ฮองเฮาตรัสเช่นนี้ ยามนี้ซือถูจ้าวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

 

 

เขาหน้าขรึมมองฮองเฮา ”หวังว่าท่านจะจดจำคำพูดของตัวเองในวันนี้ พวกเราเป็นพี่น้อง ข้าก็ไม่หวังจะผิดใจกันเพราะเรื่องแบบนี้”

 

 

ฮองเฮาฟังแล้ว ก็เตือนซือถูจ้าวบ้าง “หวังว่าท่านพี่จะเข้าใจชัดเจน หากท่านสนับสนุนองค์ชายรองหรือองค์ชายสาม สุดท้ายแล้วสิ่งที่ท่านจะได้รับก็ไม่มากเท่าสนับสนุนเสียงเอ๋อ อย่างไรเสียท่านลุงกับคนนอกก็ไม่เหมือนกัน”

 

 

ซือถูจ้าวพยักหน้า แค่นเสียงตอบ “ข้าเข้าใจชัดเจน ไม่ต้องให้ท่านเอ่ยมากความ ข้าขอตัวก่อนแล้ว”

 

 

 “เชิญท่านพี่” ฮองเฮาพยักหน้าเกรงใจ

 

 

หลังจากซือถูจ้าวออกจากประตูไป ฮองเฮาสีหน้าเปลี่ยนทันที แผดเสียงสูง “ใครก็ได้”

 

 

สิ้นเสียงนาง นางกำนัลเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก้มหน้าค้อมเอวกล่าว “ฮองเฮา”

 

 

ฮองเฮาพระพักตร์เขียวคล้ำ มองนางกำนัล “ไปตรวจสอบให้ข้า สืบว่านางสารเลวนั่นคือใคร มาจากไหน มีฐานะอะไร ไฉนถึงปรากฎตัวข้างกายองค์ชายสี่ นางมีเป้าหมายอะไร ตรวจสอบมาให้ชัดเจนทั้งหมด ข้าอยากรู้นักว่าเป็นแมงเม่าจากไหนกัน ถึงทำลายแผนการใหญ่ของข้า”

 

 

นางกำนัลไม่เคยเห็นฮองเฮาพิโรธเช่นนี้มาก่อน ยามนี้ยิ่งแตกตื่นตกใจ รีบรับคำสั่ง “เพคะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”

 

 

นางกำนัลเอ่ยจบ ก็รีบออกไปทันที

 

 

มือของฮองเฮากำหมัดแน่น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “นางสารเลวที่ทำลายเรื่องของข้า ข้าไม่มีทางปล่อยนางไปแน่”

 

 

   ……

 

 

 “พี่ชาย พวกเขายังไล่ตามมาอีกหรือเปล่า” ซือถูเฉียงมองไปด้านหลังด้วยความหวาดกลัว

 

 

ซือถูเฟิงแบกนางหนีเอาชีวิดรอด

 

 

หน้าผากของผู้เป็นพี่มีเหงื่อซึม เสียงต่ำเอ่ยว่า “คำสั่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พวกเขาไม่กล้าไม่ตาม แค้นก็แต่ตอนนั้นข้าไม่ฆ่าสตรีนางนั้นทิ้งเสีย ช่าง…”

 

 

ซือถูเฟิงเอ่ยถึงบัดนี้ ก็กัดฟันกรอด

 

 

นี่กลับดึงความสงสัยของซือถูเฉียงขึ้นมา ซือถูเฉียงมองเขาด้วยความแปลกใจ “ท่านไม่อาจฆ่าสตรีนางนั้น? ตอนนั้นท่านมีโอกาสฆ่านาง?”

 

 

ซือถูเฟิงสูดลมหายใจลึก คิดถึงความอัปยศที่ข้างริมแม่น้ำในวันนั้น กัดฟันเอ่ยว่า “ข้างกายนางมียอดฝีมือ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา เพียงแต่วรยุทธ์ของเด็กหนุ่มนั่น รวดเร็วมากจนน่าแปลกใจ วรยุทธ์สายนี้ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเขาคือนักฆ่า”

 

 

เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา พลันฉุกคิดได้

 

 

เขาอึ้งไปชั่วขณะ ย่นคิ้วเอ่ย “หรือว่าเป็นนักฆ่าจริง? อายุของเขา และวรยุทธ์…”

 

 

ซือถูเฟิงคิดถึงตอนนี้ สีหน้าซีดไปหลายส่วน วรยุทธ์ของตัวเองเขามีความมั่นใจมาก ต่อให้เป็นยอดฝีมือในยุทธภพ คิดเอาชนะเขาง่ายๆ ก็ไม่มีทาง เช่นนั้นก็มีแต่…

 

 

ถึงซือถูเฉียงเอาแต่ใจ แต่ก็หาใช่คุณหนูอยู่แต่ในห้องหอไม่รู้เรื่องรู้ราว ใบหน้านางซีดขาวลงชั่วขณะ “ท่านบอกว่าบุรุษหนุ่ม? วรยุทธ์สูงกว่าท่าน ไม่แน่อาจเป็น…จิ่วหุน?”

