใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ที่เก็บงำและรวมตัวกันต่างหาก การโจมตีของเหล่ายักษ์ปะทุรุนแรงบ้าคลั่งและเปิดเผยมากกว่า
รอจนใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สลายหายไป ยักษ์สี่ตนยืนอยู่บนผืนดินอันเวิ้งว้าง พวกเขาแต่ละตนล้วนมีบาดแผลฉกรรจ์อยู่ บาดแผลบางส่วนแทบจะทำให้ร่างกายฉีกขาดไปกว่าครึ่ง ทว่าพวกเขาก็ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ส่วนผืนดินแห่งนี้…
บริเวณหลายแสนลี้รอบด้านกลายเป็นซากปรักหักพังไปหมด พื้นที่เขียวชอุ่มซึ่งเดิมทีเต็มไปด้วยชีวิตชีวาถูกทำลายไปกว่าครึ่ง
นี่คือโลกทิพย์ ลูกหลงจากการต่อสู้ก็ทำลายพื้นที่ไปหลายแสนลี้ นี่จะต้องเป็นการประมือของระดับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเป็นแน่ แต่แน่นอนว่าเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่ค่อนข้างจะอ่อนแอ! หากเป็นผู้ที่อาวุโสหน่อย ลูกหลงจากการต่อสู้ภายในโลกทิพย์จะแผ่ออกไปกว่าล้านลี้ก็เป็นเรื่องปกตินัก
“สามารถต้านทานรูปยักษ์ทั้งสี่ของข้าได้ ก็ควรค่าแก่การให้ข้าทุ่มเทสุดกำลังจริงๆ” ในที่สุดประมุขเจดีย์อสนีซึ่งอยู่ห่างออกไปก็ขยับแล้ว
สวบ!
เขามิได้สำแดงเคล็ดบริเวณที่ค่อนข้างลือชื่อของเขาออกมา หากแต่เข้าใจว่า ตงป๋อเสวี่ยอิงคือขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเขาเคยพบเจอมาอย่างแน่นอน วิธีการตามปกติก็เป็นการสิ้นเปลืองเวลาอย่างสิ้นเชิง
“นี่จึงจะเป็นท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุด รับกระบวนท่าเสียเถอะ”
เสียงแทรกเข้าไปในหูของตงป๋อเสวี่ยอิง
ประมุขเจดีย์อสนีกลับแปรเป็นลำแสงสายหนึ่งมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง รวดเร็วเกินไปแล้ว ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ไม่นับว่าไกลนัก ความเร็วอันน่าหวาดหวั่นของประมุขเจดีย์อสนี แทบจะไม่แพ้ผลของการเคลื่อนที่ในพริบตาเลย หากกล่าวว่าความเร็วของร่างยักษ์เหนือกว่าตนเอง เช่นนั้นความเร็วในการสำแดงของประมุขเจดีย์อสนีก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงไปแล้ว ความเร็วแตกต่างกันมากยิ่งนัก
ในฐานะขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้มีร่างกายแข็งแกร่งที่สุด เพื่อจะรักษาชีวิต ร่างจริงของประมุขเจดีย์อสนีมีความเร็วและการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
“ฟิ้ว” “ฟิ้ว”
ฝ่ามืออันขาวซีดทั้งสองของประมุขเจดีย์อสนีตะปบมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงพร้อมกันแบบธรรมดาทั่วไป แต่ฝ่ามือของเขาข้างหนึ่งมีสายฟ้ารายล้อมอยู่ อีกข้างหนึ่งก็มีเปลวเพลิงลุกโชน ดูเหมือนจะธรรมดามาก เมื่อพูดถึงท่าทีแล้วก็อ่อนแอกว่าร่างยักษ์มาก แต่นี่ต่างหากจึงจะเป็นกระบวนท่าที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของประมุขเจดีย์อสนีอย่างแท้จริง
ศาสตร์ลับอสนีโรจน์เป็นสมญาของเขาที่เรียกขานกันภายนอก
ว่ากันว่าตอนที่เขายังอ่อนแอก็ได้ค้นคว้าสายฟ้าและเปลวเพลิงอย่างหลงใหล ไม่เหมือนกับการบำเพ็ญระบบทิพย์ที่ค้นคว้ามากมายหลายสิ่ง ในช่วงแรกประมุขเจดีย์อสนีก็ได้ค้นคว้าสายฟ้าและเปลวเพลิงเพียงสองด้าน ภายหลังจึงค่อยๆ ค้นคว้ากายหยาบ เขาผนวกกำลังของสายฟ้าและเปลวเพลิงเข้าด้วยกันและคิดค้นศาสตร์ลับอสนีโรจน์ขึ้นมาเอง อานุภาพสั่นสะท้านไปทั่วทุกทิศอย่างแท้จริง
