บทที่ 115 สืบเสาะ (2)
เป็นทหารเผ่าคนเถื่อนกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่ง
ทั้งหมดสวมหมวกสักหลาด ห่มหนังหนา พื้นน้ำแข็งใต้เท้าปริแตกยามพวกเขาก้าวเดิน
มองปราดเดียวซูเฉินก็ระบุได้ว่าเผ่าคนเถื่อนเหล่านี้ไม่ได้มาจากเผ่าอินทรีแดง
เผ่าอินทรีแดงไม่สวมหมวกสักหลาด พวกเขาชอบสวมหมวกขนสัตว์มากกว่า เพราะสวมหมวกสักหลาดไม่กันความหนาว ทำให้รู้สึกหนาวได้ง่าย
หากไม่ใช่ทหารเผ่าคนเถื่อนในพื้นที่ เช่นนั้นมาที่นี่ทำไมกัน ?
ครุ่นคิดแล้วก็ยังไม่จากไป แต่หาต้นไม้ที่ยังไม่โค่นหลบอยู่ด้านหลัง
ทหารเผ่าคนเถื่อนค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามา เห็นได้ชัดว่าได้รับการฝึกฝนมาดี คนหัวหน้าเต็มไปด้วยอักขระสีเข้ม คงมีฐานะสูงส่งไม่น้อย คงแกร่งสูสีกับด่านทะลวงลมปราณ แม้วิถีการต่อสู้อาจจะเรียบง่าย แต่ต้องมีกำลังเหนือคาดหมายแน่ หัวหน้าเผ่าคนเถื่อนกลุ่มนั้นกระทั่งมีพลังต้นกำเนิดเล็ดลอดออกมา ชี้ให้เห็นว่าอาจจะเป็นนักรบอารามด้วย
เช่นนี้ลำบากแน่ อีกฝ่ายเป็นทหารผู้เชี่ยวชาญพลัง ทั้งยังมีร่างกายแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ
ไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ เผ่าคนเถื่อนส่วนมากจะบ่มเพาะร่างกาย
พวกเขาพึ่งพาอักขระโทเทม ที่แบ่งออกเป็นสี่ระดับ ตรงกับระดับผู้เชี่ยวชาญพลัง คือด่านก่อเกิดลมปราณถึงด่านสู่พิสดาร ซึ่งจริง ๆ แล้วจะสูงไปกว่านี้ไม่ได้อีก หรือก็คือหากเผ่าคนเถื่อนพึ่งพาเพียงระบบนี้ก็จะไปได้เพียงด่านสู่พิสดารเท่านั้น ทว่าเมื่อผ่านอารามพลังต้นกำเนิดมาแล้ว ก็จะได้การบ่มเพาะพลังเช่นมนุษย์มา ทำให้สามารถดำเนินจากด่านก่อเกิดลมปราณไปยังด่านสู่พิสดารและไปได้ไกลกว่านั้น
ทว่าเผ่าคนเถื่อนเหล่านี้จะต้องผ่านอารามพลังต้นกำเนิดทุกครั้งที่อยากทะลวงด่านให้สูงขึ้น ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญพลังเผ่าคนเถื่อนระดับสูงทั้งหลายจึงจำต้องผ่านอารามพลังต้นกำเนิดหลายครั้ง แต่มากสุดก็ได้เพียง 6 ครั้งเท่านั้น หมายความว่านักรบอารามจะทะลวงด่านได้ถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินเท่านั้น ไม่อาจไปถึงด่านมหาราชันได้
ทว่าการที่ขาดพลังต้นกำเนิดนั้นก็ได้ร่างกายที่แข็งแกร่งเหลือล้นมาทดแทน ในเมื่อนักรบอารามเองก็บ่มเพาะไปควบคู่กันทั้งสองระบบ จึงสามารถทำลายข้อจำกัดทางร่างกายหลังจากถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน เกิดความสงบสุขระหว่างสองระบบที่บ่มเพาะ ด้วยร่างกายหาใครเทียมและพลังด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน อย่างไรก็ต่อกรด่านมหาราชันได้แน่