 

 

 “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเป็นเขา ไม่เช่นนั้นการลงมือรวดเร็วขนาดนั้น ยากอธิบายได้” ซือถูเฟิงเอ่ยปาก

 

 

ซือถูเฉียงฟังแล้ว แววตาทอประกายเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย

 

 

นางก้มหน้า ขบริมฝีปาก กดเสียงต่ำลง “พี่ชาย ข้ารู้แล้วว่าจะต่อกรกับนางสารเลวนั่นอย่างไร”

 

 

 “อ้อ?” ซือถูเฟิงกลับชะงักไปชั่วครู่ ไม่เข้าใจว่าคำพูดเขาจุดประกายอะไรให้นาง ทำให้นางหาหนทางต่อกรกับเยี่ยเม่ย

 

 

ซือถูเฉียงเสนอว่า “ท่านคิดดูนะพี่ชาย หากคนผู้นั้นคือจิ่วหุนจริงๆ…จิ่วหุนคือใคร? เขาคือนักฆ่า ทั้งยังเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งในยุทธภพ เขาฆ่าคนไปเท่าไหร่ มีศัตรูคู่แค้นกี่คน หากทำให้คนเหล่านั้นรู้ว่าข้างกายของนางคือจิ่วหุน ท่านว่าทุกคนจะทำอย่างไร”

 

 

นางเอ่ยออกไปเช่นนี้ ซือถูเฟิงพลันรู้สึกหูตาสว่างขึ้น

 

 

เขารีบเอ่ยว่า “ไม่ใช่แค่ศัตรูคู่แค้นไล่ตาม ฝ่ายธรรมะในยุทธภพก็ไม่มีทางปล่อยเขาไว้ เมื่อวานข้าได้รับข่าว ยามนี้เขาอยู่ที่ชายแดน…หากเรื่องนี้ป่าวประกาศออกไป ฐานะของนางสารเลวนั่น ต้องอึดอัดเป็นอย่างมาก จะตัดสินใจอย่างไรก็ลำบาก”

 

 

มุมปากซือถูเฉียงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มร้าย “เช่นนั้นนางก็ต้องสังหารจิ่วหุนเพื่อชื่อเสียงของตนเอง แสดงว่าตนหาได้รับคนชั่วไว้เป็นพรรคพวก ถึงอยู่ในค่ายทหารต่อไปได้ ถึงมีอนาคตร่วมกับพี่เยี่ยน หากไม่เช่นนั้น…”

 

 

 “อย่างนั้นต้องตกตายไปตามจิ่วหุน ถูกฝ่ายธรรมะรวมถึงราชสำนักไล่สังหาร” ซือถูเฟิงรับคำต่ออย่างรวดเร็ว

 

 

ไม่ช้าไม่ต้องรอให้ซือถูเฉียงเอ่ยอะไรอีก สายตาซือถูเฟิงพลันปรากฎแววหนักแน่นและอำมหิต “ถึงล่วงเกินจิ่วหุน มีอันตราย ทำให้อีกฝ่ายแก้แค้น แต่เรื่องมาถึงจุดนี้ ก็ไม่อาจใคร่ครวญมากความแล้ว เจ้าเป็นน้องสาวคนเดียวของข้า โทสะนี้ข้าต้องช่วยเจ้าระบายออกไปให้ได้”

 

 

ซือถูเฉียงรีบพยักหน้า “ขอบคุณพี่ชาย”

 

 

สิ้นเสียงพวกเขา ทหารกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาทางนี้ พวกทหารไล่ตามมาอีกแล้ว

 

 

ซือถูเฟิงตื่นตัว เตือนว่า “จับแน่นๆ”

 

 

ซือถูเฉียงรีบกอดคอพี่ชายแน่น ซือถูเฟิงแบกนางโจนทะยานหนีจากไป…

 

 

   ……

 

 

วันรุ่งขึ้น

 

 

เช้าตรู่วันถัดมา เยี่ยเม่ยล้างหน้าแต่งตัวเรียบร้อย ออกจากห้อง

 