ขณะร่างจริงเข้าโจมตี ร่างยักษ์อีกสี่ร่างยังคงคำรามพลางรุกโจมตีเข้ามาอีกครั้ง
“ตู้มๆๆ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงแบ่งสมาธิไปสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สิบสองสายขัดขวางยักษ์ทั้งสี่ตนอีกครา ขณะเดียวกันเหนือฝ่ามือทั้งคู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันมีเกล็ดสีดำปรากฏขึ้นมา มือทั้งสองข้างดุจดั่งสัตว์ร้านอันไร้เทียมทาน กลิ่นอายเข่นฆ่าแผ่กลิ่นอายออกมา จากนั้นฝ่ามือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พุ่งตรงออกไปข้างหน้าราวกับกระบี่สองเล่ม
แคว่กกก…
ฝ่ามือที่มีเกราะเกล็ดสีดำปกคุลมคู่หนึ่งตรงเข้าไปรับฝ่ามือของประมุขเจดีย์อสนีซึ่งหน้า มุมปากของประมุขเจดีย์อสนีกระดกขึ้นเล็กน้อย แล้วจงใจเข้าไปรับเช่นเดียวกัน เขาก็เป็นคนที่หยิ่งทระนงคนหนึ่ง แล้วจะหลบเลี่ยงไปได้อย่างไรกัน
ชั่วขณะที่ปะทะกันนั่นเอง ฝ่ามือทั้งคู่ของประมุขเจดีย์อสนี สายฟ้าที่มือซ้ายพลันกลายเป็นเปลวเพลิง ส่วนเปลวเพลิงที่มือขวากลับกลายเป็นสายฟ้า การเปลี่ยนแปลงในชั่วขณะเช่นนี้ทำให้อานุภาพอันน่าหวาดหวั่นปะทุออกมา
ส่วนฝ่ามือของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับอาจหาญเหิมเกริม เงารางของกรงเล็บหน้าขนาดมหึมาคู่หนึ่งปรากฏขึ้น แล้วแทงออกไปอย่างดุเดือดพร้อมกับฝ่ามือของตงป๋อเสวี่ยอิง
ปังงง…
ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน
ทั้งร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงโซซัดโซเซถอยหลังไปหกก้าวอย่างควบคุมตนเองมิได้ แต่ละก้าวล้วนทำให้ผืนดินสั่นสะเทือน ส่วนประมุขเจดีย์อสนีก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เขามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตกตะลึง “เขาสามารถต้านทานท่าไม้ตายอสนีโรจน์ของข้าได้ด้วยหรือนี่
ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น ฝ่ามือเกราะเกล็ดสีดำทั้งสองมีเงารางของกรงเล็บหน้าขนาดมหึมาปกคลุมอยู่ แววอาฆาตอันน่าหวาดหวั่นแผ่กำจายอออกมา
“ข้าใช้กรงเล็บปาหลงสำแดงกระบี่ที่หกผลาญโลกาออกมา ก็ยังตกเป็นรองอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ
เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดก็คือฝ่ามือคู่หนึ่ง!
หากกล่าวว่าระดับความแข็งแกร่งของเกราะเกล็ดทั่วร่างเพียงพอจะเทียบได้กับอาวุธเทพอากาศชั้นกลาง เช่นนั้นฝ่ามือที่ใช้เป็นอาวุธก็เพียงพอจะเทียบได้กับอาวุธเทพอากาศชั้นบนแล้ว นอกจากนี้มันยังมีความแปลกพิสดารอยู่หลายอย่าง เมื่อใช้มันสำแดงกระบี่ที่หกผลาญโลกาออกมา อานุภาพยังยิ่งใหญ่กว่าใช้อาวุธสำแดงออกมาเสียอีก สามารถกล่าวได้ว่า…ในด้านการต่อสู้ประชิดตัว บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงนับว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ แทงออกไปครั้งหนึ่งก็สามารถฉีกทึ้งยักษ์ตนหนึ่งออกมาได้ น่าเสียดายที่เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของประมุขเจดีย์อสนีก็ยังตกเป็นรองอยู่ดี
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ!