นักรบอารามตรงหน้าเขามีอักขระเป็นระบบดีไม่น้อย ดูท่าจะผ่านการเจิมน้ำมนต์ในอารามมาก่อน ซูเฉินไม่รู้ว่ากี่ครั้ง แม้จะแค่ครั้งเดียว แต่ก็รับมือยากแล้ว ทั้งยังมีทหารเผ่าคนเถื่อนด้านหลังอีกเจ็ดแปดคนอีก
ต้องเป็นทหารชั้นดีแน่ ไม่แน่ว่าเป็นกลุ่มที่ทำงานลับโดยเฉพาะ ซูเฉินคิด
เขาสังเกตว่านัยน์ตาของเผ่าคนเถื่อนพวกนี้แตกต่างกันชัดเจน เพราะมันส่องแสงสีเขียวเรือง
ผู้มีตาทิพย์
ผู้มีตาทิพย์ไม่ใช่ผลผลิตจากอาราม แต่เป็นกองทัพที่ใช้วิชาลับฝึกฝนมา เก่งกาจในด้านการมองการแปลงกายของผู้คน
การปลอมตัวของซูเฉินต่อหน้าผู้มีตาทิพย์คงยากลำบากแล้ว
เผ่าคนเถื่อนนั้นมีหลายอาชีพ ผู้มีตาทิพย์เองก็เช่นกัน ในทัพเผ่าคนเถื่อน กระทั่งหน่วยสืบสวนสอบสวนยังไม่ได้มีผู้มีตาทิพย์อยู่ทุกหน่วย กลุ่มชั้นสูงหน่อยถึงจะมีเท่านั้น
นักรบอารามอักขระโทเทมระดับสูงและผู้มีตาทิพย์หรือ ? ไม่น่าเล่า เผ่าคนเถื่อนกลุ่มตรงหน้านี่เป็นกลุ่มระดับสูงไม่ผิดแน่
หน่วยสืบข่าวชั้นยอดมาทำอะไรอยู่ที่นี่กัน ?
คงไม่ใช่….
ในใจพลันเกิดความรู้สึกไม่ดี เขาเร้นกายอยู่ในสสารเงา แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะหลอกผู้มีตาทิพย์ได้
กลุ่มเผ่าคนเถื่อนมาถึงป่ามังกรเหลืองในที่สุด
ผู้นำเผ่าคนเถื่อนโบกมือ ผู้มีตาทิพย์ก้าวขึ้นมา ตรวจสอบพื้นที่โดยรอบป่าอย่างรวดเร็ว
หลังจากค้นดูแล้วจึงเอ่ย “เกิดเพลิงไหม้ขึ้นราวสิบห้าวันก่อน ไม่ง่ายเลยที่จะก่อเพลิงขึ้นในที่รกร้างเยือกแข็ง ป่ามังกรเหลืองยิ่งก่อไฟยาก แต่ก็ยังเกิดเพลิงไหม้ขึ้น ขี้เถ้าชี้ให้เห็นว่าต้นไฟเกี่ยวข้องกันพลังต้นกำเนิด หรือก็คือไม่ได้เกิดเพลิงขึ้นโดยบังเอิญ มีคนจงใจก่อเพลิง ยังมีจุดกำเนิดไฟหลายจุด อย่างน้อยมากถึงสามสิบจุด”
“จุดกำเนิดไฟอย่างน้อยสามสิบจุด ?” ผู้นำเผ่าคนเถื่อนถาม
“ขอรับ !” ผู้มีตาทิพย์ตอบเสียงมั่นใจ “ที่น่าสนใจคือ เพราะสถานที่นี้เยือกเย็นนัก ขี้เถ้าส่วนมากจึงแข็งไปแล้ว แต่ดูจากจำนวนที่เหลืออยู่ เห็นได้ชัดว่ามีต้นไม้ไหม้ไปไม่กี่ต้นเท่านั้น ท่านดู……”
ผู้มีตาทิพย์ปัดกองขี้เถ้าออกไป เผยให้เห็นลำต้นของต้นไม้เบื้องล่าง “มีรอยขวาน หมายความว่าคนล้มมันก่อนไฟจะเริ่ม”
สมาชิกหลายคนของหน่วยสืบสวนเหลือบมองกัน เป็นหัวหน้าที่เอ่ยขึ้น “ไปตรวจที่อื่น”
ทหารเผ่าคนเถื่อนทั้งหมดเริ่มกระจายตัวออก เริ่มไปปัดกองเถ้าตรงอื่นต่อ
“ตรงนี้มีรอยขวาน”
“ตรงนี้ก็เช่นกัน”
“ที่นี่ก็ด้วย ต้นไม้ใหญ่ล้วนถูกโค่นทั้งหมด ไม่ได้ถูกเพลิงโหมจนล้ม !”