 

หลูเซียงฮั่วพาคนและเสบียงมารอหน้าประตู

 

 

ที่น่าแปลกคือซือหม่าหรุ่ยกับสตรีแปลกหน้านางหนึ่งมาอยู่ด้วย

 

 

เยี่ยเม่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า หลังจากตัวนางออกจากประดู สายตาของสตรีนางนั้นก็เริ่มมองนาง สำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ความร้อนแรงในสายตานั้นทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกไม่กระสับกระส่าย

 

 

นางอดถามไม่ได้ “เจ้าเป็นใคร มีเรื่องอะไรหรือ”

 

 

ซินเยว่เยี่ยนได้สติขึ้นมาจากประเมินท่าทางของเยี่ยเม่ย คลี่ยิ้ม รีบถอนสายตาร้อนแรงของตนกลับมา เอ่ยปาก “ไม่ ไม่มีอะไร เพียงได้ยินว่าวันนี้เจ้าจะไปตกลงเงื่อนไขกับต้ามั่ว ข้าค่อนข้างสนใจ จึงอยากไปเปิดหูเปิดตากับเจ้าด้วย”

 

 

เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว

 

 

ซือหม่าหรุ่ยรีบก้าวออกมาอธิบาย “แม่นางเยี่ยเม่ย สหายของข้าคนนี้เป็นยอดฝีมือในยุทธจักร หากนางไปด้วยบางทีอาจช่วยแม่นางได้ ซือหม่าหรุ่ยรับรองว่า นางไม่ก่อเรื่องอะไรขึ้นแน่ ทั้งไม่สร้างความยุ่งยากให้แม่นางเยี่ยเม่ย”

 

 

ใบหน้าหน้าของแม่ทัพหลูแสดงความไม่เห็นด้วย “แม่นางเยี่ยเม่ย การทหารเป็นเรื่องใหญ่ ข้าเห็นว่าไม่ควรให้คนในยุทธภพเข้ามาเกี่ยวข้อง”

 

 

เยี่ยเม่ยเข้าใจความกังวลของเขา นางมองซินเยว่เยี่ยน เอ่ยปากเสียงเย็นว่า “แม่นางท่านนี้ เจ้าลองเดินให้ข้าดูสักก้าวสองก้าวจะถือสาหรือไม่”

 

 

 “เอ๋?” ซินเยว่เยี่ยนงงงุน

 

 

แต่ก็เชื่อฟังเยี่ยเม่ย เดินหลายก้าวอย่างเป็นธรรมชาติ

 

 

ไม่ช้าเยี่ยเม่ยก็ถอนสายตากลับ มองซือหม่าหรุ่ย น้ำเสียงยังเย็นชาดั่งเดิม “ได้ ข้าพานางไปด้วย”

 

 

แม่ทัพหลูรีบแสดงความไม่เห็นด้วยกับเยี่ยเม่ยทันที ขมวดคิ้วเอ่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย นี่…”

 

 

เยี่ยเม่ยไม่ฟังเขาพูดจบ ก็กอดอกเดินจากไป

 

 

นางไม่ห้ามซินเยว่เยี่ยน ตอบแม่ทัพหลูกลับด้วยเสียงเย็นชา “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องอะไร เมื่อครู่นางเดินให้ข้าดูแล้ว จากท่วงท่าและลักษณะ ข้าประเมินแล้วว่า ความสามารถของนางไม่เลว แต่อยู่ในขอบเขตที่ข้าควบคุมได้ ดังนั้นต่อให้นางคิดไม่ซื่อ ก่อเรื่องอะไรขึ้นมา ข้าก็สามารถควบคุมนางได้ทันที ไม่ต้องกังวล”

 

 

คำพูดนี้เป็นการอธิบายอย่างชัดเจนถึงเหตุผลที่พาคนไป

 

 

ทั้งนับเป็นการเตือนซินเยว่เยี่ยน บอกอีกฝ่ายว่าตนรู้ตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย ทั้งยังมีความมั่นใจว่าเอาชนะได้ ขอให้อีกฝ่ายระวังการกระทำให้ดี

 

 

นี่กลับทำให้ซินเยว่เยี่ยนหัวเราะเสียงเย็น สายตาส่อแววไม่ยินยอม ทั้งยังเจือแววชื่นชม

 

 

ช่างเป็นสตรีทีคลุ้มคลั่งนัก นิสัยนี้เข้ากับอู๋เหินได้พอดี เพียงแต่ความสามารถมีเท่าไหร่กันเชียว?