“เข้ามาอีกสิ” ประมุขเจดีย์อสนีคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ตู้ม!
ร่างจริงของเขาบุกสังหารเข้ามาอีกครา ยักษ์สี่ตนก็คำรามพลางบุกเข้ามา ร่างจริงที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งบวกกับยักษ์สี่ตน ในการบำเพ็ญระบบทิพย์ก็นับว่ากระบวนท่าน้อยแล้ว แต่กลับเพียงพอให้กดดันขั้นรวมเป็นหนึ่งคนอื่นๆ ได้ เพราะถึงอย่างไรบัดนี้โลกทิพย์ทั้งสามก็ยังไม่มียอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดถือกำเนิดขึ้นมา! ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อว่าตนสามารถปะทะได้ แต่อย่างน้อยเขาก็มิได้เข้าไปบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดอย่างแท้จริง
“ทำได้ดีนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปะทุขึ้นมาแล้ว
ฝ่ามือเกราะเกล็ดสีดำซึ่งแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายทำลายล้างและเข่นฆ่าเข้ารับการโจมตีซึ่งหน้า ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สายแล้วสายเล่าร่อนลงมาจากความว่างเปล่า ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขั้นแบ่งใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สี่ห้าสายร่วมกับตนเองเข้าล้อมโจมตีประมุขเจดีย์อสนี! เพราะถึงอย่างไรใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์แค่แปดสาย…ก็เพียงพอที่จะสกัดกั้นยักษ์สี่ตนเอาไว้ได้แล้ว
การห้ำหั่นประชิดตัวของร่างจริงบวกกับใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อยๆ เป็นฝ่ายได้เปรียบขึ้นมา
“อะไรน่ะ”
ประมุขเจดีย์อสนีโกรธเกรี้ยวหาใดเปรียบ
แม้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งเสียจนสามารถฝืนต้านทานใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ได้ แต่อานุภาพของใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ยิ่งใหญ่เกินไป เมื่อฝืนต้านทานก็ทำให้เขาถูกกระแทกจนกระเด็นถอยหลังไปจนความเคลื่อนไหวในการต่อสู้ได้รับผลกระทบ หากพูดถึงเคล็ดลับแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ยังตกเป็นรอง ฝ่ามือทั้งสองกลับกระทบเข้ากับร่างของประมุขเจดีย์อสนีอยู่บ่อยครั้ง
ปังๆๆ…
แม้ประมุขเจดีย์อสนีจะมิหวั่นเกรง แต่กลับถูกกระบวนท่าเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า
“เฮอะ” ทันใดนั้นประมุขเจดีย์อสนีก็พลันถอยกรูดจนถึงที่ไกลออกไป ร่างยักษ์ทั้งสี่ก็พลันกลายเป็นเลือดเนื้อแล้วลอยไปทางเขาก่อนจะหลอมรวมเข้าไปในกายเขา เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งแวบหนึ่ง คร้านที่จะพูดให้มากความ เขากวัดแกว่งฝ่ามือออกไป สายฟ้าและเปลวเพลิงในมือกะพริบวาบขึ้นมา แล้วแหวกทางเชื่อมมิติขึ้นมาสายหนึ่ง เขาสาวเท้าเข้าไปในนั้นแล้วจากไปทันที
ประมุขเจดีย์อสนีรู้สึกอดสูใจนัก
การรุกโจมตีของเขาดุเดือดมาก ยักษ์ทั้งสี่ล้วนแต่มีการรุกโจมตีที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง บวกกับร่างจริงที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า เมื่อประมือกับขั้นรวมเป็นหนึ่งเขาล้วนเป็นฝ่ายกดดันโจมตีผู้อื่น!
แต่ครั้งนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับโจมตีอย่างบ้าคลั่ง เขาก็ทำได้เพียงอาศัยร่างกายฝืนต้านทานเท่านั้น!