เสียงตะโกนดำเนินต่อไป ผู้นำเผ่าคนเถื่อนสีหน้าขรึมลง “แน่นอน พวกมนุษย์เจ้าเล่ห์มันต้องทำอะไรลับหลังแน่ คงจะจงใจมาที่นี่เพื่อไม้มังกรเหลือง !”
“มันจะเอาไม้มังกรเหลืองไปทำอะไรกัน ?” ผู้มีตาทิพย์ถาม แม้จะรู้ว่าศัตรูทำเรื่องน่าสงสัย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกันแน่
ผู้นำเผ่าคนเถื่อนส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ แต่ท่านแม่ทัพรู้แน่ ในเมื่อเขาส่งพวกเรามาที่นี่ ก็คงมีคำในใจแล้ว ส่งข่าวกลับไปให้เขาเถอะ”
พูดจบ ผู้นำเผ่าคนเถื่อนก็เตรียมนำทัพกลับ
แต่ตอนกำลังจะจากไปนั่นเอง ในใจกลับรู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่าง
ความรู้สึกนี้ได้รับการฝึกฝนผ่านการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน หัวหน้าผู้นั้นกระโดดหลบตามสัญชาตญาณ
ควั่บ !
แสงดาบวาดโค้งมาในอากาศ ลอยหวือผ่านด้านหลังไป แทงผู้มีตาทิพย์ด้านหลังเขาแทน
แย่ล่ะ ! ผู้นำเผ่าคนเถื่อนรู้ว่าตกที่นั่งลำบาก มือสังหารจงใจจัดการผู้มีตาทิพย์
การตอบสนองของผู้มีตาทิพย์ก็ไม่เชื่องช้า บิดร่างหลบได้อย่างน่าประหลาด ดาบหั่นภูผาลอยผ่านร่างไป ทว่าแขนข้างหนึ่งกระเด็นไปด้วย
“ระวังด้วย มีการลอบโจมตี !” เสียงร้องดังขึ้น
ทหารเผ่าคนเถื่อนราวสามสี่คนพุ่งใส่ต้นไม้โทรม ๆ ต้นนั้นทันที
คลื่นพลังรุนแรงกระแทกต้นไม้ใหญ่ ตัดผ่านลำต้นจนเกิดเสียงลั่นเปรี๊ยะ ก่อนต้นไม้ใหญ่จะโค่นลงพื้น แต่ก็ไร้การเคลื่อนไหวอื่นใดอีก
“มันอยู่นั่น !” ผู้มีตาทิพย์ชี้ไปบนอากาศพลางร้องลั่น
วิชาซ่อนเงาของซูเฉินแน่นอนว่าไร้ผลกับผู้มีตาทิพย์ และการที่ไม่อาจสังหารผู้มีตาทิพย์ในคราเดียวได้ มันก็ทำให้มาตอนนี้การเคลื่อนไหวของเขาจึงสามารถถูกระบุได้ในทันที
ไม่ใช่ว่าเขาไม่พยายาม แต่การซ่อนหลังต้นไม้นั่นทำให้เขาไม่อาจใช้พลังได้เต็มที่ หากไม่ได้อาวุธวิญญาณและผ้าเท่อลั่วเค่อที่สามารถไล่ศัตรูเองได้แล้ว เขาก็คงตัดแม้แต่แขนข้างนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทหารพวกนี้ชั้นยอดจริง ๆ!
เมื่อผู้มีตาทิพย์ระบุตำแหน่งซูเฉินได้ ทหารเผ่าคนเถื่อนหกคนก็พุ่งเข้าใส่ แต่แทนที่จะโจมตีซูเฉินโดยตรง กลับเล็งไปยังซ้ายขวาของเขา ปิดทางหนีชายหนุ่มจนหมด ทหารอีกองคนถอยออกมาคุ้มครองผู้มีตาทิพย์ ผู้นำเผ่าคนเถื่อนที่เหลืออยู่อีกคนยืนอยู่ตรงกลางทัพเพื่อสนับสนุน
เขาเหลือบมองพื้น สังเกตเห็นว่ามีรอยเท้าเบา ๆ ปรากฏบนพื้นดินที่หนาวเหน็บ
จากนั้นเขาก็ลงมือ
ขาปล่อยหมัดระเบิดพลังที่ซัดพลังออกไปได้ราว 3 จั้ง !!