“จากไปเช่นนี้เองน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนับถือฝ่ายตรงข้ามเป็นอันมาก ตนนับมิได้ว่าชนะ เพียงแค่ได้เปรียบด้านการรุกโจมตี ร่างกายของฝ่ายตรงข้ามช่างน่าหวาดหวั่นพอตัวเลยทีเดียว
“เห็นทีพลังของข้าในตอนนี้ยังไม่มีหวังจะบุกฝ่าชั้นที่เจ็ดได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “หรือจะเหมือนที่ข้าคิดไว้ ท่าไม้ตายสุดท้ายที่คิดค้นขึ้นมานั้นเพียงพอที่จะไปบุกฝ่าได้แล้ว”
เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดและเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงล้วนมีผลสำเร็จเช่นทุกวันนี้แล้ว
ขณะที่เหนี่ยวนำ ‘กระจกศิลา’ ก็ได้เหนี่ยวนำเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสองนี้แล้วผสานเข้าด้วยกัน ถึงขั้นก่อให้เกิดดอกไม้สีดำอันชั่วร้ายดอกหนึ่งขึ้นมาได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เฝ้าดูความเร้นลับที่เป็นการหลอมรวมกันของ ‘วิถีโลกเทียม’ และ ‘วิถีเข่นฆ่า’ ในดอกไม้สีดำอันชั่วร้ายนี้…หากนำวิถีทั้งสองสายนี้หลอมรวมเข้าด้วยกันก็อาจจะสามารถคิดค้นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งกว่ากระบี่ที่หกผลาญโลกาและใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ขึ้นมาได้ก็เป็นได้!
……
ตอนนั้นศึกนี้มิได้มีผู้ชม
ทว่าถึงอย่างไรประมุขวังเนตรทมิฬก็ถูกจับไปทั้งเป็น ในสำนักของบรรพชนทิพย์ก็เริ่มตรวจสอบอย่างรวดเร็ว และย่อมตรวจพบภาพการต่อสู้ในตอนนั้นเป็นธรรมดา เมื่อได้เห็น พวกเขาก็พากันแตกตื่น
“อะไรนะ”
“ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่แพ้อสนีโรจน์แม้แต่น้อยเลยหรือ”
“เคล็ดภาพลวงอันน่าหวาดหวั่น ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ การต่อสู้ประชิดตัวอย่างนั้นหรือ”
“อสนีโรจน์เผชิญหน้ากับเขาก็ได้แต่ถกบังคับให้ใช้ร่างกายฝืนต้านรับเท่านั้น นี่ ยี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน”
เมื่อมีผู้ล่วงรู้มากเข้า ข่าวก็ยิ่งแพร่ออกไปได้รวดเร็วขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้รายงานข่าวขึ้นไป เพราะถึงอย่างไรเขาก็ได้จับตัวยอดฝีมือในสำนักของบรรพชนทิพย์มาทั้งเป็น วังทวีสูญตรวจสอบดูก็ตกใจใหญ่
……
ก่อนหน้านี้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าอสนีโรจน์คือขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกทิพย์ทั้งสามในยุคนี้ แต่เพราะศึกนี้ อสนีโรจน์จึงนับมิได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดอีกต่อไปแล้ว! แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็นับมิได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดเช่นเดียวกัน ไม่ว่าพวกเขาคนไหนก็มิได้มีข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัด
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ณ ภูเขาลึกแห่งหนึ่งในโลกทิพย์นิจนิรันดร์มีลานเล็กอยู่แห่งหนึ่ง ภายในลานมีต้นไม้ใบหญ้าน้อยๆ อยู่มากมาย
ภายในลาน
บุรุษผมสีเงินผู้มีเขาเดี่ยวนั่งอยู่บนม้าหินคิ้วสีเงินดุจกระบี่ของเขาเลิกขึ้นมา เขาอดหัวเราะขึ้นมาด้วยความลิงโลดใจมิได้ เสียงหัวเราะสะท้อนก้องไปทั่วลาน กลางอากาศตรงหน้าเขามีภาพหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือภาพการโรมรันกันระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขเจดีย์อสนี
“ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์ของข้ากู่ฉี แม้ข้าจะรับศิษย์แค่เพียงคนเดียว แต่กลับเป็นผู้ที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งของโลกทิพย์ทั้งสามแล้ว สายตาในการรับศิษย์ของข้าช่างดีจริงๆ” บุรุษผมสีเงินผู้มีเขาเดี่ยวรู้สึกลิงโลดใจนัก
…………………………